บทที่ 193 ดื่มและพูดคุยอย่างมีความสุข
บทที่ 193 ดื่มและพูดคุยอย่างมีความสุข
ฮั่วเสวียนอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่นางก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
เมื่อเห็นว่าฮั่วเสวียนดูเหมือนจะลังเล ป๋อเวยจึงเกลี้ยกล่อมเขาว่า “ท่านแม่ทัพ ได้โปรดพิจารณาการไปหร่งตี๋อีกครั้ง การปกป้องชายแดนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้ ท่านเป็นผู้ความคุมสถานการณ์ แล้วให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนเป็นผู้ไปช่วยโม่อ๋องก็ย่อมได้”
ฮั่วเสวียนยืนอยู่หน้าแผนที่ยุทธศาสตร์ นางเอามือไพล่หลังเป็นเวลานานกว่าจะเอ่ยบางอย่างออกมา “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะออกจากค่ายในเช้าวันพรุ่งนี้ ป๋อเวย เจ้าจงปฏิบัติตามคำสั่งเสีย”
น้ำเสียงที่แผ่วเบาแฝงไปด้วยแรงบีบบังคับที่ไม่อาจต้านทานได้
ป๋อเวยเหน็บพัดสานไว้ที่เอวและคุกเข่าข้างหนึ่ง “ป๋อเวยรับคำสั่งขอรับ”
“ระหว่างที่ข้าออกไป เจ้าจะทำหน้าที่เป็นแม่ทัพชั่วคราว และเจ้าจะเป็นผู้ตัดสินใจทุกอย่างในกองทัพ”
ป๋อเวยสบตากับฮั่วเสวียนด้วยสายตาอ้อนวอน “ป๋อเวยรับคำสั่งขอรับ”
หากแต่ชุยดาบเดียวแสดงความไม่พอใจและแย้งว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านต้องไปที่หร่งตี๋เพื่อช่วยโม่อ๋องด้วยตัวเอง? นี่ท่านเลือกที่จะเพิกเฉยต่อกองทัพตระกูลฮั่วเพราะเห็นแก่องค์ชายเพียงคนเดียวหรืออย่างไร”
“หากผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ฟังคำสั่งของท่าน ท่านแม่ทัพย่อมลงโทษได้หากต้องการ แต่เรื่องนี้ข้าไม่พูดไม่ได้”
พูดจบเขาก็เดินจากไปอย่างหมดเรี่ยวแรง
ป๋อเวยยืนขึ้น “ท่านแม่ทัพ นายพลชุยเป็นห่วงท่านมากนะขอรับ”
ฮั่วเสวียนลดสายตาลง “ข้ารู้ ป๋อเวย เจ้าออกไปเฝ้าชายแดน รอข้ากลับมา ส่วนชุยดาบเดียว… เจ้าช่วยไปพูดกับเขาหน่อยแล้วกัน”
สายตาของนางกวาดมองหานายพลที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา “พรุ่งนี้ห้ามใครมาส่งข้า”
หากนางกลับมาอย่างมีชีวิต ถึงเวลานั้นก็จะได้พบกัน
เมื่อฮั่วเสวียนเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในค่าย นางจึงนั่งที่โต๊ะเพื่อวางแผนทางทหารทุกวัน มือจับพู่กันพร้อมกับจุ่มน้ำหมึกเพื่อเขียน
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าเบา ๆ เดินเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกไม้แรงขึ้นเรื่อย ๆ บุคคลนั้นเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ
ฮั่วเสวียนพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง “แม่นางชิงเฉิง นี่ก็ดึกมากแล้ว เหตุใดท่านยังไม่พักผ่อนอีก”
จากนั้นมีเสียง ‘ตึง’
กู้ชิงเฉิงคุกเข่าลงบนพื้น
ฮั่วเสวียนตกตะลึง “แม่นางชิงเฉิง นี่ท่านกำลังทำอะไร?”
ดวงตาของกู้ชิงเฉิงสั่นไหว “ท่านแม่ทัพ ท่าน ข้า และหลี่จื้อไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่ท่านก็ยังรักษาความชอบธรรมของบ้านเมืองโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวท่านเอง และพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ข้าขอคารวะท่านแม่ทัพ”
หน้าผากของนางก้มลงแตะพื้น
นางก้มอยู่เป็นเวลานานกว่าที่นางจะลุกขึ้น
ฮั่วเสวียนตกตะลึงกับสิ่งที่นางแสดงออก
นี่คือผู้หญิงที่หลี่จื้อชอบ
นางเผยรอยยิ้มและช่วยประคองกู้ชิงเฉิงให้ลุกขึ้น “มันถูกกำหนดไว้แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทาง แม่นางชิงเฉิงกลับไปพักผ่อนเถิด”
คืนนั้น ฮั่วเสวียนได้นอนหลับสบายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่หลี่จื้อหายตัวไป
การไม่ตัดสินใจเป็นสิ่งที่ทรมานที่สุด เมื่อใจแน่วแน่ ทุกอย่างก็จะง่ายดาย!
