บทที่ 186 ถ้าไม่มีความรักจะเป็นอย่างไร
บทที่ 186 ถ้าไม่มีความรักจะเป็นอย่างไร
ซูโย่วอี๋กลัวว่าลู่เฉินจะเป็นกังวล หลังจากชาร์จโทรศัพท์แล้ว เธอจึงส่งข้อความถึงเขาโดยบอกว่าจะกลับดึกหน่อย
“หยินหยิน เธอกังวล… เรื่องรองประธานกู่เหรอ?”
ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ซูโย่วอี๋มีความประทับใจที่ดีต่อ กู่อวี๋เฉิง หลังจากผ่านคืนนี้ไป เธอก็จะรู้สึกว่ากู่อวี้เฉิงเป็นผู้ชายที่อบอุ่นที่สามารถดูแลผู้อื่นได้
ซูหยินส่ายหัว “เขาเป็นคนดี”
ถ้ากู่อวี๋เฉิงเป็นคนดี แล้วหยินหยินกังวลเรื่องอะไร
หลังจากเงียบไปนาน ซูหยินก็พูดต่อไปว่า “โย่วอี๋ ตั้งแต่ฉันพูดกับเธอเรื่องของฮัวจิง ฉันก็บอกตัวเองว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในอนาคต ฉันก็จะไม่มีวันปิดบังเธอ”
“ความสัมพันธ์ของฉันกับกู่อวี๋เฉิงค่อนข้างอธิบายยาก หลังจากที่ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน ใจฉันก็บอกว่าให้พยายามออกห่างเขา แต่เมื่อเห็นใบหน้าเย็นชาของเขา ฉันก็เลยอดไม่ได้ที่จะแกล้ง”
แต่ฉันไม่ได้ต้องการให้เขาโกรธนะ
ในตอนแรกกู่อวี๋เฉิงทำอะไรไม่ถูก และเขาก็พยายามไม่ถือสาฉัน
“เขาบอกว่า ตอนแรกเขาก็คิดว่าตัวเขาเองเกลียดฉัน แต่ครั้งก่อนที่ฉันออกไปทำงานต่างเมืองกับเขา มีคนเมามามองฉันด้วยสายตาเล้าโลม กู่อวี๋เฉิงโกรธมากจนอยากจะตีคนขี้เมาให้ตาย”
แต่หลังจากนั้นตำรวจก็เข้ามา เขาก็เอาแต่พูดว่าคนขี้เมานี้มีเจตนาไม่ดี เขาก็เลยยั้งตัวเองไว้ไม่อยู่ แต่ก็นั่นแหละ มือไม้ของ กู่อวี๋เฉิงเบาซะที่ไหน
นั่นเป็นครั้งแรกที่ซูหยินเห็นกู่อวี๋เฉิงโกรธมาก
และสุดท้ายเขาก็ต้องเสียค่าปรับ
กู่อวี๋เฉิงเปิดประตูให้เธอเข้าไปนั่งข้างคนขับ และขับรถกลับปักกิ่งในคืนนั้นเลย
ระหว่างทางที่เขาขับรถกลับสี่ชั่วโมง กู่อวี๋เฉิงไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ
ซูหยินคิดว่าเขาโกรธและเธอเป็นคนสร้างปัญหาให้เขา
แต่ซูหยินเองก็มีความผิด ถึงแม้กู่อวี๋เฉิงจะไม่ได้ลงมือ แต่เธอก็คงไม่ปล่อยให้ชายชราขี้เมาคนนั้นเอาเปรียบเธอได้เช่นกัน เธออยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปี ไม่ใช่คนที่จะให้ใครมารังแกได้ง่าย ๆ
เธอเองก็พอจะรู้เทคนิคการป้องกันตัวอยู่บ้าง
ไม่นาน ซูหยินก็ผล็อยหลับไป
และเมื่อเธอตื่นขึ้น รถก็มาหยุดที่เป่ยสืออี้ผิน โดยมีกู่อวี๋เฉิงจ้องมองมาที่เธอ
ซูหยินผงะและพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิว่า “คุณคิดจะทำอะไร ทำไมมองฉันด้วยสายตาแบบนั้น”
กู่อวี๋เฉิงขมวดคิ้วและคิดอย่างหนัก “ซูหยิน พวกเราลองคบกันดูไหม”
ซูหยินอ้าปากกว้างจนพอที่จะกลืนไข่เข้าไปได้ทั้งฟอง
ปฏิกิริยาแรกคือเขากินยาลืมเขย่าขวดหรือเปล่า
เธอก็เลยปฏิเสธออกไปทันที “ไม่”
“ทำไมล่ะ?”
