บทที่ 198 ถ้าเป็นฉัน รุ่นพี่จะช่วยไหม
บทที่ 198 ถ้าเป็นฉัน รุ่นพี่จะช่วยไหม
กู้ชิงเฉิงหันกลับไปมองและพบว่าเฟยอิงไม่ได้ตามมา “เฟยอิง ไปกันเถิด กลับไปที่ต้าเซี่ยกัน”
เฟยอิงเงยหน้ากรีดร้องขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นมันก็หันหลังกลับและวิ่งไปทางค่ายหร่งตี๋
กู้ชิงเฉิงไม่สามารถหยุดมันไว้ได้ ดังนั้นนางจึงได้แต่มองดูเฟยอิงหายไปจากสายตา
นางทอดถอนใจ “หลี่จื้อ เฟยอิงกำลังมองหาเจ้าของของมัน”
หลี่จื้อตบไหล่นางและพูดด้วยความโล่งใจว่า “เฟยอิงเติบโตมากับท่านแม่ทัพตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ธรรมดา ปล่อยมันไปเถิด”
หากมีอะไรเกิดขึ้นกับฮั่วเสวียน เฟยอิงก็คงอยู่ไม่ได้
หลี่จื้อรู้สึกขอบคุณมันมากที่พากู้ชิงเฉิงมาส่งให้เขาตรงหน้า
ผู้ติดตามทั้งหมดเป็นคนของหลี่จื้อ พวกเขารู้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนเป็นอย่างดีและหลายคนก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับกู้ชิงเฉิง
แต่ก็เริ่มมีข้อสงสัยว่าหญิงสาวที่ชื่อกู้ชิงเฉิงเอาชนะความยากลำบากและเดินทางจากป้อมมาถึงชายแดนได้อย่างไร
กู้ชิงเฉิงผ่อนคลายลง แม้ว่านางจะรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก แต่นางยังคงทนกับอาการง่วงนอนและพยายามเล่าประสบการณ์ของนางไปพร้อม ๆ กัน จากนั้นก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้หัวใจของหลี่จื้อเจ็บปวด กู้ชิงเฉิงนอนหลับไปในขณะที่ม้ากำลังวิ่ง เห็นได้ชัดว่านางเหนื่อยมาก!
“คัต!”
สวีโหมวตะโกนผ่านโทรโข่ง ทีมงานต่างเก็บอุปกรณ์ประกอบฉากและวางลงบนพื้นทันที
ฉากนี้เป็นฉากยาวยาวที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทีมงานที่ถือไมค์กับรีเฟล็กเตอร์ต่างก็ปวดเมื่อยไปตาม ๆ กัน
เมื่อได้ยินผู้กำกับสั่งคัต พวกเขาพากันโล่งใจและแยกย้ายกันไปคนละมุมเพื่อพักผ่อน
ขณะที่สวีโหมวสั่งคัต ฮันเจ๋อหยางก็ปล่อยเอวของอวิ๋นเหมี่ยวและลงจากหลังม้าทันที
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ขยับตัว เสียงอันอ่อนหวานของอวิ๋นเหมี่ยวก็ดังขึ้น “รุ่นพี่ฮันคะ ขาของฉันชาน่ะค่ะ ช่วยฉันหน่อยได้ไหม”
ฮันเจ๋อหยางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบตกลง เขายื่นมือขวาออกไปแล้วพูดว่า “ลงมา”
อวิ๋นเหมี่ยววางมือของเธอบนฝ่ามือของเขาแล้วกล่าว “ขอบคุณค่ะ”
ส่วนฉากของซูโย่วอี๋เสร็จเร็วกว่ากำหนดเล็กน้อย เธอกำลังเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเก้าอี้เอนหลัง
ตอนเช้าพวกเขาทั้งสามคนไปที่ร้านซาลาเพื่อทานอาหารเช้าและถูกปาปารัสซี่ถ่ายภาพและนำไปโพสต์บนเว็บไซต์พร้อมพาดหัวต่าง ๆ
[นักแสดงนำของละครรักในฝันกินข้าวเช้าด้วยกัน พวกเขาสนิทกันมาก]
[กู้ชิงเฉิงและฮั่วเสวียนเป็นเพื่อนรักกันนอกจอ]
[ซูโย่วอี๋กับอวิ๋นเหมี่ยวในวันธรรมดา สวยทั้งคู่]
[เทพบุตรและเทพธิดามารวมตัวกัน]
[ร้านซาลาเปานี้พิเศษยังไง]
ชาวเน็ตต่างฮือฮา!