สายลมยามเช้าปะทะเข้าที่ใบหน้าของฮั่วเสวียนและพรรคพวกของเขาที่ปลอมตัวเป็นชาวหร่งตี๋
ฮั่วเสวียนขึ้นไปบนหลังม้า นางก็ไม่หันหน้ากลับไปมองที่ค่ายอีกเลย “ไป!”
หลังจากนั้นฮั่วเสวียนควบม้าของนางออกไป ชุยดาบเดียวก็ควบม้าตามไปโดยมีฝุ่นตลบไปทั่ว เครายาวของเขาปลิวไปตามสายลม
เมื่อม้ามุ่งไปข้างหน้า ขาหน้าของมันก็ยกขึ้นสูงและส่งเสียงร้อง
ชุยดาบเดียวพูดอย่างกระวนกระวาย “ท่านแม่ทัพใจร้ายเสียจริง คิดจะจากไปโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ”
ฮั่วเสวียนหันไปมองที่ด้านหลัง “หืม? นายพลชุย ท่านหายโกรธแล้วหรือ?”
“ท่านแม่ทัพอย่าล้อข้าเล่นเลย ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้มาเพื่อไปหร่งตี๋กับท่านต่างหาก”
จากนั้นฮั่วเสวียนก็เลิกเล่นตลกและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ข้าไม่เห็นด้วย”
“เพราะเหตุใดเล่า กู้ชิงเฉิงเป็นหญิง ท่านก็พานางมาด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้ง เหตุใดผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านเองจะไปด้วยไม่ได้”
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
ฮั่วเสวียนมีความคิดของนางเอง การช่วยชีวิตหลี่จื้อด้วยการยอมเสี่ยงเพียงแค่นางเท่านั้น
“ชุยดาบเดียว นี่คือคำสั่ง”
“ต้องขออภัยที่ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างข้าไม่สามารถทำตามคำสั่งของท่านแม่ทัพได้จริง ๆ”
หากแต่ความเย็นชาในดวงตาของฮั่วเสวียนแข็งแกร่งขึ้น “ข้าบอกให้เจ้ากลับไป”
ชุยดาบเดียวไม่เกรงกลัวเลย “แม่ทัพใหญ่ไปไหน ผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะตามไปที่นั่น”
ฮั่วเสวียนเกิดความไม่พอใจ นางกระโดดออกจากหลังม้าทันที และกวาดขาของนางเพื่อทำให้ชุยดาบเดียวตกจากหลังม้าเช่นเดียวกัน
กู้ชิงเฉิงอุทาน “ท่านแม่ทัพ ท่านทบทวนดูอีกทีดีกว่านะเจ้าคะ!”
แต่ฮั่วเสวียนยังไม่หยุด นางต้องเอาชนะชุยดาบเดียวให้ได้ ต้องทำให้เขาหมดแรงต่อสู้และยอมถอนตัวกลับไป
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
ชุยดาบเดียวรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกายของเขา ในที่สุดเขาก็ไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรออกมา
ฮั่วเสวียนไม่ต้องการให้เขาตามไป นางควบม้าออกไปและพูดว่า “ชุยดาบเดียว เมื่อข้ากลับมา เราจะดื่มและพุดคุยกันอย่างมีความสุข ข้าสัญญา”
ชุยดาบเดียวนอนลงบนพื้น เฝ้าดูแผ่นหลังของฮั่วเสวียนที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ น้ำตาของเขาคลอเบ้า “ท่านแม่ทัพ…”
จากนั้นสวีโหมวก็ตะโกนว่า “คัต!”
ทีมงานโดยรอบปรบมือ “สุดยอด มันดีมาก ฉันเกือบร้องไห้ออกมาแหนะ”
“ชุยดาบเดียวและฮั่วเสวียนก็น่าลุ้นเหมือนกันนะ แม่ทัพเย็นชากับผู้ใต้บังคับบัญชาผู้ภักดี”
“การปรากฏตัวของนางเอกอย่างกู้ชิงเฉิงสู้ไม่ได้เลย”
“บทคงมาแบบนี้แหละ เป็นเรื่องของบทและการวางตัวละคร แต่ฉันคิดว่า… ทักษะการแสดงของอวิ๋นเหมี่ยวไม่ดีเท่าซูโย่วอี๋”
“นี่พวกเธอพูดถึงขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ใครจะไปกล้า คิดว่าฉันไม่ได้พูดแล้วกัน”
ระยะห่างระหว่างสตูดิโอกับทีมงานไม่ใกล้ไม่ไกล แต่อาจเป็นเพราะอวิ๋นเหมี่ยวมีหูตาไวหรือเธอใส่ใจคำวิจารณ์ของคนอื่นมากเกินไป คำพูดเหล่านี้ถึงเข้าหูเธอได้
เธอมองเห็นหญิงสาวที่บอกว่าฝีมือการแสดงของเธอด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดจากหางตา
ส่วนสวีโหมวรู้สึกว่าการแสดงนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก เขาจุดบุหรี่อย่างตื่นเต้น “ยี่ห้อนี้ไม่เลวแฮะ”
ด้านผู้ช่วยผู้กำกับมองดูภาพการถ่ายทำในจอ “พอผมได้ดู หัวใจของผมก็พองโตเลยครับ”
หลังจากหัวเราะและพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง อวิ๋นเหมี่ยวก็ก้าวไปข้างหน้าและถามว่า “ผู้กำกับสวี การแสดงฉากเมื่อครู่ของฉันเป็นยังไงบ้างคะ”
สวีโหมวหยุดชะงักกลางอากาศทั้งที่มือของเขายังถือบุหรี่อยู่
เป็นอย่างไรน่ะเหรอ?