“มันไม่เหมาะสม”
กู่อวี๋เฉิงขมวดคิ้วมากขึ้นเรื่อย ๆ “มันไม่เหมาะสมตรงไหน”
“ไม่เหมาะทุกตรงนั่นแหละ”
กู่อวี๋เฉิงดูจริงจัง “ผม กู่อวี๋เฉิง อายุ 27 ในปีนี้ เป็นลูกชายคนเดียว พ่อแม่ของผมยังมีชีวิตอยู่ ผมเป็นรองประธานและผู้ถือหุ้นของเทียนฉี รายได้ต่อปีของผมมากกว่า 10 ล้าน”
“สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคแระจำตัว นิสัยใช้ได้ ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นพนัน ไม่ดื่มเหล้า ไม่มั่วผู้หญิง”
ทุกครั้งที่กู่อวี๋เฉิงพูด ใบหน้าของซูหยินก็แสดงความตกใจออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ
“รองประธานกู่ ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้”
“ก่อนที่ผมจะขอคบคุณ ผมก็ต้องสารภาพรักกับคุณก่อน แน่นอนว่าคุณค่อย ๆ เรียนรู้ผมได้ เราค่อย ๆ ดูใจกันไปก็ได้”
เขาจริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่มันเป็นความเคร่งขรึมที่ทำให้ซูหยินพูดไม่ออก
ตอนแรกเธอคิดว่าผู้ชายที่เพียบพร้อมและมีวินัยในตนเองอย่าง กู่อวี๋เฉิง ไม่ใช่คนที่เธอไปยุ่งด้วยได้
“การกระทำบางอย่างของฉัน ทำให้คุณรู้สึกชอบหรือเปล่า”
กู่อวี๋เฉิงส่ายหัว “ผมรู้ว่าคุณกำลังปั่นหัวผม”
“แต่ว่าผมเองก็รู้สึกหวั่นไหวไปแล้วจริง ๆ ผมอยู่มา 27 ปีแล้ว ผมคงไม่ถูกล่อลวงได้ง่าย ๆ และผมเองก็ไม่อยากจะเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ เพราะมันไม่ใช่นิสัยของผมเลย”
ซูหยินกัดริมฝีปากของเธอโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะเคยมีคนรักมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกสารภาพตรง ๆ แบบนี้
เขาจริงใจและตั้งใจมาก
กับฮัวจิง เขาเอ่ยปากขอเธอเป็นแฟนทันที แต่ตอนนั้นซูหยินยังอ่อนต่อโลก ดังนั้นเธอจึงตกลงคบหากับเขา
ในทางตรงกันข้าม ซูหยินก็ทำตัวไม่ถูกเมื่อเธอพบกับกู่อวี๋เฉิงที่เป็นคนระวังตัวเองเป็นอย่างมาก
เธอไม่กล้าที่จะรับรักเขา เธอแอบรู้สึกในใจว่าเธอไม่คู่ควรกับ กู่อวี๋เฉิง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูโย่วอี๋ก็จับมือของซูหยิน “ทำไมเธอถึงคิดว่าตัวเองไม่คู่ควร? เธอนิยามคำว่าคู่ควรไม่คู่ควรอย่างไร กู่อวี๋เฉิงไม่เคยมีความรักมาก่อน เธอเป็นคนแรกที่เขารวบรวมความกล้าและสารภาพกับเธอตรง ๆ นะ!”
ความลังเลใจที่หาได้ยากปรากฏขึ้นในดวงตาของซูหยิน “ตอนที่เธอไม่อยู่ เขาไปรับฉันที่ทำงานทุกวัน แต่ฉันไม่เคยกลับกับเขาหรือตอบรับคำเชิญไปทานอาหารเย็นกับเขาเลย”
แต่กู่อวี๋เฉิงก็ยังคงไปหาเธอทุกวัน
เขาบอกว่าขอแค่ได้มาเห็นหน้าเธอก็พอ
ซูโย่วอี๋เข้าใจความหมายของคำขอบคุณที่กู่อวี๋เฉิงพูดที่โต๊ะอาหารเย็น
กู่อวี๋เฉิงขอบคุณเธอ ที่ทำให้เธอตอบตกลงนัดเขาในที่สุด
แต่ว่าหยินหยินน่ะสิ
เธอน่าจะลองเปิดใจให้กู่อวี๋เฉิงคนนี้หน่อย
“หยินหยิน เธอต้องการให้เขายอมแพ้ แต่เธอก็เห็น ว่ากู่อวี๋เฉิงไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ”
“ถ้าเกิดวันหนึ่งมีคนมาแย่งเขาไป เธอจะทำอย่างไร”
ซูหยินหลุบตาลง “นั่นหมายความว่าเราไม่ได้ถูกลิขิตให้คู่กัน”
