บทที่ 210 ยอมเพราะความสวย
บทที่ 210 ยอมเพราะความสวย
“ถ้าครั้งหน้าฉันเห็นพวกนายสองคนอยู่ด้วยกันอีก ฉันจะโกยนายด้วยพลั่วแล้วไปเททิ้งที่ต่างประเทศเลย”
ในตอนนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ด้านนอกประตู ไป๋เสิ่นเฉียวก็หยุดพูดทันที และลู่เฉินก็ได้กำชับเธอว่าห้ามพูดเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด
วินาทีต่อมา ประตูก็ถูกผลักออก
ซูโย่วอี๋ปรากฏตัวที่ประตูในชุดยาวสีน้ำเงินขาว ผมสีดำของเธอยาวพาดบ่า ใบหน้าของเธอถูกแต่งแต้มด้วยการแต่งหน้าที่ละเอียดอ่อน และเธอก็สวมสร้อยคอและต่างหูที่เข้าชุดกัน
เธอที่ดูดีมากอยู่แล้ว พอแต่งตัวก็ยิ่งไม่สามารถละสายตาจากเธอได้
ไป๋เสิ่นเฉียวไม่ได้ยับยั้งความประหลาดใจในดวงตาของเธอ และเธอก็รู้สึกเขินอายเมื่อได้พบกับซูโย่วอี๋
ลู่เฉินเองก็เต็มไปด้วยความสุข
แฟนสาวของเขาไล่เขาออกจากห้องเพราะเธอไปแต่งหน้าจัดเต็มนี่เอง
เขาลุกขึ้นและจับมือซูโย่วอี๋ “โย่วอี๋ นี่คือไป๋เสิ่นเฉียว”
ไป๋เสิ่นเฉียวเก็บอาการของเธอไว้ไม่อยู่ เธอรีบยื่นมือขวาของเธอออกไปทันที “ภรรยาสุดสวย อุ๊ย ไม่สิ สวัสดีค่ะ เคยมีใครบอกคุณไหมว่าคุณดูดีจนทำให้คนอื่นดูด้อยเลยน่ะ”
ซูโย่วอี๋คิดว่าคน ๆ นี้ค่อนข้างมีอารมณ์ขัน ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “สวัสดีค่ะ”
คงเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดว่าคนอื่นหน้าตาหรือรูปลักษณ์ด้อยกว่า แต่หน้าตาของไป๋เสิ่นเฉียวนั้นไม่ได้ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย
เธอผมสั้น ผิวขาว คิ้วหนา และดูเป็นคนซุกซนนิด ๆ
รูปร่างของเธอผอมบางและดูเหมือนเดินออกมาจากการ์ตูน
เป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ
ซูโย่วอี๋แอบจินตนาการว่าการทำอาหารของไป๋เสิ่นเฉียวนั้นคงเหมือนในอนิเมะที่เธอเคยดู
ไป๋เสิ่นเฉียวแอบมองซูโย่วอี๋และลู่เฉินหลายครั้ง ยิ่งดูเธอก็ยิ่งพอใจ “นั่งลงก่อนสิ เดี๋ยวฉันให้เด็กเอาอาหารมาเสิร์ฟ”
อาหารคือหม้อไฟรสเผ็ดและโจ๊กธัญพืชที่ลู่เฉินสั่ง
ตอนที่ลู่เฉินให้ไป๋เสิ่นเฉียวมาทำอาหารให้ซูโย่วอี๋ เธอลังเลมาก เพราะในหนึ่งวันก็กินอาหารแค่สามมื้อแท้ ๆ แต่สุดท้ายแล้วซูโย่วอี๋กลับโยนภาระงานของอีกสองคนมาให้เธอ!
ไป๋เสิ่นเฉียวโกรธมากจนเธออยากจะหยุดงานประท้วง
แต่เมื่อเห็นซูโย่วอี๋ตอนนี้ เธอก็หายโกรธเป็นปลิดทิ้ง
ก็แค่ทำอาหารให้เทพธิดาและคนรักกิน?
ลู่เฉินจับมือของซูโย่วอี๋และจูบมือของเธอพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “แต่งหน้าเหรอ”
ซูโย่วอี๋หน้าร้อนผ่าว ก่อนหน้านี้เธอเร่งเหมยเหมยให้แต่งหน้าไว ๆ ไม่รู้ว่าเธอปัดแก้มเท่ากันหรือเปล่า
“อืม โอเคไหม?”