เมื่ออวิ๋นเหมี่ยวและซูโย่วอี๋เล่นด้วยกัน สวีโหมวมักจะให้ความสนใจกับการแสดงของซูโย่วอี๋มากกว่าโดยไม่รู้ตัว และความสนใจของเขาที่มีต่ออวิ๋นเหมี่ยวมันก็ไม่มากนัก
แต่ตราบใดที่อวิ๋นเหมี่ยวไม่เล่นนอกบท มันก็ไม่เป็นไร
หรือถ้าเล่นอะไรเกินจากบทไป ก็คิดเสียว่า… ได้ภาพเบื้องหลัง
“แสดงได้ไม่เลว คุณถ่ายทอดอารมณ์ได้ดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าจะเล่นให้มีมิติมากขึ้น”
สวีโหมวให้คำแนะนำอวิ๋นเหมี่ยวอย่างต่อเนื่อง และอวิ๋นเหมี่ยวก็ต้องทนฟังอย่างอดทน
ส่วนทีมงานเฝ้าดูซูโย่วอี๋เอนกายลงบนเก้าอี้เพื่อพักผ่อน ดื่มน้ำ กินของว่าง และหยอกล้อกับฮันเจ๋อหยางทันทีที่เธอลงจากกองถ่าย
เทียบกับอวิ๋นเหมี่ยวที่กำลังขอคำแนะนำจากผู้กำกับอย่างนอบน้อม จู่ ๆ พวกเธอก็รู้สึกผิดขึ้นมา พวกเธอไม่ควรพูดแบบนั้นกับอวิ๋นเหมี่ยวเลย
“มีกี่คนในโลกนี้ที่มีพรสวรรค์เท่ากับซูโย่วอี๋”
“คนอย่างอวิ๋นเหมี่ยวคงประสบความสำเร็จได้จากความพยายามอย่างหนักเท่านั้นแหละ”
“ใช่ แต่ฉันก็ยังชอบฮั่วเสวียนมากกว่า”
“ฉันด้วย”
“ว๊ากกกกก… คือ..”
“เฮ้ จะว่าไปแล้ว คนที่มีพรสวรรค์ก็ต้องได้เล่นกับคนที่มีพรสวรรค์ใช่ไหม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมฮันควรได้เล่นคู่กับเทพธิดาซูสิ..”
“โอ๊ย ทิ่มแทงหัวใจเป็นบ้า”
ทุกคนมองไปที่อวิ๋นเหมี่ยวอย่างเห็นใจอีกครั้ง
ตอนนี้หัวใจของอวิ๋นเหมี่ยวแทบจะระเบิดออกมา ภาพลักษณ์อ่อนโยนที่เธอรักษาไว้เสมอมาเกือบจะพังทลายลง
ซูโย่วอี๋กำลังกินขนมที่อวิ๋นเหมี่ยวนำมาฝาก เธอจะกินคนเดียวก็รู้สึกเกรงใจ จึงชวนอวิ๋นเหมี่ยวมากินด้วยกัน
แต่อวิ๋นเหมี่ยวปฏิเสธออกมาดื้อ ๆ “ขอบคุณ แต่ฉันไม่อยากกิน”
มันไม่มีทั้งรอยยิ้มหรือแม้กระทั่งน้ำเสียงที่อ่อนโยน
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่อยากคุยกับเธอ
ซูโย่วอี๋รู้สึกว่านี่น่าจะเป็นนิสัยที่แท้จริงของอวิ๋นเหมี่ยว ดังนั้นเธอจึงเดินไปหาฮันเจ๋อหยางพร้อมของว่างทันที
“จะไปสนใจเธอทำไม” ฮันเจ๋อหยางเลิกคิ้ว
“ก็เธอเป็นคนให้ขนมฉันมา” หลังจากเงียบไปชั่วขณะ “รุ่นพี่ ฉันรู้สึกเหมือนว่าคุณไม่ค่อยชอบอวิ๋นเหมี่ยวเท่าไหร่นะ”