บทที่ 209 รับทราบ
บทที่ 209 รับทราบ
หลายวัน?
ซูโย่วอี๋พยายามลืมตา “ไม่ใช่สิ เหมยเหมยบอกว่าแม่ครัวคนนี้มาจากบ้านเก่าของตระกูลลู่ แล้วเธอจะเป็นเพื่อนคุณได้ยังไง”
“ครอบครัวไป๋ให้คนไปจับเธอเพื่อกลับไปสืบทอดกิจการของครอบครัว และเบาะแสของเธอจะต้องไม่ถูกเปิดเผย นั่นเป็นเหตุผลที่ผมขอให้เหมยเหมยสวมรอยเป็นเธอ”
“ทักษะการทำอาหารของเสิ่นเฉียวนั้นดีมากจนสามารถเป็นหัวหน้าเชฟของร้านอาหารมิชลินสามดาวได้เลย”
ในหัวของซูโย่วอี๋มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย เสียดายความสามารถ!
ไม่น่าแปลกใจที่ผู้กำกับสวีและฮันเจ๋อหยางถึงกินครั้งเดียวก็ติดใจในฝีมือของเธอ
“ลำบากเธอหรือเปล่า”
ลู่เฉินพูดเบา ๆ ว่า “ไม่เป็นไร เธอชอบค้นคว้าเรื่องอาหาร”
เหมือนจะมีความต่างระหว่างการค้นคว้าและการปรุงอาหารนะ
เมื่อเห็นว่าเกือบจะแปดโมงแล้ว ซูโย่วอี๋ก็ขยี้ผมของเธอ “ตื่นนอน!”
ขณะที่แปรงฟัน จู่ ๆ เธอก็คิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ลู่เฉินแนะนำเพื่อนให้เธอให้รู้จัก เธอควรแต่งตัวสักหน่อยไหม
แต่ทักษะการแต่งหน้าของซูโย่วอี๋จะดีขนาดนั้นได้อย่างไร?
หลังจากคิดอยู่นาน เธอก็เดินไปหาลู่เฉินช้า ๆ “คุณลงไปก่อนไหม”
“หืม?” ลู่เฉินแสดงท่าทีงงงวย
“ฉันปวดท้อง อยากเข้าห้องน้ำ คุณลงไปก่อนเถอะ อย่าให้เพื่อนรอนาน มันเสียมารยาท”
ในขณะที่ซูโย่วอี๋พูด เธอก็ได้ผลักลู่เฉินออกจากประตูไปและปิดประตูอย่างไร้เยื่อใย
ลู่เฉินลูบจมูก นี่เขาถูกแฟนไล่ออกจากห้องเหรอ?
เขายิ้มเอ็นดูเธอ จากนั้นก็ก้าวขายาว ๆ เข้าไปในลิฟต์
เขากดลิฟต์ไปที่ชั้นหนึ่ง แต่ในขณะนั้นก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังขึ้น “รอด้วยค่ะ”
ลู่เฉินกดปุ่มเปิดอีกครั้ง แต่เขาไม่คิดว่าจะเจอ… คนรู้จัก
ซึ่งอวิ๋นเหมี่ยวเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นลู่เฉินที่อยู่ในลิฟต์ ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความงุนงงจนเธอลืมก้าวเข้าไปด้านใน
ลู่เฉินพูดขึ้นเบา ๆ “จะไปไหม?”
อวิ๋นเหมี่ยวที่ตื่นตระหนกไปครู่หนึ่งก็ได้สติ “ไป… ไปค่ะ”
เมื่อลิฟต์ปิดลง ด้านในก็เหลือเพียงสองคนในพื้นที่คับแคบ
คนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้า อีกคนยืนอยู่ด้านหลัง
อวิ๋นเหมี่ยวเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังกว้างของชายตรงหน้าเธอ ที่ดูหล่อเหลากว่าเมื่อห้าปีก่อน อีกทั้งยังเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและดูภูมิฐานมากกว่าเมื่อก่อนมาก
อาจเป็นเพราะเขาเป็นผู้บริหารและและเป็นหัวหน้าของคนจำนวนมาก ตอนนี้ลู่เฉินทำให้เธอรู้สึกว่าเขาดูห่างไกลจากเธอมากและไม่ได้สนใจเธอแม้แต่น้อย
หัวใจของอวิ๋นเหมี่ยวเต้นแรงมากขึ้น
ในอดีต ชายคนนี้คือคนที่อยู่เคียงข้างเธอ เราต่างก็มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น
เขาจะยังคิดถึงความรักครั้งเก่าอยู่หรือเปล่า?
