บทที่ 223 ข้าจะถอยทัพ
บทที่ 223 ข้าจะถอยทัพ
อวิ๋นเหมี่ยวรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลก ๆ จึงได้เดินออกไปอย่างเงียบ ๆ
ส่วนซวี่เฟิงที่มองไปยังทางที่ซูโย่วอี๋อยู่ก็เดินตามออกไปนอกกองถ่ายอย่างไม่เต็มใจนัก
เขาเตะต้นไม้ข้างถนนด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ก่อนจะร้องออกมาด้วยความเจ็บ ดึงดูดสายตาจากคนที่สัญจรไปมา
อวิ๋นเหมี่ยวรู้สึกขายหน้า “คุณกลับปักกิ่งไปก่อนเถอะ เรื่องของเธอก็ปล่อย ๆ ไปก่อน”
“ปล่อยไปก่อนเหรอ? ผมอยู่ที่นี่มาตั้งนาน บอกให้ปล่อยก็ถือว่าผมมาฆ่าเวลาเล่น ๆ งั้นเหรอ?”
น้ำเสียงของอวิ๋นเหมี่ยวเบื่อหน่าย “แล้วคุณจะทำยังไงล่ะ? คุณก็เห็นแล้วนี่ว่าเธอไม่เคยสนิทใจกับฉันเลย ฉันนัดเธอออกมาแบบส่วนตัว เธอก็ไม่ยอมออกไปกับฉัน เรื่องที่คุณคิดคงจะมีโอกาสอยู่หรอกมั้ง”
ซวี่เฟิงเลิกคิ้วขึ้น “ยาล่ะ?”
“แทบเป็นไปไม่ได้ มีผู้ช่วยคอยควบคุมอาหารของเธออยู่ น้ำที่กินก็เอามาเอง ฮันเจ๋อหยางก็เอาแต่ขลุกอยู่กับเธอ ถ้าไม่ดูดี ๆ ฉันไม่กล้าลงมือหรอก”
ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าเธอจะเป็นฝ่ายเสียหายเสียเอง
สูญเสียมากกว่าได้รับแน่
ซวี่เฟิงกลับคิดว่านี่เป็นข้อแก้ตัวของอวิ๋นเหมี่ยว เขาเลยใช้สายตาเย็นชามองอีกฝ่าย “นี่คุณกำลังเบนความสนใจของผมให้ไปที่อื่นอยู่หรือเปล่า?”
“เปล่า”
“คนเรามักจะรักษาเกียรติของตัวเองอยู่แล้ว จะทำอะไรให้รอบคอบหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องผิด”
ซวี่เฟิงยังคงไม่เห็นด้วย แต่หลังจากที่รับสายโทรศัพท์ เขาก็ยอมกลับไปที่ปักกิ่งแต่โดยดี
อวิ๋นเหมี่ยวพอจะเดาได้ว่าคงไม่มีอะไรมากไปกว่าตลาดมืดที่ไหนสักแห่งมีสินค้าใหม่มาขาย
ไปได้ก็ดี อยู่ที่นี่ก็มีแต่ทำลายชื่อเสียงของเธอ
พอส่งคนแบบนั้นไปได้ อวิ๋นเหมี่ยวก็กลับไปยังกองถ่ายอย่างสบายใจ แต่พอเข้าไปถึง เสิ้งเซี่ยก็เดินเข้ามา
“แฟนของคุณไปแล้วเหรอ?”
อวิ๋นเหมี่ยวพยักหน้า “อืม ผู้กำกับสวีพูดแล้ว ถึงเขาจะไม่อยากไปก็พูดอะไรไม่ได้”
“ไม่เข้าใจจริง ๆ แฟนหนุ่มมาหาแล้วมันจะทำไมกัน แถมยังไล่เขากลับไปอีก ถ้าประธานลู่มาบ้างเขาจะกล้าไล่กลับไปไหมนะ?”
