บทที่ 48 ทำไมต้องเล่าเรื่องของฉันให้คุณยายฟัง
บทที่ 48 ทำไมต้องเล่าเรื่องของฉันให้คุณยายฟัง
ลู่เฉินหลับตาลง ทำให้ยากที่จะคาดเดาอารมณ์จากดวงตาของเขาได้
“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรที่บอกคนอื่นไม่ได้ ให้หมายเลข 23 เข้ามาเถอะ”
หลังจากนั้นจงลี่ก็โบกมือให้ซูโย่วอี๋ให้เธอมายืนที่ด้านหลังเขา
เมื่อเห็นอย่างนั้นใบหน้าของฮันเอินจีพลันเย็นชา “คอยดูอย่างเดียว อย่าขัดจังหวะ”
เมื่อหลินเจี้ยนเห็นซูโย่วอี๋ เธอดูเหมือนจะเห็นผู้ช่วยเหลือ “ซูโย่วอี๋ ฉันไม่ได้ผลักจริง ๆ เชื่อฉันสิ คุณยายต้องการอาบน้ำ ฉันก็เลยไปที่ห้องน้ำเพื่อเตรียมน้ำให้เธอ ตอนนั้นเป็นฉูรั่วฮวนที่ดูแลคุณยาย ไม่ใช่ฉัน”
“พอฉันได้ยินเสียงก็รีบวิ่งไปดูและเห็นว่าคุณยายก็ล้มลงไปกับพื้นแล้ว”
ดวงตาของหลินเจี้ยนเป็นสีแดง เห็นได้ชัดว่าเธอผ่านการร้องไห้มา
ตรงกันข้ามกับฉูรั่วฮวนที่ดูนิ่งเฉย “หลินเจี้ยน จะพูดอะไรก็ต้องมีหลักฐานสิ เธอสนิทกับคุณยายไม่ใช่เหรอ? แล้วตอนนั้นฉันก็อยู่ห่างจากคุณยายตั้งหลายเมตร ฉันจะผลักคุณยายได้ยังไง?”
หลินเจี้ยนตะโกนออกมาด้วยความโกรธ เธอผิดหรือเปล่าที่เธอวิ่งไปพยุงคุณยายเร็วเกินไป? แต่นั่นเป็นเพราะเธอเป็นห่วงคุณยายมากไม่ใช่เหรอ??
ตรงกันข้ามกับฉูรั่วฮวนที่หาเหตุผลมาใช้เป็นข้ออ้างให้ตัวเองแล้วโยนความผิดมาให้เธอ!
พวกอาจารย์ต่างไม่ออกความคิดเห็น
ลู่เฉิน จงลี่ ยังไม่พูดอะไรเพราะรอตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน เพื่อหาข้อสรุปที่ยุติธรรมที่สุด ผิดกับฮันเอินจีที่เข้าข้างฉูรั่วฮวนอย่างเห็นได้ชัด
ถ้าฮันเอินจีไม่ได้เป็นอาจารย์ หลินเจี้ยนคงจะด่าเธอไปแล้ว ที่อาจารย์สาวอคติต่อเธอเป็นเพราะเธอส่งโจ๊กให้ประธานลู่งั้นเหรอ?
ทำไมเธอถึงตั้งแง่กับหลินเจี้ยนขนาดนี้
ตั้งแต่การประเมินเพลงธีม ฮันเอินจีวิจารณ์ว่าเธอเต้นไม่เก่งและลดอันดับของเธอจากคลาส B ไปคลาส C
แล้วตอนนี้ยังมากล่าวหาว่าเธอเป็นคนผลักคุณยายอีก
ถ้าเธอไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเธอได้ในวันนี้ เธอคงถูกให้ออกจากรายการเหมือนโคโค่แน่!
ก่อนที่เธอจะมีโอกาสได้ถ่ายทำรายการวาไรตี้นี้ หลินเจี้ยนได้ตระเวนไปตามรายการมากมาย แต่เธอก็ยังไม่เป็นที่รู้จักตามที่คาดหวังไว้ ครั้งนี้เธอชนะใจแฟน ๆ ได้ด้วยบุคลิกที่ร่าเริงของเธอ และเธอจะต้องไม่เสียโอกาสนี้ไป
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หลินเจี้ยนก็ร้องไห้อีกครั้ง
ซูโย่วอี๋ทนมองไม่ได้ แต่ตอนนี้เธอไม่มีสิทธิ์พูดอะไร
ผู้อำนวยการถังรับโทรศัพท์และพูดด้วยน้ำเสียงโล่งอก “ประธานลู่ ผลตรวจที่โรงพยาบาลเพิ่งออกมา คุณยายไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอะไร ตอนนี้เธอกำลังเดินทางกลับมาครับ”
หลินเจี้ยนประสานนิ้วของเธอและถามอย่างมีความหวัง “ทุกอย่างเรียบร้อยใช่ไหมคะ?”
