บทที่ 37 ประธานลู่ คุณมีนิสัยชอบแอบดูคนอื่นหรือไง?
บทที่ 37 ประธานลู่ คุณมีนิสัยชอบแอบดูคนอื่นหรือไง?
หลังจากการแสดงจบลง ซูโย่วอี๋ก็วางไมโครโฟนลงอย่างอาย ๆ และค่อย ๆ พยุงตัวเองด้วยมือของเธอ
ดูทุลักทุเลมาก
[เป็นไปได้ไหมว่าเธอลุกไม่ขึ้น]
[ไม่มีทาง! ไม่กล้ามองเลย! ฮ่า ๆ]
[ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนนี้โย่วโย่วดูน่ารักจัง!]
เมื่อมองไปที่แจ็ค ฮันเอินจีก็พูดขึ้นว่า “แรปมาสเตอร์ของเรา คุณอยากจะแสดงความคิดเห็นก่อนไหม”
แจ็คหยิบไมโครโฟนขึ้นมา วางลง แล้วหยิบขึ้นมาใหม่ “ผมไม่รู้จะพูดอะไร ผมกลัวว่าคำพูดของผมจะเต็มไปด้วยคำชม”
[ฮ่าฮ่าฮ่า…]
[เข้าใจแล้ว น้องอ้วนทำให้อาจารย์ของเราลำบากใจจริง ๆ]
[อย่างนี้ต้องเพิ่มเธอเป็นอาจารย์อีกคน ฮ่า ๆ]
ดวงตาของแจ็คเต็มไปด้วยประกายของความชื่นชม “ถ้าผมพูดชมคุณก็คงไม่ต่างกับการพูดชมตัวเอง พูดตามตรง ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าคุณทำได้ยังไง?”
วิธีการพูดและร้องแรปของซูโย่วอี๋เหมือนเขาทุกประการ แม้ว่าจะมีเสียงขาดในบางช่วง
“ฉันศึกษาสไตล์การแรปของคุณและพยายามเลียนแบบมันค่ะ” ซูโย่วอี๋พูดอย่างไร้ยางอาย
แจ็คส่ายหัวแล้วพูดว่า “คุณคิดผิดแล้ว คุณไม่ได้เลียนแบบผม ในความคิดของผม คุณเป็นผมอีกคนหนึ่ง การร้องแรปของคุณมันออกมาจากตัวคุณเองอย่างเป็นธรรมชาติ”
ซูโย่วอี๋ไม่เลียนแบบเขาเลยสักนิด
เธอไม่ได้เลียนแบบเขา เธอปรับเปลี่ยนเทคนิคของเขาให้เข้ากับตัวเอง
ไม่มีความรู้สึกเลียนแบบเลย
รอยยิ้มบนใบหน้าของแจ็คกว้างขึ้น “ถ้าพวกคุณต้องการแสดงความคิดเห็น มันก็เหมือนคุณกำลังพูดถึงผมด้วย การแรปของเราสองคนไม่ต่างกันเลย”
โคโค่นั่งใต้เวทีด้วยใบหน้าซีดเซียว
เธอรู้ตอนจบโดยไม่ต้องเปิดปากพูด
“สำหรับการแรป ฉันจะให้เอ”
แน่นอนจงลี่และซือเฉินเห็นพ้องกัน
ปากของฮันเอินจีขยับ แม้เธอไม่ชอบซูโย่วอี๋ แต่ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เธอทำได้เพียงยิ้มและพูดว่า “การเต้นของคุณยังคงมีปัญหา แต่ฉันเห็นความพยายามของคุณ ดังนั้นฉันจึงให้คุณ เอ”
ซูโย่วอี๋ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นคลาส A เรียบร้อยแล้ว
ขณะที่เธอก้าวลงจากเวที คนในคลาส B ก็เริ่มตะโกนว่า “โคโค่ โคโค่…”
พวกเขาไม่ได้เชียร์เธอ แต่ผลักเธอออกไปต่อสู้ต่างหาก
ฮันเอินจีเลิกคิ้ว “งั้นคนแรกในคลาส C มาเลย”
โคโค่ก้มหัวลงและนั่งนิ่ง ๆ หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับน้ำตาแห่งความอัปยศอดสูบนใบหน้า
เห็นอย่างนั้นกล้องก็ซูมให้เห็นหน้าเธอใกล้ยิ่งขึ้น
“ไม่ ฉันยอมรับความพ่ายแพ้”
ไหล่ของเธอสั่นเล็กน้อย “ฉันแรปไม่เก่งเท่าเธอ ฉันจะออกจากรายการตามสัญญา”
เธอยืนขึ้นและเดินลงขั้นบันไดทีละขั้น และนึกไปถึงตอนที่เดินขึ้นมาเป็นครั้งแรก
ในระหว่างนั้น ไม่มีใครในคลาส C สักคนขอให้เธออยู่ต่อ
เมื่อถึงที่หน้าเวที เธอโค้งเก้าสิบองศา “อาจารย์แจ็ค ฉันขอโทษ ฉันใจแคบเกินไป”
[เรื่องนี้ไปไกลเกินไปหรือเปล่า]
[ไม่จำเป็นต้องบังคับให้เธอออกจากรายการนี่?]
