บทที่ 79 ฉันไม่คิดอย่างนั้น
บทที่ 79 ฉันไม่คิดอย่างนั้น
ทั้งสองเดินกลับไปตามถนนบนภูเขา
พวกเขาเงียบกันไปตลอดทาง
ห้องครัวของหอพักดูสว่างไสวและมีชีวิตชีวา
แต่กลับเงียบสงัดเมื่อประธานลู่เข้ามาพร้อมกับซูโย่วอี๋
“ไม่ต้องกังวล ประธานลู่มาที่นี่เพื่อหาอะไรกินน่ะ” ซูโย่วอี๋อธิบาย
ในมุมที่ไม่มีใครมองเห็น หลินเจี้ยนกลับตัวแข็งทื่อ
ถ้าลู่เฉินรู้ว่าเธอไม่ได้เป็นคนทำโจ๊ก…
[สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?]
[แล้วที่ชี้แจงตอนบ่ายสองคืออะไร ทำไมทั้งสองคนถึงมาด้วยกัน?]
[ฉันคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่คบกัน ในเมื่อไม่มีอะไร ทำไมต้องระแวงด้วย?]
[ประธานลู่เพิ่งอธิบายว่าไม่มีอะไร]
[บางคนกลัวว่าพี่ชายจะถูกพรากจากไป จึงล้างสมองตัวเองแล้วตามด่าโย่วโย่วสินะ]
[ใช่ ดูให้ดี]
[พี่ชายของคุณคือเค้กแสนหวาน ที่ทุกคนต่างแย่งชิงสินะ]
“พวกเธอจะทำอะไรกินกัน?” เธอถามขณะล้างมือ
เฉินซีซีก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “พี่สาว พี่ทำอาหารได้ดีที่สุด เราเตรียมเครื่องเคียงไว้แค่บางส่วน แล้วก็รอให้พี่กลับมาทำต่อ”
เธอมองไปรอบ ๆ และพบว่ามีมันฝรั่ง พริกหยวก หมูหย็อง และมะเขือยาว
“ได้สิ แล้วหุงข้าวหรือยัง”
กระต่ายน้อยเลียปากตัวเองแล้วพูดว่า “พี่คะ หนูอยากกินโจ๊ก”
อวี๋ชิงจ้าวที่เงียบมาตลอดก็พูดขึ้นว่า “ฉันก็อยากกินเหมือนกัน”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “ได้”
จากนั้นเธอก็เริ่มปรุงโจ๊ก
ด้านหลินเจี้ยนที่เห็นอย่างนั้นก็ตัวแข็งทื่อ เธอต้องการหยุดซูโย่วอี๋ แต่ตอนนี้ก็พูดอะไรออกไปไม่ได้
หลินเจี้ยนสังเกตเห็นแววตาที่น่าสงสัยของลู่เฉิน
ซูโย่วอี๋ที่เพิ่งซาวข้าวเสร็จ แล้วเธอกำลังใส่ส่วนผสมลงในหม้อ
เธอหันกลับมาและเห็นว่าใบหน้าของหลินเจี้ยนซีดเผือดและดูเหม่อลอย
“หลินเจี้ยน เธอเป็นอะไรหรือเปล่า อยากไปพักผ่อนไหม?”
หลินเจี้ยนเงยหน้าขึ้นมองซูโย่วอี๋ที่แสดงความกังวล แต่ใจของเธอเต็มไปด้วยความกลัวว่าลู่เฉินจะมองมาที่เธอยังไง
เขาต้องดูถูกเธอด้วยสายตาที่เย็นชาเหมือนกับน้ำแข็งแน่
“ฉัน…ฉันไม่อยากกิน ฉันไปก่อนนะ”
ไม่ว่าสมาชิกในทีมจะพยายามเกลี้ยกล่อมเธอมากแค่ไหน หลินเจี้ยนก็ยืนกรานที่จะจากไป เธอไม่กล้าแม้แต่จะมองลู่เฉินเลยด้วยซ้ำ
ซูโย่วอี๋มีสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างผิดปกติกับหลินเจี้ยน ดังนั้นเธอต้องพูดคุยกับหญิงสาวในภายหลัง
ไม่นาน กลิ่นของอาหารก็ตลบอบอวล
เฉินซีซีตักโจ๊กใส่ชามให้ลู่เฉิน
กลิ่นที่คุ้นเคยโชยเข้าจมูก
เขาหยิบช้อนขึ้นมาตักเข้าปาก รสชาตินี่มันเหมือนกับโจ๊กที่หลินเจี้ยนเอามาให้เขากินทุกเช้าไม่มีผิด!