“โอเค”
ไม่ว่าจะโอเคหรือไม่ ลู่เฉินก็ชอบเธอที่จิตใจอยู่ดี
พนักงานเข้ามาเสิร์ฟอาหาร ส่วนไป๋เสิ่นเฉียวที่เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก็มานั่งลงข้าง ๆ ซูโย่วอี๋ “โย่วโย่ว เรามานั่งด้วยกันเถอะ”
ซูโย่วอี๋กำลังจะพูด แต่จิ้งจอกเน่าก็กรีดร้องอยู่ในใจของเธอแล้วพูดว่า [ซู่จู่ ตอบรับเธอ]
ซูโย่วอี๋พบว่าตอนนี่มีเครื่องเคียงหลายอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนบนโต๊ะอาหารวันนี้
ไป๋เสิ่นเฉียวแนะนำทันที “นี่คืออาหารจานใหม่ที่ฉันเพิ่งคิดค้นระหว่างเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ ในโม่เป่ย โดยผสมผสานลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นเข้ากับเทคนิคการเตรียมอาหาร ลองชิมดูสิ”
ซูโย่วอี๋มองไปที่อาหารหลายจานที่อยู่ตรงหน้า… มันดูธรรมดามาก ดังนั้นเธอจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาและเตรียมที่จะลองชิม
แต่ลู่เฉินกลับหยุดมือของเธอเอาไว้ “อย่า จะเป็นการดีที่สุดถ้าคุณไม่แตะต้องอาหารที่อยู่ในช่วงพัฒนา”
ครั้งที่แล้วเสิ่นเฉียวนำอาหาร ‘จานใหม่’ มาให้เขาชิมอย่างตื่นเต้น มันมีรสชาติแปลก ๆ และต่อมาก็พบว่ามันเป็นอวัยวะของสัตว์บางชนิดที่อธิบายไม่ได้!
นั่นทำให้ลู่เฉินแทบจะอาเจียนออกมาทันที
ไป๋เสิ่นเฉียวเหลือบมองลู่เฉิน “ฉันน่ะโกหกนายได้ แต่ฉันไม่โกหกเธอหรอก อาหารพวกนี้อร่อยมากนะ”
ซูโย่วอี๋ผลักมือของลู่เฉินออก แล้วใส่ตะเกียบเข้าไปในปากของเธอและค่อย ๆ เคี้ยว “กรอบ อร่อย”
ไป๋เสิ่นเฉียวดีใจมาก “ฉันบอกแล้วว่ามันอร่อย”
จากนั้นเธอก็ดึงซูโย่วอี๋มาพูดคุยเกี่ยวกับที่มาของแรงบันดาลใจ วัตถุดิบและเทคนิคการผลิตของอาหารจานใหม่
ลู่เฉินทำอะไรไม่ถูก “เสิ่นเฉียว เธอให้เสี่ยวอี๋กินก่อนสิ เมื่อคืนเธอไม่ได้กินอะไรเลยนะ”
“ไม่เป็นไร ฉันก็กำลังกินอยู่นี่ไง”
แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกัน แต่ซูโย่วอี๋ก็ชอบเสิ่นเฉียวมาก
แต่พอไป๋เสิ่นเฉียวไม่พูด ทั้งโต๊ะอาหารก็เงียบลงทันที
เมื่อฮันเจ๋อหยางเข้ามา เขาก็ตกตะลึงไปสองวินาที “ประธานลู่”
สายตาของเขามองผ่านไปแล้วหันกลับมา “เสิ่นเฉียว?”
ไป๋เสิ่นเฉียวเลิกคิ้ว “ว่าไง”
“เธอไม่หนีไปไหนแล้วเหรอ คุณปู่ของเธอทักมาหาฉันทุกสองเดือนเลย”
ปู่ของเธอมาถามเขาว่ามีข่าวคราวเกี่ยวกับเสิ่นเฉียวบ้านหรือเปล่า
เสิ่นเฉียวทำหน้ามุ่ย “ปู่ของฉันทำได้ทุกอย่างแหละ เพียงแต่…”
“แค่ต้องการให้เธอกลับบ้านและสืบทอดกิจการของครอบครัวใช่ไหม”
“ในบรรดาเพื่อนของฉันตอนเด็ก ๆ ฉันยอมรับในตัวเธอนะ เธอเกิดมาก็ดื้อไม่ยอมใคร ไม่อยากเป็นลูกสาวที่ดีของตระกูลไป๋ ต้องวิ่งเต้นไปทั่วเพื่อที่จะเป็นเชฟ”
ไป๋เสิ่นเฉียวไม่มีความสุขเมื่อได้ยิน “นี่ ทำไมนายดูถูกคนทำอาหารแบบนี้ นายก็ได้ชิมฝีมือของฉันมาหลายรอบแล้วนี่ มันยุติธรรมเหรอที่นายพูดแบบนี้น่ะฮะ”
ฮันเจ๋อหยางคีบเนื้อปลาหมึกขึ้นมาจากหม้อและใส่เข้าปาก รสชาติของมันยังดีเหมือนเดิม ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า “เธอเป็นคนทำอาหารให้ซูโย่วอี๋เหรอ”
“ใช่เหรอ ซูโย่วอี๋ สุดยอดแม่ครัวหลวงไป๋เสิ่นเฉียวน่ะเหรอ”
ฮันเจ๋อหยางมองไปที่ซูโย่วอี๋ “เยี่ยมไปเลย ไป๋เสิ่นเฉียวดูไม่น่าจะเข้ากับใครได้นะ เธอปราบยัยนี่ได้ยังไง”
ใครก็ตามที่ใกล้ชิดกับเธอจะบอกได้ว่าไป๋เสิ่นเฉียวชอบซูโย่วอี๋มาก
ซูโย่วอี๋งงเพราะเธอไม่ได้ทำอะไรเลย
ที่ไป๋เสิ่นเฉียวยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนี้ มันขึ้นอยู่กับความสวยของเธอต่างหากล่ะ!