[เหมียวเหมี่ยวเป็นเหมือนสาวสวยในโรงเรียนมัธยม เธอดูบริสุทธิ์เกินไป]
[ผู้ชายก็หล่อและผู้หญิงก็สวย ดูสะดุดตาจริง ๆ แถมหน้าตาก็น่าดึงดูดมาก ถ่ายจากมือถือยังดูดีขนาดนี้ หลงรักพวกเขาเข้าให้แล้ว]
[พระเจ้า ฉันอยากจะบอกว่าบ้านของฉันอยู่ห่างจากร้านซาลาเปานี้แค่ห้านาทีเท่านั้น เจ็บใจมาก ฉันมัวแต่หลับ! เลยพลาดโอกาสได้พบกับพวกเขาไป]
[พรุ่งนี้พวกเราไปร้านซาลาเปากันไหม เดี๋ยวฉันจะซื้อตั๋วแล้วบินไปคืนนี้เลย]
[ฉันเคยได้ยินคนพูดก่อนหน้านี้ว่านักแสดงนำชายยอดเยี่ยมฮันมักจะทำตัวเย็นชากับอวิ๋นเหมี่ยวและเอาแต่หยอกล้อกับซูโย่วอี๋เท่านั้น ดูดี ๆ สิ สามคนนี้ดูสนิทกันจะตาย]
[ตอบกลับความคิดเห็นด้านบน ฉันเป็นทีมกองละคร นักแสดงฮันพูดคุยหยอกล้อกับเทพธิดาซูคนเดียวจริง ๆ อวิ๋นเหมี่ยวแค่พยายามทำตัวให้กลมกลืน]
[คุณกล้าเปิดเผยชื่อของคุณไหม ใคร ๆ ก็พูดได้ว่าเป็นทีมงาน]
[ไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะเชื่อหรือเปล่า แต่ฉันผิดเหรอที่พูดความจริง?]
[พวกเราจะไปเช็กอินที่ร้านซาลาเปาซิงซิง มีใครไปด้วยไหม]
ซูโย่วอี๋เลื่อนดูคอมเมนต์เพื่อความสนุกเท่านั้น แต่จากที่เธอเห็น ทีมงานในกองละครทุกคนก็เข้ากันได้ดีนะ ส่วนคนที่เข้ากับคนอื่นไม่ได้ก็ช่างเขา
ตราบใดที่ไม่สร้างปัญหาก็พอแล้ว
ส่วนอวิ๋นเหมี่ยว….
เธอมีความรู้สึกแปลก ๆ ต่ออวิ๋นเหมี่ยว อาจเป็นเรื่องที่เข้ากันไม่ได้โดยสัญชาตญาณ แต่เธอไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม
แต่ถ้าบอกว่าอวิ๋นเหมี่ยวทำอะไรที่น่ารำคาญ เธอก็ตอบไม่ได้
ทันใดนั้น ฮันเจ๋อหยางเดินมา หลังจากเขาถ่ายเสร็จและเห็นว่าเธอกำลังดูบางอย่างอย่างตั้งใจ “ดูอะไรอยู่ ตั้งใจเชียว”
ซูโย่วอี๋ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “พวกเราถูกแอบถ่ายตอนไปกินซาลาเปาตอนเช้าน่ะค่ะ แล้วดูกำลังเป็นที่พูดถึงบนอินเทอร์เน็ต”
ฮันเจ๋อหยางครุ่นคิดแต่ก็ล้มเลิกความคิดอย่างรวดเร็วว่าอวิ๋นเหมี่ยวต้องการสร้างกระแสกับเขา เพราะตอนแรกอวิ๋นเหมี่ยวชวนแค่ซูโย่วอี๋เท่านั้น แต่เขาเป็นคนอยากติดสอยห้อยตามไปเอง
“ออกไปสูดอากาศหน่อยไหม”
ซูโย่วอี๋วางโทรศัพท์ลง “รุ่นพี่ไม่เหนื่อยเหรอ”
เห็นวิ่งอยู่บนหลังม้าหลายรอบ…
ฮันเจ๋อหยางคิด เขาดึงเก้าอี้และนั่งลงข้าง ๆ เธอ
แต่สวีโหมวเรียกหาเขาและอวิ๋นเหมี่ยวพอดี “เจ๋อหยาง อวิ๋นเหมี่ยว มาดูฉากขี่ม้าของพวกคุณสิ”
ภาพในจอคืออวิ๋นเหมี่ยวอยู่ในอ้อมแขนของหลี่จื้อ โดยที่มีมือของหลี่จื้อโอบรอบเอวของอวิ๋นเหมี่ยวไว้มั่น แต่สิ่งที่ตลกยิ่งกว่าคือมีช่องว่างที่ชัดเจนระหว่างร่างทั้งสอง
“ในเรื่องพวกคุณคือคู่รักกันนะ ระยะห่างแบบนี้มันดูแปลก ๆ”
“ส่วนอวิ๋นเหมี่ยว คุณวิ่งตามหาเขาทั้งวันทั้งคืน คุณได้พบคนที่คุณรักและพบว่าเขายังปลอดภัยดีอีกด้วย ตอนนั้นคุณคงอ่อนเพลียมาก แต่คุณก็ยังมีแรงที่จะควบคุมร่างกายของคุณเองเพื่อไม่ให้อยู่ในอ้อมแขนของคนรักเหรอ?”
