บทที่ 194 ช่วงเวลาที่ยากลำบาก
บทที่ 194 ช่วงเวลาที่ยากลำบาก
ฮันเจ๋อหยางมองเธออย่างสงสัย สีหน้าเขาแสดงความประหลาดใจออกมา “สนิทกันแล้วเหรอ ถึงกล้าถามคำถามแบบนี้ออกมาน่ะ?”
ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้ว “ก็ฉันรู้สึกได้นี่ แต่ฉันก็แค่ไม่รู้ว่าทำไมรุ่นพี่ถึงไม่ชอบเธอ”
“ไม่มีเหตุผล แค่ไม่ชอบ”
จู่ ๆ ซูโย่วอี้ก็โน้มตัวมาข้างหน้าเขา “แล้วทำไมคุณถึงชอบฉัน? เพราะฉันสวยเหมือนนางฟ้าเหรอ?”
ฮันเจ๋อหยางยิ้มกว้างขึ้น เผยความรู้สึกออกมาอย่างเปี่ยมล้น “ใช่ เธอสวยเหมือนนางฟ้า แต่ถ้าพูดตามตรง ฉันชอบเธอ… เพราะเธอดูเหมือนแม่ของฉัน ฮ่า ๆ ๆ ”
ระหว่างนั้นซูโย่วอี๋เงี่ยหูของเธอและตั้งใจฟัง แต่เธอไม่คิดว่าฮันเจ๋อหยางจะพูดอะไรที่ไร้สาระแบบนี้
เมื่อได้ยินดังนั้น เธอก็วิ่งไล่ตีเขาจนเกิดความโกลาหลขึ้นในกองถ่าย
ฮันเจ๋อหยางแย้งว่า “อะไรกัน พอพูดความจริงก็รับไม่ได้”
ในระหว่างการต่อสู้ ทีมงานที่กำลังยุ่งอยู่ก็ต้องหลีกทางให้ทั้งสอง
มีกล้องไล่ตามถ่ายวิดีโอทั้งสองคนอีกด้วย เรียกได้ว่าทำเอาทุกคนขยันไม่น้อย
“มองกล้องหน่อยเร็ว เหมือนหลี่จื้อและฮั่วเสวียนกำลังหยอกล้อกัน”
ซูโย่วอี๋แลบลิ้นใส่กล้อง “ฮันเจ๋อหยางและซูโย่วอี๋ต่างหากล่ะ”
ฮันเจ๋อหยางยื่นกำปั้นออกมา “ไม่ต้องมาเรียกฉันว่ารุ่นพี่อีกต่อไปเลยนะ”
“ฮันเจ๋อหยาง ถ้าคุณตีฉันอีกครั้งนะ..”
ส่วนสวีโหมวเขี่ยบุหรี่ “พวกคุณเหมือนเด็กจริง ๆ”
เมื่อพวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ดูเคร่งขรึมมาก แต่เมื่อมาอยู่ด้วยกัน ต่างก็ดูมีความสุขและสร้างเสียงหัวเราะมากมายให้กับคนในกองถ่ายที่แสนน่าเบื่อแบบนี้
อวิ๋นเหมี่ยวมองไปที่ป๋ายลิ่นซึ่งอยู่ไม่ไกล ทันทีที่สายตาของพวกเขาสบกัน พวกเขาเห็นความเศร้าใจในดวงตาของกันและกัน
การถ่ายทำยังคงดำเนินต่อไป ฉากต่อไปคือฉากเด็ดของวันนี้
เป็นฉากที่ฮั่วเสวียนพากู้ชิงเฉิงและนักดาบไปหร่งตี๋และฉากที่ปกป้องนางเอกบนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
ดังนั้น ในเวลาพักจึงจำเป็นต้องงดเว้นเรื่องอาหาร
ฮั่วเสวียนเคยไปที่หร่งตี๋เมื่อหลายปีมาแล้ว ดังนั้น ในระหว่างทางเขาจึงหลีกเลี่ยงกองทัพและบ้านเรือนพลเรือนตลอดทางจนมาถึงค่ายที่หร่งตี๋ประจำการอยู่
กู้ชิงเฉิงมองไปยังแสงไฟที่อยู่ไม่ไกล “ท่านแม่ทัพ เราควรเข้าไปในค่ายเลยไหม เพื่อตรวจสอบว่าหลี่จื้ออยู่ในนั้นหรือไม่”
ฮั่วเสวียนครุ่นคิด “อย่าทำให้ไก่ตื่นจะดีกว่า เราต้องรวางแผนเรื่องนี้ก่อนขอรับ”
อูซือม่านมีนิสัยหุนหันพลันแล่นและขี้หงุดหงิด ถ้าเขาจับหลี่จื้อได้ เขาคงกระโจนออกมาเผชิญหน้า แต่ในการเผชิญหน้าครั้งล่าสุด อูซือม่านกลับแตกต่างออกไป
นั่นแสดงว่าหลี่จื้อไม่ได้อยู่ในมือของเขา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง อูซือม่านไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของหลี่จื้อ ดังนั้นเขาน่าจะถูกจับในฐานะของประชาชนจากต้าเซี่ย