ประธานถังไม่ตอบแต่ทำหน้าหนักใจ
ลู่เฉินเงยหน้าขึ้นมอง “ผู้อำนวยการ บอกมาตามตรงเถอะครับ”
“คุณยายเตียง 48 เพิ่งโทรหาครอบครัวของเธอ ลูกชายของเธอเป็นข้าราชการในปักกิ่ง และเขาต้องการคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้”
“คุณยายก็ยืนกรานว่ามีคนผลักเธอ หากเป็นอุบัติเหตุ มันก็อาจจะเป็นการผิดพลาดในการทำงาน แต่ถ้ามีคนจงใจทำ มันก็เป็นความผิดทางอาญา ในขณะเดียวกันมันก็จะทำให้บ้านพักคนชราของเราเสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะอย่างนั้นผมขอให้รายการให้คำอธิบายกับเราด้วยครับ”
เมื่อเขาพูดถึงขนาดนั้น แสดงว่ายังไงก็ต้องหาคนผิดให้ได้
ส่วนจะจัดการยังไงนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับลู่เฉิน พวกอาจารย์ และลูกชายคุณยาย
ลู่เฉินพยักหน้าอย่างใจเย็น “ผมเข้าใจ”
จากนั้น ชายหนุ่มก็มองไปที่คนสองคนตรงหน้าและพูดว่า “รู้ไหม ครอบครัวของคุณยาย สามารถแจ้งความพวกคุณข้อหาพยายามฆ่าได้เลยนะ ถ้าเขาทำอย่างนั้นคุณคงไม่ได้นั่งอยู่ที่นี่ แต่ไปนั่งที่สถานีตำรวจแทน ดังนั้นขณะที่คุณยังมีโอกาส บอกความจริงมาว่าเป็นหนึ่งในพวกคุณที่ทำ หรือทั้งสองคนสมรู้ร่วมคิดกัน”
ด้วยคำพูดที่สุภาพต่างจากฮันเอินจีอย่างสิ้นเชิง แม้แต่ฉูรั่วฮวนก็ไม่กล้าแสดงอาการบุ่มบ่ามต่อหน้าเขา
หลินเจี้ยนพยายามหยุดร้องไห้ “ฉันจะพูดค่ะ”
เมื่อกี้เธอต้องการไว้หน้าของฉูรั่วฮวน แต่ตอนนี้มันไม่จำเป็นอีกแล้วเพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปกป้องตัวเอง
“เนื่องจากเราถูกแบ่งออกเป็นกลุ่ม ฉูรั่วฮวนเลยแอบมาคุยกับฉัน ว่าเธอจะรับผิดชอบงานง่าย ๆ อย่างป้อนข้าวกับเช็ดหน้า ส่วนฉันก็ทำงานสกปรก ๆ ไป อย่างล้างเท้าและอาบน้ำ ฉันไม่กล้าปฏิเสธ ดังนั้นเมื่อคุณยายขออาบน้ำในตอนบ่าย ฉูรั่วฮวนจึงสั่งให้ฉันไปเตรียมน้ำ”
ฉูรั่วฮวนหน้าเคร่งเครียดเมื่อเธอเห็นว่าอีกฝ่ายเปิดโปงความลับของเธอ “ถ้าเป็นตามที่เธอพูด ทำไมฉันไม่ปล่อยให้เธอดูแลคุณยายไปคนเดียวล่ะ เหตุผลของเธอไม่สมเหตุสมผลเลย”
หลินเจี้ยนพูดอย่างโกรธ ๆ ว่า “เป็นเพราะเธอไม่อยากให้คุณยายสั่งให้ทำอะไรแล้วต่างหาก เธอจะได้พักผ่อนอย่างสบาย ๆ”
“แล้วก็เหมือนกับที่ฉันพูดในตอนแรก เมื่อฉันได้ยินเสียงคุณยายล้มลง ฉันก็รีบกลับไปที่ห้อง”
ลู่เฉินมองไปที่ฉูรั่วฮวน “คุณพูดต่อสิ”
ฉูรั่วฮวนพูดอย่างใจเย็นว่า “ฉันไม่ได้โยนงานทำความสะอาดอย่างที่หลินเจี้ยนพูด ฉันให้ความสำคัญกับกิจกรรมอาสาสมัครนี้ และฉันก็ต้องการที่จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าทุกคน”
“คุณยายจะอาบน้ำและเธอก็ไปเตรียมน้ำ แต่พอเธอออกมาก็ขอให้ฉันเตรียมเสื้อผ้าให้คุณยาย ในตอนที่ฉันกำลังเตรียมเสื้อผ้า คุณยายก็คว้ามือเธอไว้และขอให้เธอพยุงขึ้น แต่เพราะเธอกลับใจร้อนและบ่นว่าคุณยายจะวุ่นวายอะไรนักหนา จากนั้นคุณยายก็ล้มลง ”
ใบหน้าของฉูรั่วฮวนค่อนข้างกระวนกระวาย “ถ้าฉันรู้ว่าหลินเจี้ยนจะทำพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นแบบนั้น ฉันคงอาสาเป็นคนทำเอง”
มันง่ายที่จะโน้มน้าวใจผู้คนด้วยคำพูดของเธอ เพราะเธอพูดอย่างสุภาพและราบเรียบไม่มีติดขัดแม้แต่น้อย
“เธอโกหก!”
