บทที่ 45 มีความคิดมากมายเกิดขึ้นในหัว
บทที่ 45 มีความคิดมากมายเกิดขึ้นในหัว
ฮันเอินจียืนอยู่ด้านหน้าพร้อมไมโครโฟน “อาสาสมัคร โปรดนั่งกับผู้สูงอายุที่คุณดูแล ส่วนผู้สูงอายุที่นั่งรถเข็นนั่งที่โต๊ะสี่ตัวทางด้านซ้าย”
ซูโย่วอี๋เข็นหญิงชราไปและพบว่าทีมงานรายการได้จัดที่นั่งไว้แล้ว
หลังจากที่หญิงชรานั่งลงแล้ว ซูโย่วอี๋ก็เงยหน้าขึ้นและเห็นเฉินซีซีมองไปรอบ ๆ ซึ่งน่าจะมองหาเธอ “เฉินซีซี ทางนี้”
ใบหน้าขาวของเฉินซีซีตอนนี้เปื้อนเป็นสีขาวดำเหมือนแมวตัวน้อย
เธอเข็นชายชราให้นั่งลงข้าง ๆ ซูโย่วอี๋ “อา พี่สาว ฉันเหนื่อยมากเลย ฉันทำกายภาพให้คุณปู่เมื่อเช้านี้ แต่ฉันกลับรู้สึกเหนื่อยมากกว่าคุณปู่เสียอีก”
ซูโย่วอี๋ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วพูดว่า “หน้าเธอเปื้อน มานี่สิ”
เฉินซีซีไม่สนใจ “คุณปู่เตือนฉันแล้ว ฉันบอกว่าไม่เป็นไร ฉันค่อยเช็ดออกทีหลังเอง 555”
แล้วเธอก็หัวเราะอย่างภาคภูมิใจ
[เฉินซีซี ผู้เป็นพี่สาวกำลังหดหู่ใจ ฮ่า ๆ]
[ดูเหมือนว่าเธอจะรู้ว่าพี่สาวของเธอคลั่งไคล้เธอ]
[อีกวันที่ต้องเสียน้ำตาให้กับความเป็นพี่น้องของคนอื่น]
[แมวน้อย เหมียว ๆ]
ในระหว่างการสนทนา เฉินซีซีมองไปที่ด้านหลังด้วยความประหลาดใจ ซูโย่วอี๋มองตามไปอย่างงงงวย และเห็นว่าลู่เฉินนั่งถัดจากหญิงชรา
“ประธานลู่?”
เขาไม่ได้นั่งกับอาจารย์คนอื่นเหรอ?
ลู่เฉินพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี “คุณไม่อยากให้ผมนั่งด้วยเหรอ”
ซูโย่วอี๋โบกมือ “ไม่ค่ะ ๆ”
เด็กสาวอีกหลายคนบนโต๊ะก็พากันตัวแข็งทื่อ โชคดีที่มีผู้สูงอายุสองคนที่กระตือรือร้นและคอยพูดคุยกับอาสาสมัครของพวกเขา ฉากนั้นจึงไม่น่าอึดอัดเกินไป
เมื่ออาหารพร้อมทุกคนก็เริ่มกิน
ซูโย่วอี๋มีข้อจำกัดด้านอาหารมากมาย ดังนั้นเธอจึงไม่รีบร้อนที่จะกิน
“คุณยาย คุณต้องการซุปไหมคะ ฉันจะตักให้”
หญิงชรายื่นชามซุปให้เธอ
ซูโย่วอี๋ยืนขึ้นและเติมอย่างระมัดระวังเพราะกลัวซุปหก
อาหารบนโต๊ะเป็นอาหารที่นุ่มและย่อยง่าย เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ
ซูโย่วอี๋ใส่ผักลงในชามของหญิงชรา
หญิงชราอยู่ในโลกของตัวเอง เธอกินทุกอย่างที่เธอชอบและเขี่ยทุกอย่างที่เธอไม่ชอบไว้ที่ขอบจาน
เมื่อเห็นอย่างนั้น ซูโย่วอี๋ก็เข้าใจทันทีว่าหญิงชราชอบกินอะไร และจากนั้นเธอก็จะหลีกเลี่ยงตักอาหารที่หญิงชราไม่ชอบ
ไม่มีการสื่อสารระหว่างทั้งสอง
หญิงชรารู้สึกอึดอัดใจ
ส่วนซูโย่วอี๋ก็เงียบ
ตั้งแต่หญิงชราออกมาจากห้องดูเหมือนว่าเธอไม่ได้พูดอะไรสักคำ ซึ่งทำให้ซูโย่วอี๋สงสัยว่าเธอเป็นอะไรหรือเปล่า?