ซูโย่วอี๋เกลียดคนหัวแข็งจริง ๆ “เธอเย็นชาใส่เขาราวกับเขาฆ่าพ่อแม่หรือเป็นศัตรูกับเธออย่างนั้นแหละ เธอควรเลิกอ้างถึงเยว่เหล่าหรือเทพเจ้าจับคู่พวกนั้นได้แล้ว เธอบอกฉันได้ไหมว่าเธอกำลังกังวลอะไรอยู่”
ถ้ารักก็แค่ยอมรับมัน ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม ไม่มีอะไรต้องกลัว
ซูหยินพูดด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “ความรักในครั้งที่ผ่านมาทำให้ฉันกลัว”
สายตาของเธอแสดงความเศร้าและความอ้างว้างออกมา
แม้ว่าซูโย่วอี๋จะทุกข์ใจ แต่เธอก็ยังยืนยันว่า “เธอลืมไปแล้วเหรอ เรื่องของเธอกับฮัวจิงเขาเองก็รับรู้ ซึ่งหมายความว่าเขายอมรับอดีตของเธอแล้ว”
“แต่เขายังมีพ่อ มีแม่ มีเพื่อน มีลูกน้อง ถ้าพวกเขารู้ใครจะรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่รังเกียจฉัน ตอนนี้ฉันอยู่ตัวคนเดียว ไปไหนมาไหนคนเดียว และมีหน้าที่รับคำสั่งให้ทำนู่นทำนี่เท่านั้น”
“ตอนนี้ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขามันยังไม่ถึงขั้นลึกซึ้ง ถึงมันจะเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ฉันก็ต้องปฏิเสธตั้งแต่ตอนนี้ ฉันยังถอนตัวทัน เพราะถ้าปล่อยเวลาไว้นานกว่านี้…..”
เธอก็คงทำใจไม่ได้ที่จะเห็นกู่อวี๋เฉิงเดินจากไป
ซูโย่วอี๋รู้ว่าสิ่งที่ซูหยินพูดนั้นไม่ผิดที่เธอจะรู้สึกแบบนั้น
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันเงียบ ๆ จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
หลังจากที่ซูหยินระบายความกังวลของเธอแล้ว เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย และขยิบตาให้ซูโย่วอี๋ “สงสัยว่าจะเป็นประธานลู่น่ะ เขาคงมาตามหาเธอแล้ว”
เมื่อไปเปิดประตู ก็เป็นเขาจริง ๆ!
ลู่เฉินยืนตระหง่านอยู่ที่ประตู “ซูโย่วอี๋ คุณถึงบ้านแล้วเหรอ”
ซูหยินเอนตัวพิงประตูและเผยรอยยิ้มจาง ๆ “กลับมาสักพักแล้ว ประธานลู่ คุณเข้ามานั่งก่อนสิ”
ลู่เฉินกลอกตา “ไม่ล่ะ ผมรู้สึกเหนื่อย ๆ น่ะ”
“เหนื่อยเหรอ?” ซูหยินแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “งั้นคืนนี้คุณต้องพักผ่อนเยอะ ๆ นะ”
“ขอบคุณที่เป็นห่วง”
ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้รู้ถึงความหมายที่เธอจะสื่อ
ซูโย่วอี๋กลับเข้าไปหยิบโทรศัพท์ของเธอ ก่อนจะเดินไปที่ประตูอย่างช้า ๆ เพื่อใส่รองเท้า
“หยินหยิน พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปที่โม่เป่ยเพื่อถ่ายละคร ไว้ฉันจะซื้อของมาฝากนะ”
“โอเค”
ลู่เฉินโอบกอดซูโย่วอี๋พร้อมเดินกลับไป ซูโย่วอี๋อดไม่ได้ที่จะมองกลับไปที่ซูหยิน เมื่อเห็นเธอเผยรอยยิ้มที่สดใสกลับมา เธอเองก็ยิ้มออก
จู่ ๆ ซูโย่วอี๋ก็รู้สึกว่า ถ้าไม่มีความรักจะเป็นอย่างไร?
หากไม่มีกู่อวี๋เฉิง ซูหยินก็คงมีชีวิตที่ดี
แต่ใครเป็นผู้กำหนดว่าคนเราจำเป็นต้องมีความรัก
ในตอนนี้ ซูโยว่อี๋คิดว่าปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามธรรมชาติแล้วกัน
อย่างที่ซูหยินบอก ตอนนี้เธอไม่ได้ชอบกู่อวี๋เฉิงมากนัก ดังนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร
ถ้าสุดท้ายแล้ว กู่อวี๋เฉิงสามารถสร้างความประทับใจให้กับซูหยินได้ เธอก็จะอวยพรทั้งสองคนอย่างจริงใจ!