[ไม่จำเป็น? กลับกัน ถ้าซูโย่วอี๋แพ้ พวกคุณจะปล่อยซูโย่วอี๋ไปไหม?]
[อย่าเป็นแม่พระนักเลย โอเค? เธอเป็นตัวตั้งตัวตีตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอ]
[ฉันไม่คิดว่าซูโย่วอี๋เป็นคนดีเหมือนกัน เธอจงใจซ่อนความสามารถในการร้องแรปของเธอและวางกับดัก ฉันบอกได้คำเดียวว่าเธอเป็นผู้หญิงร้ายกาจ เจ้าเล่ห์!]
[ถูกต้อง ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าตางี่เง่าของเธอ เธอจะตกลงเข้าร่วมการแข่งขันอย่างง่ายดายได้อย่างไร]
[โอ้ ตามที่คุณพูดเลย เธอตั้งใจใช่ไหม ทำไมเธอถึงไม่ท้าแข่งกับอวี๋ชิงจ้าว”
แจ็คขมวดคิ้วและพูดว่า “ลุกขึ้นเถอะ”
โคโค่ยืดหลังตรงและมองไปที่ซูโย่วอี๋ “เธอบอกว่าฉันเป็นคนร้ายกาจใช่ไหม”
“คุณจงใจขอให้ฉันออกจากการแข่งขัน”
“ทำได้ดีมาก ซูโย่วอี๋”
“ให้ตายเถอะ การแพ้หรือชนะไม่สำคัญสำหรับฉัน แต่เธอแน่ใจหรือว่าต้องการให้ฉันออกจากรายการ”
สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่ซูโย่วอี๋เพื่อรอคำตอบ
ผู้ชมต่างกระซิบกระซาบ
“อยากให้ฉันออกจริง ๆ เหรอ”
“ฉันขอโทษไปแล้วนะ”
อวี๋ชิงจ้าวที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุด มองสถานการณ์บนเวทีและพูดออกมาว่า “เธอสมควรได้รับมัน”
ซูโย่วอี๋คิดเป็นเวลานานและในที่สุดก็พูดว่า “ใช่”
หลังจากได้รับคำตอบ โคโค่ก็เดินออกจากสตูดิโอไปอย่างไร้เยื่อใย
แม้ว่าโคโค่จะจากไป แต่ซูโย่วอี๋ก็จะถูกรังเกียจและผู้ชมก็จะได้เห็นว่าเธอเลือดเย็นแค่ไหน!
ฮันเอินจีตอบสนองอย่างรวดเร็ว เธอดึงโฟกัสกลับไปที่การประเมิน และป้องกันไม่ให้สถานการณ์บานปลาย
แต่ก็มีบางคนมองหาซูโย่วอี๋อยู่เสมอ
เฉินซีซีอยู่ไกลจากเธอดังนั้นเธอจึงต้องวิ่งไปที่ที่นั่งและย่อตัวลงเพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกต “พี่สาว สบายดีไหม”
“ฉันไม่เป็นไร เธอกลับไปนั่งที่เถอะ เรายังถ่ายทำอยู่นะ”
เฉินซีซีดื้อรั้นไม่ยอมจากไป “ฉันประเมินเสร็จแล้ว ฉันอยากอยู่กับพี่”
ซูโย่วอี๋ขยับที่ว่างให้เฉินซีซีนั่ง
ในตอนนี้ เธอมีความรู้สึกที่หลากหลาย
ในแง่หนึ่ง เธอควรจะมีความสุขที่เธอชนะ แต่สิ่งที่เธอพูดทำให้เธอสงสัยว่าเธอใจร้ายไปหน่อยหรือเปล่า
มันจะดีกว่าที่ให้โคโค่ขอโทษอาจารย์แจ็ค ทำไมเธอต้องบังคับให้คนอื่นออกจากรายการ?