เมื่อนึกถึงเรื่องดังกล่าว รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอวิ๋นเหมี่ยว “ลู่เฉิน ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”
วินาทีผ่านไป
สองวินาทีผ่านไป
ไม่มีน้ำเสียงตอบรับมาจากเขา อวิ๋นเหมี่ยวกำมือของเธออย่างประหม่า
ใบหน้าของอวิ๋นเหมี่ยวซีดลง แต่ในตอนนั้นเองลู่เฉินก็หันไปมา เขามองเล็กน้อยและพยักหน้าเบา ๆ ให้เธอ “อืม”
ประตูลิฟต์เปิดออก ลู่เฉินเป็นคนเดินออกไปก่อน
อวิ๋นเหมี่ยวมองไปที่แผ่นหลังของเขาแล้วไล่ตามเขาไป “ลู่เฉิน”
ลู่เฉินเอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง “ผมคิดว่าคุณอวิ๋นกับผมไม่สนิทกันมากพอที่จะเรียกชื่อออกมาโดยตรงนะครับ”
อวิ๋นเหมี่ยวผิดหวัง “ฉันเองที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ขอโทษที่ทำให้ประธานลู่ไม่พอใจค่ะ”
“ฉันไม่ค่อยมีเพื่อนที่จีน พอฉันได้เจอคนรู้จักก็อดไม่ได้ที่จะทักทาย”
ลู่เฉินเหลือบมองใบหน้าของอวิ๋นเหมี่ยวและมองเห็นเจตนาของเธออย่างชัดเจน
ผ่านมาหลายปี เธอก็ยังคงเหมือนเดิม แสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อให้ได้มาซึ่งความเห็นอกเห็นใจ
ลู่เฉินเลิกคิ้ว “แฟนผมขี้หึง เธอไม่ชอบให้ผมคุยกับผู้หญิงคนอื่น ขอตัวก่อน”
“ประธานลู่ คุณยังไม่ได้บอกซูโย่วอี๋ว่าฉันเป็นแฟนเก่าของคุณใช่ไหม”
ตอนนี้ลู่เฉินอยากเห็นว่าอวิ๋นเหมี่ยวแสดงอาการอย่างไร แต่เมื่อมันเกี่ยวข้องกับซูโย่วอี๋ ลู่เฉินก็ระมัดระวังมากขึ้น
“ไม่จำเป็น”
อวิ๋นเหมี่ยวยืนกราน “ทำไมคุณถึงไม่เล่าล่ะว่าฉันเคยคบกับคุณมาก่อน ฉันทำให้คุณอับอายอย่างนั้นเหรอ หรือเป็นเพราะคุณชอบเธอมากจนไม่อยากให้เธอต้องกังวลใจ”
หรือว่าจริง ๆ แล้วคุณไม่เคยลืมฉันได้เลย?
หรือคุณยังเหลือความรู้สึกดี ๆให้ฉันอยู่
ลู่เฉินรู้สึกงุนงง “ถ้าคุณมีคำตอบในใจอยู่แล้ว คุณจะมาถามผมทำไม ถ้าคุณยังดึงดันที่จะพูดเรื่องนี้อยู่ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด”
อวิ๋นเหมี่ยวมองตาลู่เฉินย่างแน่วแน่ “ได้โปรดบอกฉันที”
“เรื่องของเรามันผ่านไปแล้ว ไม่มีอะไรให้พูดถึง มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก”
ลู่เฉินไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับซูโย่วอี๋เพราะตัวเขาและเหตุการณ์ในอดีต
“งั้นประธานลู่ ฉันขอถามหน่อย ก่อนหน้านี้ฉันขอให้คุณฮันเจ๋อหยางเป็นคนกลางเพื่อดูว่าฉันสามารถเซ็นสัญญากับเทียนฉีได้ไหม แต่หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้รับการติดต่อจากเขาเลย เขาลืมไปหรือเปล่า หรือว่าคุณ…. คุณเป็นคนปฏิเสธเองเหรอ?”
“ผมเป็นคนปฏิเสธ”
“ทำไม?”
