บทที่ 222 ปกป้องความรัก
บทที่ 222 ปกป้องความรัก
[หลี่จื้อ นายชอบกู้ชิงเฉิงเพราะนายคิดว่าฮั่วเสวียนไม่ต้องการการปกป้องเหรอ?]
[ทีมผู้กำกับโหดเหี้ยมมาก การตัดต่อน่าปวดหัวจริง ๆ เขาตัดฉากหลี่จื้อกับกู้ชิงเฉิงกอดกันอยู่บนหลังม้าออก แล้วใส่ฉากที่ฮั่วเสวียนถูกทรมานมา]
[จัดการทีมงานเดี๋ยวนี้]
[ต้องมีคนเขียนจดหมายเลือดไปขอร้องให้ฮั่วเสวียนและอูซือม่านอยู่ด้วยกันแล้วแหละ]
[ฉันรักท่านผู้นำที่มีอำนาจอย่างอูซือม่าน ผู้ชายหล่อเหลาคนนี้ทำดีกับนางตลอด ฮั่วเสวียนไม่สนใจเขาจริง ๆ เหรอ]
[หัวหน้าศัตรูประเภทไหนกัน นี่คือสุดยอดสามีที่ไม่มีใครเทียบได้ของฮั่วเสวียนต่างหาก]
ความนิยมของป๋ายลิ่นเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าชาวเน็ตจะรู้อยู่แล้วว่า ฮั่วเสวียนไม่มีความรู้สึกแบบชายหญิงกับอูซือม่าน แต่พวกเขายังคงเชื่อมั่นอย่างไม่ลดละ
ชาวเน็ตบางคนถึงกับบอกว่าพวกเขาจะไม่ดูฉากนี้ ฉากของรักในฝันจบลงในขณะที่ทั้งสองเสร็จสิ้นการบูชาฟ้าดิน
จากนั้นเป็นต้นมา ฮั่วเสวียนและอูซือม่านก็ใช้ชีวิตแต่งงานอย่างมีความสุขในหร่งตี๋
ซูโย่วอี๋อ่านความคิดเห็นอย่างสนใจ ส่วนฮันเจ๋อหยางก็พร้อมจะเล่นเกมแล้ว เขาจึงถามอย่างเป็นกันเองว่า “ทำไมเธอเล่นไม่เป็น? ลงทะเบียนสิ แล้วฉันจะสอนให้”
“ขอบคุณที่ชวนค่ะ แต่ไม่ดีกว่า ถ้าเกมนี้ไม่ติดต่อรุ่นพี่ไปเป็นพรีเซนเตอร์คงน่าเสียดายแย่เลยเนอะ”
ทั้งสองทำในสิ่งที่ตัวเองสบายใจ
แต่มักมีคนที่ไม่พอใจและคอยหาเรื่องให้วุ่นวายอยู่เสมอ
“คุณซู ผมซื้อเค้กมาให้เหมียวเหมี่ยว แต่ได้ยินมาว่าคุณชอบเหมือนกัน คุณลองดูก่อนสิว่ามีอะไรที่คุณชอบไหม”
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าเค้กในมือของซวี่เฟิงและเห็นเค้กในมือที่ห่อมาอย่างประณีต นั่นเป็นยี่ห้อที่เธอกินบ่อย ๆ
“ตอนนี้ฉันยังไม่หิวค่ะ”
ซวี่เฟิงวางเค้กลงบนโต๊ะเครื่องแป้งของซูโย่วอี๋ “งั้นผมวางไว้ตรงนี้นะ หิวเมื่อไหร่ก็กินนะครับ”
“เฮ้ มีคนมาแย่งหน้าที่ของฉันเหรอ?”
ก่อนที่ซูโย่วอี๋จะส่งเสียง จิ้งจอกเน่าก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งอยู่ในหัวแล้ว [อา นั่นพี่ไป๋ของฉัน]
ไป๋เสิ่นเฉียวสวมชุดลำลองสีดำ เธอมีรูปร่างเพรียวบาง ในมือถือกล่องอาหารสีขาวอยู่
ซวี่เฟิงขมวดคิ้ว “ใครน่ะ?”
อวิ๋นเหมี่ยวหลบสายตาของเธอและไม่ตอบ
ส่วนฮันเจ๋อหยางที่เล่นเกมอยู่ก็ทักทายว่า “เธอมาที่นี่ทำไม”
ไป๋เสิ่นเฉียววางกล่องอาหารลงบนโต๊ะ เธอเผลอดันเค้กตกลงบนพื้น แล้วปลายตามองไปที่ซวี่เฟิง “คุณถามฉันเหรอ”
“ฉันเป็นแม่ครัวส่วนตัวของเสี่ยวโย่วและเป็นผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมเซิ่งชิงเฟิง พ่วงด้วยตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายพัฒนาอาหาร”
โรงแรมเซิ่งชิงเฟิงเป็นหนึ่งในโรงแรมห้าดาวที่ดีที่สุดในจีน อยู่ในเครือโรงแรมระดับประเทศ
ซวี่เฟิงรู้สึกว่าความภาคภูมิใจของเขาถูกท้าทาย อาจเป็นเพราะสายตาดูถูกเหยียดหยามที่มีต่อไป๋เสิ่นเฉียวนั้นชัดเจนเกินไป “อ้อ คุณคือคนทำอาหารนี่เอง”
หึ
ทำอาหาร?