“เราถอยห่างออกไปสามลี้เพื่อตั้งหลักก่อน”
ถ้าเราอยู่ใกล้ค่ายข้าศึกมากเกินไปจะถูกจับได้ง่าย
ซึ่งกู้ชิงเฉิงสนับสนุนการตัดสินใจของฮั่วเสวียนอย่างไม่มีเงื่อนไข
เป็นเวลาสามวันติดต่อกันที่ฮั่วเสวียนพานักดาบออกไปแต่เช้าตรู่และกลับมามืดค่ำ เมื่อกลับมาที่ฐานชั่วคราวก็รู้สึกเหนื่อยล้า
“แม่นางชิงเฉิง หลังจากเฝ้าสังเกตกาณ์เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา เราได้ทราบการเปลี่ยนเวรของกำลังการป้องกันของหร่งตี๋ ฝ่ายนั้นมีสามกะต่อวัน และจะมีการส่งมอบกะในตอนกลางคืน ในเวลานั้น กองกำลังป้องกันหละหลวมที่สุด ซึ่งเหมาะแก่การลักลอบเข้าไป”
ฮั่วเสวียนและนักดาบอดหลับอดนอนทั้งวันเพื่อที่จะเฝ้ามองการเปลี่ยนเวร
กู้ชิงเฉิงรู้ดีว่าทางนี้มีกำลังไม่เพียงพอ นางจึงต้องอยู่รอที่ฐาน “คืนนี้พวกท่านพักผ่อนให้เพียงพอ ข้าจะเฝ้าเวร และพรุ่งนี้พวกเราค่อยลงมือ”
ไม่มีการคัดค้าน
นี่คือแผนที่ดีที่สุด
หลังจากกินอาหารแห้งในความเงียบ ฮั่วเสวียนและนักดาบก็เอนกายพิงต้นไม้เพื่อนอนหลับ
เมื่อฮั่วเสวียนตื่นขึ้น ฟ้ายังคงมืดมิด ไม่มีดาวสักดวงบนท้องฟ้า
ฮั่วเสวียนลืมตาขึ้นและมองไปรอบ ๆ นางไม่รู้สึกง่วงแล้ว จึงนำมีดและดาบที่ติดตัวเขาออกเพื่อเช็ดทำความสะอาด
กู้ชิงเฉิงก็ได้ยินเสียงจึงเอ่ยปากถามว่า “ท่านแม่ทัพนอนไม่หลับอย่างนั้นหรือ?”
ฮั่วเสวียนพยักหน้า
กู้ชิงเฉิงเห็นว่าการเคลื่อนไหวของเขาแปลกไปเล็กน้อย ต้าเซี่ยส่งเสริมความกล้าหาญและศิลปะการต่อสู้ แต่คนส่วนใหญ่จะเลือกทิศทางของศิลปะการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกดาบหรือควงมีด แต่น้อยคนที่จะเชี่ยวชาญทั้งสองสิ่ง
ฮั่วเสวียนเช็ดดาบและใส่ลงในฝักอย่างระมัดระวัง จากนั้นหยิบมีดขึ้นมาแล้วเช็ดเบา ๆ อย่างอ่อนโยนราวกับว่านางกำลังปฏิบัติต่อคนรักของนาง
“ข้าเรียนศิลปะการป้องกันตัวตั้งแต่เยาว์วัย พอข้าโตขึ้น ท่านอาจารย์ไป๋หลี่แนะนำให้ข้าเรียนวิชามีด เพื่อใช้สังหารได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ แต่ข้าคิดว่าดาบมีความปราดเปรียวกว่า จึงหาเวลาฝึกวิชาดาบด้วยตัวเอง”
“จนกระทั่งท่านอาจารย์ไป๋หลี่รู้เข้า เขาก็พาข้าไปที่สนามฝึก ดึงดาบไปจากมือของข้า และฝึกวิชาดาบที่ทรงพลังที่สุดให้แก่ข้า”
จากนั้นฮั่วเสวียนจึงได้รู้ว่าท่านอาจารย์ไป๋หลี่สามารถสอนวิชาดาบได้เช่นกัน
“ท่านอาจารย์ไป๋หลี่สอนเรื่องวิถีแห่งดาบให้ข้าและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ‘นับแต่นี้เป็นต้นไป ห้ามฝึกฝนด้วยตัวเองอีก’”
ฮั่วเสวียนรู้สึกสลดใจ ในวินาทีต่อมาเขาก็ได้ยินเสียงของอาจารย์ไป๋หลี่ “ข้าจะสอนเจ้าตัวต่อตัว แต่เจ้าต้องจำไว้ว่าเจ้าอย่าให้การฝึกวิชาฝึกดาบนี้เสียเปล่า ต้องตื่นก่อนและนอนทีหลังผู้อื่นหนึ่งชั่วโมงทุกวัน ห้ามบ่นว่าทุกข์หรือเหนื่อย ไม่งั้นข้าจะไม่ถ่ายทอดวิชาให้เจ้า”