“เหตุผลก็คือสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไป”
ลู่เฉินจะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทุกอย่างที่จะทำให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์ของเขากับซูโย่วอี๋อย่างเด็ดขาด
แต่เมื่อได้ยินอย่างนั้น อวิ๋นเหมี่ยวก็น้ำตาคลอ “ลู่เฉิน มันยุติธรรมเหรอที่คุณทำกับฉันแบบนี้”
“ถ้าคุณดีกับฉันให้ได้ครึ่งหนึ่งกับที่คุณดีกับซูโย่วอี๋ ตอนนั้นเราสองคนคงไม่เป็นอย่างนี้ ตอนนี้คุณกำลังใช้ทุกคำพูดเพื่อปกป้องซูโย่วอี๋จากอันตราย แล้วฉันล่ะ? คุณไม่สนใจความรู้สึกของฉันเลยเหรอ”
อย่างไรเสียพวกเขาก็คบกันมากว่าหนึ่งปี
ลู่เฉินไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับเธออีกต่อไป “คุณอวิ๋น ช่วยเคารพกันด้วย”
“อ้าว ยุงมันมากจากไหนแต่เช้า เสียงหึ่ง ๆ น่ารำคาญชะมัด”
ไป๋เสิ่นเฉียวสวมผ้ากันเปื้อนและหมวกเชฟออกมา “อ้าว ลู่เฉิน!”
“ภรรยาสุดสวยของนายไปไหนซะล่ะ”
ลู่เฉินขยิบตา “เธอยังไม่ลงมา ฉันขอดูหน่อยว่าอาหารของเธอเป็นยังไงบ้าง”
“แหม ประธานลู่ผู้มีงานรัดตัว เดี๋ยวนี้ไม่ทำงานแล้วเหรอ หรือว่าอยากจะลาออกไปท่องโลกกว้างกับฉันล่ะ”
“ไปไม่ได้หรอก”
ไป๋เสิ่นเฉียวถอดหมวกเชฟออกเผยให้เห็นศีรษะที่สะอาดสะอ้าน ผมสั้นทัดหู มีตุ้มหูสีม่วงที่ข้างซ้าย
“ทำไมล่ะ? หรือนายติดภรรยาสุดสวยของนายอยู่”
การสนทนาระหว่างพวกเขาสองคนเป็นไปราวกับว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ และไม่มีใครสนใจอารมณ์ที่กำลังปะทุของอวิ๋นเหมี่ยว
ไป๋เสิ่นเฉียวและอวิ๋นเหมี่ยวเองก็รู้จักกัน เธอเป็นเพื่อนสนิทของลู่เฉินสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ในตอนนั้นทั้งคู่มีภาพลักษณ์เป็นคนยากจนในโรงเรียน
แต่ในความเป็นจริง เธอเป็นทายาทของตระกูลไป๋ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของบริษัทเอกชนในจีน
และเขาเป็นทายาทรุ่นที่สามของตระกูลลู่
เธอเป็นทายาทรุ่นที่สามตระกูลไป๋
ทั้งสองตระกูลมักพูดติดตลกเกี่ยวกับการแต่งงานของทั้งคู่เสมอ แต่ต่อมาตระกูลลู่และตระกูลฮันมีความสัมพันธ์กันเสียก่อน ดังนั้นเรื่องที่คุยกันไว้จึงไม่ได้เกิดขึ้น
แต่ไป๋เสิ่นเฉียวเองก็ไม่ทันได้รักกับลู่เฉิน เขาก็มาเจออวิ๋นเหมี่ยวซะก่อน
อวิ๋นเหมี่ยวตะโกนเรียกว่า “เสิ่นเฉียว”
ไป๋เสิ่นเฉียวชะเง้อและมองไปรอบ ๆ แต่เธอไม่ได้มองไปที่อวิ๋นเหมี่ยว “ลู่เฉิน นายได้ยินอะไรไหม”
“เอ๊ะ หรือว่ายุงตัวนั้น เราไปที่อื่นกันเถอะ จะได้ไม่โดนยุงกัด ดูดเลือดน่ะเรื่องเล็ก แต่ป่วยนี่สิเรื่องใหญ่”
หลังจากพูดจบ เธอก็ดึงลู่เฉินเข้าไปในห้องอาหาร
ทันทีที่ประตูปิด ไป๋เสิ่นเฉียวก็กลับมาเป็นปกติ เธอชี้ไปที่ลู่เฉินและดุว่า “เธอพูดอะไรกับนายตั้งนาน นี่เธอยังมียางอายอยู่หรือเปล่า ไม่ต้องไปสนใจเธอนะ ตกลงไหม?”
ลู่เฉินยกนิ้วให้เธอ “รับทราบ”