นี่เขาไม่ได้ยินคำว่าผู้จัดการทั่วไปที่อยู่ข้างหน้าหรือไง
ไป๋เสิ่นเฉียวยิ้ม “คุณกล้ามากนะที่ถามแบบนี้ คุณสูงส่งแค่ไหนเหรอ ฉันเป็นผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมระดับ 5 ดาว มีคุณสมบัติมากพอที่จะทำอาหารให้โย่วโย่ว แต่เค้กที่คุณนำมาให้เป็นเพียงเค้กโรงแรมระดับ 4 ดาวเท่านั้น”
“อีกอย่าง โย่วโย่วไม่กินเค้กของใครมั่วซั่วหรอกนะ”
ไป๋เสิ่นเฉียวเลิกคิ้วขณะมองซูโย่วอี๋ “ใช่ไหม”
ซูโย่วอี๋ยกยิ้มเมื่อได้ยินคำถามนั้น ทำให้ซวี่เฟิงไปต่อไม่ถูก แต่เธอไม่ต้องการทำให้บรรยากาศนั้นตึงเครียดเกินไป เธอจึงเปลี่ยนเรื่อง “คุณเอาอะไรมาเหรอ”
“ขนมที่ขึ้นชื่อที่สุดในโรงแรมเซิ่งชิงเฟิงน่ะ เอ… จานนี้ราคาเท่าไหร่นะ ฮันเจ๋อหยาง นายกินบ่อยไม่ใช่เหรอ ฉันความจำไม่ค่อยดีน่ะ”
“13,888 หยวน”
ใบหน้าของซวี่เฟิงซีดลงทันที สองคนนี้กำลังล้อเขาเล่นอยู่หรือเปล่า
อาหารอะไรทำไมแพงได้ขนาดนั้น
ไป๋เสิ่นเฉียวยังคงพูดกับตัวเองว่า “อืม ฉันไม่รู้ว่าอาหารจานนี้จะถูกปากโย่วโย่วหรือเปล่านะ”
ซวี่เฟิงทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงพาอวิ๋นเหมี่ยวออกไปทันที แต่ก่อนจากไป เขาเหลือบมองเค้กที่ตกอยู่บนพื้น
จากนั้นไป๋เสิ่นเฉียวเลิกหาเรื่องในทันที เธอพับแขนเสื้อขึ้นและนั่งลงข้างซูโย่วอี๋ ก่อนจะนำกล่องอาหารให้ราวกับกำลังมอบรางวัล “รีบกินเข้าสิ ยังร้อน ๆ อยู่เลย ถ้าเย็นแล้วจะไม่อร่อยเอา”
ซูโย่วอี๋หยิบมันขึ้นมา เมื่อเปิดฝาก็ได้กลิ่นหอมคล้ายใบบัวผสมกับกลิ่นหอมของดอกไม้
ภายในกล่องมีอาหารชิ้นเล็กชิ้นน้อยวางเป็นหย่อม ๆ เหมือนอาหารว่าง
เธอหยิบชิ้นหนึ่งเข้าปาก มันมีรสชาตินุ่ม แน่น ละลายในปาก
ดวงตาของซูโย่วอี๋เป็นประกายระยิบระยับ “อร่อยมาก”
ไป๋เสิ่นเฉียวดูภูมิใจ “แน่นอนสิ ฉันทำเองนะ”
จู่ ๆ ฮันเจ๋อหยางที่กำลังจดจ่ออยู่กับการเล่นเกมก็เงยหน้าขึ้น “เธอทำเองเหรอ”
“อืม ก็ใช่น่ะสิ”
ฮันเจ๋อหยางหันศีรษะและละทิ้งเพื่อนร่วมทีมของเขา “ขอโทษนะทุกคน เดี๋ยวฉันขอออกก่อน พอดีจะไปกินข้าว”
เพื่อนร่วมทีม?
กินข้าว?
นายนี่มันแย่จริง ๆ!