มันสมเหตุสมผลหรือไง?
อวิ๋นเหมี่ยวมองไปที่ฮันเจ๋อหยางอย่างเขินอาย “มันเป็นความผิดของฉันเองค่ะ ตอนนั้นฉันคิดว่าคงไม่มีใครมองออก”
สวีโหมวจุดบุหรี่ “ทุกคนเป็นนักแสดงมืออาชีพ ปัญหานี้ไม่ควรเกิดขึ้น”
ฮันเจ๋อหยางพยักหน้า “โอเค ผมเข้าใจแล้ว”
“แยกย้ายกันไปพัก แล้วเราค่อยมาถ่ายทำฉากนี้ใหม่”
เมื่อการถ่ายทำเริ่มขึ้นอีกครั้ง ทั้งฮันเจ๋อหยางและอวิ๋นเหมี่ยวก็ทุ่มเทให้กับงานของพวกเขามากขึ้น
เดิมทีกู้ชิงเฉิงเดินทางข้ามเวลา ไม่ใช่คนต้าเซี่ยจริง ๆ แต่นางให้ความสำคัญกับการเว้นระยะห่างระหว่างชายหญิง ทว่าตอนนี้นางเพียงต้องการแสวงหาความอบอุ่นและปลอดภัยในอ้อมแขนของคนรัก
ดังนั้นนางจึงพิงร่างทั้งหมดของนางไว้บนร่างของหลี่จื้อ โดยพิงศีรษะของนางไว้ที่ช่วงไหปาร้าของเขา
จากนั้นนางหันศีรษะไปฟังสิ่งที่หลี่จื้อพูดและยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อนแต่ก็พึงพอใจ
ในทางกลับกัน หลี่จื้อกอดเอวบางของกู้ชิงเฉิงในลักษณะที่ผ่อนคลาย เมื่อใดก็ตามที่กู้ชิงเฉิงพูดด้วยเสียงเบา ๆ เขาจะก้มศีรษะลงเพื่อฟังอย่างตั้งใจ
ช่างดูเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ!
เมื่อผ่านการถ่ายทำครั้งนี้ไป
สวีโหมวมีความสุขมากจนหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกมวน “เฮ้อ ความรู้สึกนี้แหละ ใช่เลย”
อวิ๋นเหมี่ยวตอบอย่างสุภาพว่า “ขอบคุณผู้กำกับสวีสำหรับคำแนะนำนะคะ”
ซูโย่วอี๋เฝ้าดูทั้งสองคนถ่ายทำตลอดเวลา เมื่อฮันเจ๋อหยางกลับมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา “พอมีหญิงงามอยู่ในอ้อมแขน ก็หุบยิ้มไม่ได้เลยนะ”
ฮันเจ๋อหยางให้กำปั้นเธออย่างไร้ความปราณี “เงียบไปเลย”
“เบา ๆ หน่อยสิ”
ฮันเจ๋อหยางกุมหัวของเธอ “ล้อเล่นน่ะ”
“ฉันคงอกหักสินะ คนที่ฉันรักกลับไปมีความรู้สึกลึกซึ้งกับนางเอก แถมตัวเองยังถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินอีก”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรุ่นพี่ หลี่จื้อของรุ่นพี่ไม่ได้กลับมาช่วยฉันในทันที เพราะมัวแต่หลงใหลอยู่กับหญิงสาว ไร้มนุษยธรรมจริง ๆ”
ฮันเจ๋อหยางเลิกคิ้ว “นั่นคือฮั่วเสวียน ไม่ใช่เธอสักหน่อย”
“แล้วถ้าเป็นฉันล่ะ รุ่นพี่จะช่วยไหม”
“ช่วย”
ซูโหย่วอี้ยิ้มราวกับดอกไม้บาน “ขอบคุณฮันเจ๋อหยางที่ยังมีจิตสำนึกอยู่นะ”
วันถัดไป ร้านซาลาเปาซิงซิงแทบแตก
เพราะมีคนมาเช็กอินไม่ขาดสาย บ้างมาเป็นกลุ่ม บ้างมาคนเดียว ผู้คนต่างยืนถ่ายรูปหน้าประตูหรือแม้กระทั่งถ่ายรูปกับเจ้าของร้าน