ตอนนี้เธอไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะถ่ายทำอีกต่อไปนี้
ในช่วงบ่ายทีมงานของรายการถือโอกาสถ่ายทำเพลงธีมกับผู้เข้าแข่งขันจำนวนสี่สิบเก้าคน ภารกิจการถ่ายทำในสัปดาห์แรกได้เสร็จสิ้นลงอย่างน่าพอใจ พวกเขากำลังจะเผชิญกับวันหยุดสุดสัปดาห์สองวัน และพวกเขาจะออกจากเกาะตั้งแต่เช้าตรู่ในวันพรุ่งนี้
หายากที่จะไม่มีการถ่ายทอดสดในตอนกลางคืน หลังจากผ่อนคลาย สาว ๆ ก็จัดงานเลี้ยงบาร์บีคิวบนชายหาด ทั้งยังเชิญพวกอาจารย์และประธานลู่มา
ผู้คนเอาแต่หัวเราะ เริ่มร้องเพลงและเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน
บางคนก็คอยปลอบเพื่อนที่ผิดหวัง
บางคนก็สนุกสุดเหวี่ยง
ส่วนซูโย่วอี๋ที่อยู่หอพักคนเดียวก็ได้เข้าไปในป่าเพื่อออกกำลังกาย
เธออารมณ์ไม่ดีและจำเป็นต้องระบายออกอย่างเร่งด่วนด้วยการออกกำลังกาย
วันนี้เธอออกกำลังกายหนักมาก
สุนัขจิ้งจอกมองเธอด้วยความเห็นใจ [ซู่จู่ทำไมคุณต้องทำเรื่องยุ่งยากให้ตัวเองแบบนี้ ทุกคนรู้ว่าเธอต้องถอนตัวจากการแข่งขันถ้าเธอแพ้ไม่ใช่หรือไง?]
ไม่มีการตอบสนอง
[ซู่จู่ หยุดเถอะ มือคุณเลือดออก]
ไม่ว่าอะไรก็ตาม ซูโย่วอี๋ยังคงออกกำลังกายต่อไป
[อย่ามายุ่งกับฉัน]
สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไม่เข้าใจ [คุณจะโกรธตัวเองทำไม? ถ้าคิดว่าไม่ดีก็ควรเลิกเสียตั้งแต่ตอนนั้นสิ]
“หุบปาก!”
ซูโย่วอี๋ออกกำลังกายมาสี่ชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก เธอเกือบจะเป็นลม แต่เป็นเพราะสุนัขจิ้งจอกที่แอบเติมพลังงานของเธอเพื่อให้เธอยังคงยืนอยู่ได้
หลังจากออกจากพื้นที่มิติ เธอรู้สึกถึงความร้อนของสภาพแวดล้อมโดยรอบ และมองไปที่บาดแผลที่มีเลือดออกโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร
เธอนั่งมองมันอย่างว่างเปล่าเป็นเวลานานก่อนที่จะลุกขึ้นและกลับไปที่หอพักของเธอ
“คุณไม่ได้ไปงานเลี้ยง แต่มาที่นี่เพื่อนั่งสมาธิคนเดียวงั้นเหรอ?”
ซูโย่วอี๋ตกใจและมองไปตามต้นเสียง พบว่าลู่เฉินยืนอยู่ตรงนั้น
“ประธานลู่ คุณมีนิสัยชอบแอบดูคนอื่นหรือไง?”
ครั้งที่แล้วเขาพบว่าเธอกินมันฝรั่งทอด และครั้งนี้เขาก็ค้นพบเธออีกครั้ง แน่นอน ในสายตาของเขา เธอกำลังนั่งอยู่บนพื้นและทำสมาธิ
ลู่เฉินหรี่ตา “คุณโทษผมเหรอ”
คำพูดที่ไม่เย็นชาของเขาทำให้ซูโย่วอี๋หวาดหวั่นเล็กน้อย และความไม่พอใจของเธอก็พลันจางหายไปจนหมด
“ขอโทษนะ แต่ฉันอารมณ์ไม่ดี”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลู่เฉินก็ยังไม่ไปไหน เขาเดินตรงไปยังซูโย่วอี๋อย่างช้า ๆ แทน
แสงจันทร์ส่องลงมากระทบที่เขาจากด้านหลัง ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตลายตารางสีฟ้าอ่อน ชายข้อมือพับขึ้นหลวม ๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความนิ่งสงบ
เขาเป็นเหมือนราชาในค่ำคืนที่มืดมิดจริง ๆ