ในทางตรงกันข้าม เฉินซีซีเป็นคนช่างพูดมาก “คุณปู่ บอกฉันได้เลยว่าคุณอยากกินอะไร ฉันจะตักให้”
“เพราะหน้าที่ของฉันคือดูแลคุณ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
เธอทำให้ชายชราหัวเราะ
ซูโย่วอี๋อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความสนิทกันของคนทั้งสอง
ลู่เฉินก็เช่นกัน
“ตักแครอทให้หน่อย”
หญิงชราพูดเป็นครั้งแรก
ซูโย่วอี๋ตอบรับทันที “ได้ค่ะ”
เมื่อเธอเห็นแครอทวางอยู่ข้าง ๆ ลู่เฉิน เธอก็เอื้อมไป แต่ว่าเอื้อมไม่ถึงแม้ว่าเธอจะยืนขึ้นและเอื้อมมือไปหยิบมันก็ตาม
ซูโย่วอี๋หยิบชามซุปของหญิงชราแล้วลุกขึ้นไปตัก
“ส่งมาให้ฉัน”
ลู่เฉินวางตะเกียบลงและเช็ดปากก่อนจะยื่นมือออกไป “ซูโย่วอี๋ ส่งชามมาให้ฉัน”
ข้อนิ้วเรียวขาวถูกยื่นมาตรงหน้า
ซูโย่วอี๋ยื่นชามให้
ปลายนิ้วอบอุ่นของลู่เฉินสัมผัสโดนเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ และซูโย่วอี๋ก็ตกใจมากจนเธอรีบปล่อยมือออก
นอกจากเฉินเฉินแล้ว เธอก็ไม่เคยสัมผัสกับผู้ชายคนไหนอีก และไม่เคยแตะต้องผู้ชายคนไหนเลย
สำหรับเธอแล้วการสัมผัสมือถือเป็นการสัมผัสที่ใกล้ชิด
[?]
[กลัวโรคระบาดเหรอ]
[ดูการแสดงออกของน้องอ้วน ฮ่าฮ่าฮ่า]
[ทำไมน้องอ้วนถึงทำท่าแบบนั้น? ฮ่าฮ่าฮ่า]
[หากไม่ใช่เพราะสายตาอันว่องไวและมือที่ฉับไวของประธานลู่ชามใบนี้ตกแตกแน่นอน]
[ซูโย่วอี๋ ถอยออกมา เดี๋ยวฉันทำเอง]
[ฮ่าฮ่าฮ่า ประธานลู่ อบอุ่นจริง ๆ ความอ่อนโยนของท่านประธานที่เอาแต่ใจ]
ดูเหมือนว่าลู่เฉินที่เห็นท่าทางแสดงออกของซูโย่วอี๋ เขาตักแครอทสองสามชิ้นและวางชามไว้ข้างหน้าหญิงชรา
“คุณยาย ซูโย่วอี๋อยากกินอะไร ถามเธอให้ผมที ผมจะตักให้เธอ”
!
?
ลู่เฉินหมายถึงอะไร
ซูโย่วอี๋หันศีรษะไปมองลู่เฉิน นี่เขาคิดว่าเธออยากแตะเนื้อต้องตัวเขาเหรอ?
เกิดความคิดมากมายตีกันในหัว
แม้ว่าลู่เฉินจะเป็นผู้ชายที่หล่อ แต่เขาก็ควรจะมองแค่คนในระดับเดียวกันเท่านั้น
ซึ่งเธอไม่ใช่
ไม่เลยสักนิด!