แม้จะเป็นคำพูดประชดประชัน แต่ก็เหมือนการบอกว่าผู้กำกับสวีปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไม่เท่าเทียม
และยังเป็นการบอกเป็นนัยอีกว่าไม่มีใครสนใจซวี่เฟิงเลย
อวิ๋นเหมี่ยวเข้าใจในความหมายของเสิ้งเซี่ย แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “ไม่รู้สิ”
หลังจากนั้นก็พากันหัวเราะและไปยังสถานที่พักผ่อน
ในสายตาคนนอก พวกเธอดูเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน แต่ความสัมพันธ์จริง ๆ นั้นเป็นเช่นไรมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้
เดิมทีเสิ้งเซี่ยพ่ายแพ้ให้กับซูโย่วอี๋ตอนที่ต้องแข่งกันเพื่อบทฮั่วเสวียน แต่สวีโหมวค่อนข้างชอบเธอ ด้วยความพยายามของเสิ้งเซี่ยและคนที่อยู่เบื้องหลัง ทำให้เธอได้บทนางรองคนที่สามมาได้
เธอรับบทเป็นหุยเค่อตงในละคร เจ้าหญิงแห่งเผ่าซีซีผู้ตกหลุมรักอูซือม่านมาตั้งแต่เด็ก
สถานการณ์ของเธอดีกว่าอวิ๋นเหมี่ยวนิดหน่อย กู้ชิงเฉิงที่รับบทโดยอวิ๋นเหมี่ยวไม่เพียงถูกเอามาเปรียบเทียบกับฮั่วเสวียนอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น แต่ตำแหน่งของเธอยังถูกเปลี่ยนจากนางเอกเป็นนางรองอีกด้วย
ในทางตรงกันข้าม หุยเค่อตงที่รับบทโดยเสิ้งเซี่ยเป็นคนตรงไปตรงมาและไร้เดียงสา จึงพอมีแฟนคลับอยู่บ้าง
แม้เสิ้งเซี่ยพึ่งมาร่วมทีมละคร แต่ความเป็นกันเองของเธอก็ถูกส่งไปถึงทุกคนในทีม แต่มีเพียงอวิ๋นเหมี่ยวที่ยอมรับ เธอจึงกลายเป็นเหมือนพี่สาวกับน้องสาว
พอทั้งสองเดินเข้าไปก็พบว่าสวีโหมวกำลังโมโห เสิ้งเซี่ยมองไปยังทีมงานที่กำลังซุบซิบกันอยู่ “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
“สแตนด์อินแสดงได้ไม่ดี ผู้กำกับสวีบอกว่าเธอดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา”
ตอนนี้สแตนด์อินของซูโย่วอี๋เกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว
เธอเต้นเก่งแต่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการแสดงเลย ผู้กำกับสวีเห็นเธอเข้าพอดีตอนที่ไปเลือกคนที่โรงเรียน จึงขอให้เธอมาช่วยแสดงให้
และเธอก็ตกลง เพียงแต่เธอไม่คิดว่ามันจะยากขนาดนี้
ตอนเธอรู้ว่ามันคือฉากจูบ เธอก็พยายามทำใจมาตลอด มันไม่ง่ายเลยที่เธอตกลงยอมจูบกับผู้ชายแปลกหน้า แต่กลับมีคนบอกว่าทำตัวแข็งทื่อ ตอนจูบก็ดูเกร็ง ๆ
หลังจากจูบไปหลายครั้ง ป๋ายลิ่นก็พบว่าหญิงสาวสแตนด์อินคนนี้เป็นเพียงนักศึกษามหาลัยผู้ใสซื่อ ตอนแนะนำตัวในตอนแรกก็ดูไม่น่าหลงใหลเอาเสียเลย
นั่นยิ่งทำให้สแตนด์อินดูน่าสงสารมากกว่าเดิม
ส่วนผู้กำกับสวีโกรธจนเขวี้ยงโทรโข่งทิ้ง “พักสิบนาที”
สแตนด์อินเสียใจจนนั่งลงกับพื้นหญ้า ป๋ายลิ่นจึงเดินเข้าไปปลอบ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องอาย แค่ตามจังหวะของผมก็พอ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ คุณก็ไม่ต้องแสดงอารมณ์หรือท่าทางอะไร หลังจากที่ทีมผู้กำกับถ่ายแบบใกล้ ๆ กล้องก็จะค่อย ๆ ซูมออกไปเอง”
และลบส่วนที่อยู่ระยะใกล้ ๆ หรืออาจต้องการเพียงภาพพื้นหลังก็ได้
แต่ป๋ายลิ่นไม่อยากบั่นทอนความกระตือรือร้นของเธอ
เสิ้งเซี่ยช่วยพูดขึ้น “คนที่ถ่ายได้ก็ไม่มาถ่าย เอาแต่รุมผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ทำไม่ได้ไปทำไม ผู้กำกับสวีนี่จริง ๆ เลย”
สแตนด์อินเงยหน้าขึ้นมอง “ฉันเองที่ทำได้ไม่ดี ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้กำกับสวีหรอกค่ะ ฉันจะพยายามนะคะ”
ตอนนี้เธอดูเหมือนคนโง่เง่า
เสิ้งเซี่ยรู้สึกไม่สนใจ จึงดึงอวิ๋นเหมี่ยวให้เดินออกไป
ตอนที่เริ่มถ่ายใหม่อีกครั้ง สวีโหมวมีท่าทียอมแพ้กับฉากจูบฉากนี้ไปแล้ว ถึงขั้นที่คิดว่าจะให้ซูโย่วอี๋มาแสดงฉากจูบด้วยตัวเองไปก่อนเลยด้วยซ้ำ
แต่ดีที่ครั้งนี้สแตนด์อินแสดงได้ดีขึ้นมาก อย่างน้อยก็ไม่เหมือนการแสดง สวีโหมวจึงยอมให้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สแตนด์อินมองไปยังป๋ายลิ่นด้วยแก้มที่แดงระเรื่อ “คุณป๋าย ฉันทำได้แล้ว”
ป๋ายลิ่นยกนิ้วโป้งให้
จากนั้นสวีโหมวก็ให้ซูโย่วอี๋เตรียมตัวเพื่อถ่ายต่อ ทีมงานเข้ามาเรียกให้สแตนด์อินออกไปจากสถานที่ถ่ายทำ
สแตนด์อินดูประหม่า “คุณ… คุณป๋าย ฉันขอวีแชตของคุณได้ไหมคะ?”