เฮ้อ
“เธอกลายเป็นหัวข้อยอดนิยมอีกแล้ว”
ซูโหย่วอี้เอียงศีรษะอย่างสงสัย “หืม ฉันไม่มีเวลาดูโทรศัพท์เลย เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
“ขอร้องให้ฮั่วเสวียนกลับมาเป็นผู้หญิงอีกครั้ง” ฮันเจ๋อหยางตอบ
ตอนล่าสุดของละครรักในฝันที่ออกอากาศเมื่อคืนนี้คือตอนที่ฮั่วเสวียนถูกคุมขัง แฟน ๆ หลายคนที่อ่านนิยายเรื่องนี้ก็รู้ว่าตอนต่อไปคือการเปิดเผยตัวตนของนางว่าเป็นผู้หญิง!
ฮั่วเสวียนซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงตัวประกอบในนวนิยายเรื่องนี้ไม่ได้มีอิทธิพลมากนักเมื่อตัวตนของนางถูกเปิดเผย
แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาและทักษะการแสดงของซูโย่วอี๋ ทำให้ฮั่วเสวียนกลายเป็นนางเอกที่ชาวเน็ตต่างพูดถึงไปแล้ว
ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกคาดหวัง
[ในขณะที่เสียใจที่ฮั่วเสวียนถูกทรมาน ฉันก็ตะโกนให้เธอรีบหนีไป]
[แส้ทำให้เสื้อผ้าของฮั่วเสวียนขาด ทำให้ทุกคนรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง]
[ตั้งหน้าตั้งตารอการเปิดเผยตัวตนของฮั่วเสวียนเลย]
[ฉันอยากเห็นปฏิกิริยาของอูซือม่านเมื่อเขารู้ว่าฮั่วเสวียนเป็นผู้หญิงจัง]
[ฮ่า ๆ ๆ เพียงแค่ปลดอาวุธให้ยอมจำนนและก้มลงใต้กระโปรงของฮั่วเสวียนก็รู้แล้ว]
[ขออภัย แต่อูซือม่านไม่ใช่คนหยาบคาย เขาไม่รู้หรอกว่าการก้มใต้กระโปรงคืออะไร]
[จากแฟนละครพันธุ์แท้ที่ไม่เคยอ่านนิยาย พระเอกอย่างหลี่จื้อไม่รู้จริง ๆ หรือว่าฮั่วเสวียนเป็นหญิง?]
[นั่นสิ ไม่รู้จริงเหรอ แต่ถ้าเขารู้ ฉันว่าเขาอาจจะชอบฮั่วเสวียนไปแล้ว]
[ผู้กำกับสวีเปลี่ยนบท!]
ซูโย่วอี๋ต้องการหยิบโทรศัพท์ออกมาดู แต่ถูกลู่เฉินดึงออกไป “กินข้าวก่อน”
ฮันเจ๋อหยางและไป๋เสิ่นเฉียวมองหน้ากันและยิ้มโดยอัตโนมัติ
หลังจากที่ซูโย่วอี๋ทานอาหารเสร็จ ลู่เฉินก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอ
ซูโย่วอี๋มองไปที่หัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงในหมู่ชาวเน็ต
หลังจากไถจอไปสักพักก็รู้ว่าสามคนบนโต๊ะกำลังมองมาที่เธอ
เมื่อเห็นเธอเงยหน้าขึ้น ฮันเจ๋อหยางก็ถามว่า “ไปได้หรือยัง”
อีกด้าน ไป๋เสิ่นเฉียวก็ดูชอบใจ “ฉันควรทำยังไงดี ถ้าภรรยาสุดสวยของลู่เฉินดูสวยขึ้นเรื่อย ๆ”
ลู่เฉินลูบหัวของซูโย่วอี๋เบา ๆ “เดี๋ยวผมจะกลับไปปักกิ่ง”
ทำไมกะทันหันจัง?
ซูโย่วอี๋ส่งสายตาไม่พอใจผ่านดวงตาของเธอ และไป๋เสิ่นเฉียวก็ลุกขึ้นทันที “เสี่ยวฮัน ไปกันเถอะ”
ให้คู่หนุ่มสาวมีเวลาใกล้ชิดกัน
ซึ่งฮันเจ๋อหยางเดินตามหลังไป “เธอเรียกใครเสี่ยวฮัน”
“เรียกนายไง”