ฮันเจ๋อหยางกินไปสองชิ้น ไป๋เสิ่นเฉียวจึงทนไม่ได้อีกต่อไป “นายทำอะไรน่ะ? นี่ของโย่วโย่วนะ”
ซูโย่วอี๋มองฮันเจ๋อหยางที่ดูเหมือนหมาป่าที่หิวโหย “รุ่นพี่หิวมากเหรอ”
“ไม่ใช่ว่าหิวหรือไม่หิว แต่เป็นเรื่องของเงิน อย่าดูถูกเสิ่นเฉียวเชียวนะ อาหารที่เธอทำแพงมาก”
ซูโย่วอี๋นึกถึงราคาเมื่อกี้นี้ นั่นมันคงไม่ใช่ความจริงหรอกใช่ไหม
ฮันเจ๋อหยางชำเลืองมองเธอ “ไม่ใช่แค่เรื่องเงินที่ฉันจ่ายไม่ไหวนะ ฉันน่ะใช้เวลา 300 วันจาก 365 วันต่อปีไปกับการวิ่งหาอาหารในโรงแรม แต่ละที่ทำตามสูตรกันมาทั้งนั้น ไม่เหมือนของเสิ่นเฉียว”
ถ้าต้องการกินอาหารเสิ่นเฉียวทำ ต้องเพิ่มเงินอีกอย่างน้อย 50,000 หยวน
ยิ่งฟังซูโย่วอี๋ก็ยิ่งอึ้ง
เธอมองไปที่มือขาว ๆ ของเสิ่นเฉียวราวกับกำลังดูกองทอง
“อาหารที่ฉันกินช่วงนี้ ใช่ฝีมือคุณหรือเปล่า”
ไป๋เสิ่นเฉียวเกาหัวด้วยความลำบากใจ “บางครั้ง”
ถึงเธอจะได้รับมอบหมายจากลู่เฉิน แต่เธอไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการทำอาหารเท่าไหร่นัก ทุกครั้งที่เธอไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ เธอมักจะขอให้คนอื่นทำอาหารให้เธอมากกว่า
ซูโย่วอี๋รู้สึกดีขึ้น ไม่อย่างนั้นเธอคงได้รับความกรุณามากเกินไป
อาหารใกล้จะหมดกล่องแล้ว
จู่ ๆ จิ้งจอกเน่าก็พูดขึ้นว่า [ซู่จู่ ฉันอยากลองฝีมือของพี่ไป๋ ช่วยเก็บไว้ให้ฉันที]
ทันใดนั้น ฮันเจ๋อหยางที่กำลังจะหยิบชิ้นสุดท้ายก็ถูกซูโย่วอี๋ปิดฝาเสียก่อน “ไม่ให้แล้ว นี่เป็นของฉัน”
“ซูโย่วอี๋ ฉันเป็นรุ่นพี่เธอ แค่เค้กชิ้นเดียวก็หวงเหรอ”
“รุ่นพี่กินเยอะแล้ว”
ไป๋เสิ่นเฉียวถ่ายภาพของพวกเขาทั้งสองแล้วส่งไปให้ลู่เฉิน [รีบขอบคุณฉันซะ วันนี้เป็นอีกวันที่ฉันจะปกป้องความรักของนาย]
[?] ลู่เฉินงงงวย
[แฟนคนปัจจุบันของแฟนเก่านายมองตาเป็นมัน นายควรระวังให้มากกว่านี้]
สิบนาทีต่อมา ลู่เฉินตอบกลับว่า [ขอบคุณ ฉันจะรีบจัดการ]
จัดการอย่างไร?
ไป๋เสิ่นเฉียวมองไปที่อวิ๋นเหมี่ยวและซวี่เฟิงซึ่งอยู่ไม่ไกล
เห้อ
น่ารำคาญจริง ๆ ที่ต้องเห็นพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง ลู่เฉินทำให้สองคนนี้หายไปไม่ได้หรือไง?
มาวุ่นวายอะไรทุกวี่ทุกวัน
จากนั้น ทีมงานคนหนึ่งตะโกนด้วยโทรโข่งว่า “ทุกคนในกองถ่าย ระวังกันด้วย ช่วงนี้มีของหายบ่อย ๆ ทีมงานตัดสินใจเพิ่มความปลอดภัย ใครไม่ใช่ทีมงานที่นี่ขอเชิญออกไปครับ”
ทีมงานได้ประกาศให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน
ซวี่เฟิงจัดอยู่ในกลุ่มคนนอก อวิ๋นเหมี่ยวพาเขาไปพบสวีโหมวเพื่ออธิบาย แต่ท่าทีของสวีโหมวนั้นแข็งกร้าวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“อวิ๋นเหมี่ยว ถึงเวลาทำงานแล้ว ถึงคนหนุ่มสาวสมัยนี้จะตัวติดกันแค่ไหน แต่แฟนของคุณอยู่ที่นี่นานไปก็ไม่ดี ไว้ค่อยคุยกันหลังเลิกงานแล้วกัน”