“ได้สิ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้พกโทรศัพท์มาด้วย คุณเอาเบอร์โทรศัพท์ของคุณให้ผู้ช่วยผมเอาไว้แล้วกัน ผมถ่ายละครเสร็จแล้วจะเพิ่มเพื่อนไป”
…
ซูโย่วอี๋บิดขี้เกียจ “เริ่มงานได้”
จากนั้นเธอก็เริ่มเข้าสู่บทบาทของตัวละคร
ฮั่วเสวียนจูบอูซือม่านอย่างลึกซึ้ง แต่กลับจงใจเตะกล่องสี่เหลี่ยมที่อยู่บนเตียงให้ตกลงพื้น
จนเกิดเสียงดังเพล้ง
ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น ทหารยามก็เข้ามา ฮั่วเสวียนจึงผลักอูซือม่านออก
“อะไรกัน พวกหร่งตี๋สนใจแต่เรื่องบนเตียงงั้นหรือ? แต่ข้าไม่สนใจที่จะทำเรื่องอย่างว่าต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้”
พูดจบฮั่วเสวียนก็เดินไปที่โต๊ะไม้และรินน้ำมาหนึ่งแก้ว “ทุกท่านมากันแล้วก็ยังมิต้องกลับ พอดีข้าเองไม่อยากอยู่กับผู้นำของพวกเจ้าเพียงลำพัง… เช่นนั้นเราทั้งสี่คนมานั่งคุยกันเถิด”
แม้จะเป็นเพียงการจูบอันแผ่วเบา แต่อารมณ์ของอูซือม่านเหมือนถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว เขารู้สึกแย่มากที่ถูกรบกวน “ไสหัวออกไป ห้ามเข้ามาในกระโจมจนกว่าข้าจะสั่ง”
เมื่อทหารยามแน่ใจแล้วว่าผู้นำมีสติและยังมีแรงดีอยู่จึงออกไป
อูซือม่านมองฮั่วเสวียนอย่างพิจารณาด้วยท่าทางอดกลั้น “เจ้าโกรธหรือ?”
ฮั่วเสวียนเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะพูดน้ำเสียงตำหนิอย่างที่ไม่ค่อยได้ยิน “คนต้าเซี่ยเคยกล่าวไว้ว่า แต่งกับไก่ก็ตามไก่ไป แต่งกับหมาก็ตามหมาไป ในเมื่อแต่งงานกันแล้ว ข้าจะลองใช้ชีวิตกับเจ้าแบบดี ๆ ดู”
อูซือม่านรู้สึกปลาบปลื้ม “เจ้าพูดจริงหรือ?”
“อืม” ฮั่วเสวียนหยิบถ้วยชาสองใบขึ้นมาจากโต๊ะ “ข้าอยากแลกจอกกับเจ้า”
อูซือม่านหยิบถ้วยชาขึ้นมาหนึ่งใบ คล้องแขนกับฮั่วเสวียน และดื่มชาเข้าไป
ฮั่วเสวียนมองดูเขาดื่มจนหมด และจิบชาของตนเองเข้าไปนิดเดียว
“เสวียน ต่อไปข้าจะเรียกเจ้าเช่นนี้ หลายวันมานี้ข้ามักจะฝัน ฝันเห็นพวกเรากำลังคุยกันอย่างมีความสุขเหมือนในตอนนี้ เหมือนกับคู่สามีภรรยากันจริง ๆ”
“เจ้าวางใจเถิด ข้าจะถอยทัพและม่โจมตีต้าเซี่ยอีก”
ฮั่วเสวียนนิ่งไป “เพราะเหตุใดกัน?”
อูซือม่านคลายยิ้มออกมา “ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของเจ้า ขอเพียงเจ้าอยู่ข้างกายข้า ข้าก็ไม่มีใจคิดเรื่องต่อสู้อันใดอีก เจ้าให้ข้า…”
เขายังอยากจะพูดต่อไป แต่กลับพบว่าสายตาเริ่มเลือนลาง
หัวเริ่มดิ่งลง
ฮั่วเสวียนตบลงที่หน้าของเขาเบา ๆ แต่กลับไม่มีการตอบสนองอะไร จึงรีบใช้พละกำลังที่มีพยุงเขาให้ไปนอนอยู่บนเตียง
จากนั้นเริ่มค้นหาไปทั่วทั้งกระโจม หาแม้กระทั่งประตูลับต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่ แต่ก็ไม่พบหญ้าพิษเลยแม้แต่น้อย
อยู่ที่ไหนกัน
เป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับทหารยามได้ หากครั้งนี้ไม่สามารถหนีไปได้สำเร็จ อูซือม่านก็คงจะจับตาดูนางอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้น!