ฮั่วเสวียนเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ
แต่วันเวลาการฝึกดาบนั้นยากกว่าเมื่อก่อนมาก ท่านอาจารย์ไป๋หลี่จงใจฝึกฝนวิชาเหล่านี้ให้เขา ซึ่งมันยากเกินความสามารถของเขาไปเล็กน้อย
ในช่วงเวลานั้น น้ำหนักของฮั่วเสวียนวัยสิบขวบลดลงอย่างมาก
นางต้องแอบนอนซุกตัวร้องไห้ แต่ไม่กล้าล้มเลิก
เพราะนางชอบดาบจริง ๆ ไม่ใช่มีด
กู้ชิงเฉิงนั่งฟังอยู่ด้านข้าง ฟังเหตุการณ์ในวัยเด็กของฮั่วเสวียนอย่างเงียบ ๆ และถอนหายใจหลังจากที่เขาพูดจบ “ท่านแม่ทัพเองก็ต้องมีช่วงเวลาที่ยากลำบากตอนที่ยังเป็นเด็ก”
“โชคดีที่มันผ่านมาแล้ว”
หัวใจของฮั่วเสวียนเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อได้ยินเสียงที่นุ่มนวลนั้น
มองดูใบหน้างดงามของนางที่มีแสงจันทร์สาดส่อง
ตั้งแต่เด็ก ไม่เคยมีใครถามนางว่าทุกข์ไหม
ท่านอาจารย์ไป๋หลี่ก็เคร่งครัด
พี่เลี้ยงก็รู้สึกสงสารนาง แต่เกลี้ยกล่อมให้นางอดทนเพื่อเกียรติยศของตระกูลฮั่ว
หากแต่ทหารที่ฝึกด้วยกันนั้นอดทนกว่านี้มาก พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะร้องออกมาเมื่อได้รับบาดเจ็บ เพราะกลัวจะถูกหัวเราะเยาะ
ฮั่วเสวียนชอบชีวิตการต่อสู้แบบเอาเป็นเอาตายแบบนี้ แต่บางครั้งความอ่อนแอของหญิงสาวก็จะถูกเปิดเผยออกมาในคืนที่มืดมิด
“อย่ากังวล แม่นางชิงเฉิง ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะปกป้องท่านเป็นอย่างดี”
กู้ชิงเฉิงยิ้มอย่างอบอุ่น “ข้ากล้ามาถึงที่นี่ ฉะนั้นข้าจึงไม่กลัวความตาย ถ้าข้าตกอยู่ในอันตรายจริง ๆ ข้าจะไม่เป็นภาระให้ท่าน ถ้าท่านช่วยข้าได้ก็ช่วย แต่ถ้าช่วยไม่ได้ก็ปล่อยข้าไป”
บทสนทนาของทั้งสองเบามาก แต่ก็ยังทำให้นักดาบตื่น
เขาลืมตาโดยไม่ขยับและไม่ส่งเสียง
เมื่อกู้ชิงเฉิงกล่าวว่า ‘ถ้าช่วยไม่ได้ก็ปล่อยนางไป’ เขาก็กำมือแน่น
เดิมทีเขาเป็นนักดาบธรรมดา แต่เนื่องจากเขาเข้าไปพัวพันกับกลุ่มเจียงหูโดยบังเอิญ เขาจึงถูกศัตรูไล่ตามฆ่า เขาจึงหนีมาถึงป้อมนี้ ตอนที่เขากำลังจะตาย เขาได้กู้ชิงเฉิงช่วยชีวิตไว้
จนถึงตอนนี้ นักดาบได้ติดตามกู้ชิงเฉิงเพื่อปกป้องความปลอดภัยของนาง
เพราะเขาถือว่าตนเป็นหนี้ชีวิตนาง อย่างน้อย ๆ เขาก็ต้องตอบแทนนาง
ในค่ำคืนที่มืดมิด ทั้งสามมีความคิดที่แตกต่างกัน
เวลานี้กำลังจะเข้าคืนวันที่สองแล้ว ฮั่วเสวียนและอีกสองคนสวมชุดดำพลางตัวและควบม้าออกไปให้ห่างออกมาจากค่ายหร่งตี๋หนึ่งลี้
นางลูบคอเฟยอิงอย่างอ่อนโยน “เจ้ารอข้าที่นี่นะ รอข้ากลับมารับเจ้า”
ม้าตัวนี้ไม่รู้ว่าเจ้านายของมันกำลังจะจากไป ดังนั้นมันจึงปล่อยให้นางลูบหัวของมันอย่างรักใคร่
กู้ชิงเฉิงเอียงศีรษะ “ท่านแม่ทัพ ท่านไม่ผูกเฟยอิงไว้หรือ”
ฮั่วเสวียนส่ายหัว
เฟยอิงฉลาด หากนางได้เจอกับทหารของหร่งตี๋และไม่ได้กลับมา มันจะได้วิ่งหนีเอาชีวิตรอด