หลินเจี้ยนตัวสั่นด้วยความโกรธ
ซูโย่วอี๋ไม่สามารถบอกได้ว่าใครพูดจริงหรือใครโกหก
แต่ระบบให้เธอหาผู้บริสุทธิ์ และผู้บริสุทธิ์อาจไม่ใช่หลินเจี้ยนก็ได้
ลู่เฉินหันกลับมาและพูดว่า “ซูโย่วอี๋ คุณคิดอย่างไร”
ทำไมจู่ ๆ เขาถึงถามความคิดเห็นเธอ
ซูโย่วอี๋คิดว่า “ตอนนี้คุณยายตื่นแล้ว ทำไมไม่ไปถามคุณยายดูล่ะคะว่าเธอจะพูดเหมือนสองคนนี้ไหม น่าจะมีอะไรบางอย่างที่พูดไม่เหมือนกันนะคะ”
มือของลู่เฉินแตะเบา ๆ ที่โต๊ะ ซึ่งเป็นนิสัยของเขาเวลาใช้ความคิด
ไม่นาน ผู้อำนวยการถังก็กล่าวว่า “ประธานลู่ เราน่าจะลองถามคุณยายดูนะครับ”
ลู่เฉินมองไปที่หลินเจี้ยนและฉูรั่วฮวน และเมื่อพวกเธอได้ยินว่าจะทำการสอบถามคุณยายให้แน่ชัด สีหน้าของพวกเธอยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งหากตามปกติแล้ว คนโกหกจะมั่นใจว่าไม่มีใครรู้เรื่องที่พวกเขาทำ ดังนั้นการสังเกตปฏิกิริยาของทั้งสองถือว่าไร้ประโยชน์
เขาไม่ปฏิเสธทำเพียงพยักหน้า “เอาล่ะ เพื่อความยุติธรรมและเพื่อให้คุณยายสบายใจ คงต้องฝากคุณกับอาจารย์จงด้วยนะครับ เราจะรออยู่ที่นี่”
คุณยายย่อมไว้วางใจถังชุนฉีซึ่งเป็นผู้อำนวยการมากกว่าคนนอก
หลังจากที่ชายทั้งสองออกไป ลู่เฉินก็คลายเน็กไทและลุกขึ้นยืนเพื่อออกไปสูดอากาศข้างนอก
ซูโย่วอี๋เองก็ต้องการคุยกับหลินเจี้ยน แต่ฮันเอินจีกลับมองเธอด้วยสายตาเย็นชาซึ่งทำให้เธออึดอัดมากราวกับว่าถูกสอบสวนด้วยเช่นกัน
ซูโย่วอี๋เลยต้องออกจากห้องประชุมไป และพบกับลู่เฉินที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำที่ทำให้เขาดูสูงและดูดีมาก
เธอจึงเดินเข้าไปหาเขาและกล่าวว่า “ประธานลู่”
ลู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองเธออย่างสงสัย “เบื่อ?”
“อืม”
แล้วจู่ ๆ เธอก็นึกเรื่องที่ลู่เฉินบอกคุณยายที่เธอดูแลว่าเธอเป็นเด็กกำพร้า เธอจึงเอ่ยถามว่า “ทำไมคุณต้องเล่าเรื่องของฉันให้คุณยายฟังด้วย”