เมื่อเห็นหัวอ้วน ๆ ของ ซูโย่วอี๋ เต็มไปด้วยความสงสัย ลู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ใบหน้าของเขาจริงจังมาก ราวกับว่าเขาไม่พอใจกับผลงานของซูโย่วอี๋เมื่อเช้านี้
ลู่เฉินเข้าไปใกล้หญิงชราเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยินว่า “เธอไม่มีพ่อแม่ และเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เด็ก เธอไม่รู้อะไรมากมาย หากเธออาจทำอะไรผิดพลาดไปต้องขอโทษด้วยนะครับ”
หญิงชราดูไม่เชื่อเล็กน้อย จากนั้นมองไปที่ซูโย่วอี๋อย่างสับสน
ลู่เฉินนั่งตัวตรงอีกครั้ง “บอกผมมาสิว่าเธอทำอะไรไม่ดี ผมจะเตือนเธอให้”
ซูโย่วอี๋รู้สึกหดหู่เล็กน้อย เพราะเธอทำงานได้ไม่ดีนักในการพูดคุยกับคนชรา แม้แต่ระบบก็รังแก ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่คิดทำงานจนถึงตอนนี้
เธอพึมพำว่า “ฉันพยายามอย่างเต็มที่แล้ว”
หญิงชราจำได้ว่าซูโย่วอี๋ยืนอยู่กับเธอกลางแดดและวิ่งไปเอาน้ำให้เธอ แม้จะร้อนจนเหงื่อแตกก็ไม่บ่น
ตรงกันข้าม ลูกชายของเธอหลายคนต่างก็มีงานยุ่งและไม่ได้มาหาเธอหลายเดือนแล้ว
ทุกครั้งที่หลานชายตัวน้อยมาหา เขาจะร้องอยากกลับบ้านเร็ว ๆ เพื่อเล่นแท็บเล็ต
ส่วนหลานสาวก็ไม่อยากเข้าใกล้เธอ ที่ต้องทำก็เป็นเพราะสายตาที่เข้มงวดของพ่อแม่ แต่มันก็เป็นเวลาไม่ถึงนาที
ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่ใช่เด็กที่เธอเลี้ยงดูมาด้วยตัวเอง
หญิงชราอยู่ในอาการงุนงง และลู่เฉินก็ไม่รีบร้อนที่จะขอคำตอบจากเธอ
หลังจากนั้นไม่นาน หญิงชราก็พูดว่า “ไม่ เธอทำได้ดีมาก”
ลู่เฉินแสดงความงงงวย “ผมไม่คิดว่าคุณพอใจกับการทำงานของเธอมากขนาดนี้”
หญิงชราพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ฉันก็เป็นอย่างนี้แหละ มีความสุขก็พูด ไม่มีความสุขก็พูด”
ลู่เฉินทำได้เพียงหยุดพูด “เอาล่ะ ในเมื่อคุณพอใจกับเธอแล้ว ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด กินข้าวต่อเถอะครับ”
หลังจากนั้นลู่เฉินก็ลุกขึ้นจากไป
[ประธานลู่ พูดอย่างนี้มันแปลก ๆ นะ]
[คุณลู่ดูเหมือนจะไม่ใช่คนใจร้าย แต่ทำไมคุณถึงต้องการลงโทษน้องอ้วน?]
[กลุ่มคนหนุ่มสาวที่โง่เขลา เขาเจ้าเล่ห์มาก]
[คุณโง่เหรอ? คุณลู่ไม่ได้ตั้งใจดุเธอซะหน่อย]
[ประธานลู่จงใจพูดว่าจะลงโทษซูโย่วอี๋ แต่ตามจริงแล้วเขาต้องการให้หญิงชราแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา]
[ฉันรักคุณ!]
[เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่อธิบาย]
[อนิจจา IQ ต่ำเกินไปที่จะดูรายการวาไรตี้]
ซูโย่วอี๋ไม่คิดเลยว่าหญิงชราจะพูดปกป้องเธอ แม้ว่าเธอรู้สึกว่าเธอพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่เธออาจไม่ใช่คู่สนทนาที่ดีนักในสายตาคนอื่น
เธอรู้สึกว่าหญิงชราคงชอบเด็กที่มีชีวิตชีวาและน่ารักอย่างเฉินซีซีมากกว่า
หลังมื้ออาหาร ซูโย่วอี๋เข็นหญิงชรากลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน เมื่อเข็นรถไปถึงเตียง ซูโย่วอี๋ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ
ต้องพาเธอเข้านอน?
หรือต้องทำอะไร?
“คุณยาย คุณทำเองได้ไหม”
หญิงชราจ้องมองเธอ “เธอคิดว่าฉันจะทำได้ไหมล่ะ”
ไม่มีทาง…