ชายหนุ่มเปิดปากชมว่า “อร่อย”
เฉินซีซีหัวเราะคิกคัก “อร่อยอยู่แล้ว โจ๊กที่พี่สาวทำไม่เหมือนใคร วันนี้พี่ชายลู่โชคดีมาก”
จากนั้นกระต่ายน้อยก็มองไปที่ทุกคนและพูดว่า “วันนี้ทุกคนได้กินของอร่อยแล้ว มีเพียงฉัน อวี๋ชิงจ้าว และหลินเจี้ยนเท่านั้นที่เคยกินมันแล้ว”
“แล้วทำไมหลินเจี้ยนถึงไม่อยู่กินด้วย” ลู่เฉินถามอย่างสบาย ๆ
เฉินซีซีส่ายหัว “ฉันไม่รู้ ฉันคิดว่าเธออาจไม่สบาย หรืออาจจะเหนื่อยก็ได้”
เมื่อนึกถึงสีหน้าของหลินเจี้ยน ซูโย่วอี๋ก็พูดว่า “เธอกับหลินเจี้ยนอยู่ตึกเดียวกันนี่ เธอเอาโจ๊กไปให้หลินเจี้ยนด้วยนะ”
เฉินซีซีถามว่า “แล้วกล่องข้าวของเธออยู่ที่นี่ไหม ใช่อันสีชมพูหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ใช้ของฉันก็ได้”
หลินเจี้ยนเอาโจ๊กไปกิน เมื่อครั้งที่แล้ว กล่องข้าวของเธอจึงไม่อยู่ที่นี่
“หลินเจี้ยนกินข้าวกับคุณบ่อยไหม?” ลู่เฉินถาม
“ใช่ เธอสอนฉันเต้นมาก่อน ฉันเลยทำอาหารเช้าให้เธอเป็นการตอบแทน”
‘ฉันเข้าใจแล้ว’
ด้านแฟนคลับเข้ามาในห้องถ่ายทอดสดเพื่อรอดูไอดอลของพวกเขา และพวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าไอดอลของพวกเขาจะกำลังพูดคุยกัน และทานอาหารเย็นด้วยกัน จนลืมแฟน ๆ ไปเสียสนิท
[ฉันไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี!]
[ฉันรออย่างกระวนกระวายในห้องสตรีม แต่เธอกลับมานั่งกินข้าวอยู่ที่นี่]
[ฉันตัดสินใจที่จะไม่เป็นแฟนคลับโย่วโย่วเป็นเวลาสามวินาที]
[พี่สาวจ้าว กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอีกครั้ง ฉันดีใจที่เห็นอย่างนั้น ถ้าเธอไม่อยากสตรีมก็ไม่ต้องสตรีมหรอก]
[อย่างนี้แสดงว่าทีมของโย่วโย่วได้รับการอนุมัติเป็นพิเศษจากประธานลู่ว่า ไม่จำเป็นต้องสตรีมใช่ไหม?]
[กินข้าวเย็นกับนายใหญ่ ชาบู ๆ!]
[ทุกคนควรอยู่ในระเบียบ!]
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีใครสังเกตว่าหลินเจี้ยนไม่ได้อยู่ที่นั่น
ทันทีที่ลู่เฉินกินเสร็จเขากำลังจะลุกจากโต๊ะ เห็นดังนั้นซูโย่วอี๋จึงรีบลุกขึ้นไปอุ้มโต้วโต่วส่งให้เขา
“ประธานลู่ นี่แมวของคุณค่ะ”
เธอก้มศีรษะลงและส่งโต้วโต่วอย่างไม่เต็มใจ “ขอบคุณนะ ลูกแมวน้อย”
ดวงตาโต้วโต่วที่เต็มไปด้วยความผูกพัน มันถูมือของเธอด้วยหัวของมัน “เหมียว”
ลู่เฉินเอื้อมมือไปจับแมว แต่โต้วโต่วกลับหดตัวกลับเข้าไปในอ้อมแขนของซูโย่วอี๋อย่างโหยหา
ซูโย่วอี๋รู้ว่านี่เป็นผลจากระบบ ไม่ได้มาจากความรู้สึกของโต้วโต่วจริง ๆ
‘เด็กดี กลับบ้านกับพ่อนะ แล้วพี่สาวจะไปเยี่ยมทีหลัง’
พ่อ?
พี่สาว?
ลู่เฉินเหมือนกำลังได้ยินคนแก่พูด
“คุณโกหกลูกแมวได้ด้วย”
เธอกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอมันอีก
ซูโย่วอี๋ถอนหายใจ “ใครว่า ถ้าเรามีชะตาต้องกัน ต้องได้เจอกันอีกแน่”
อีกอย่าง โต้วโต่วคงจะลืมเธอในไม่ช้า
สาว ๆ ไม่ออกไปไหนเพราะทำความสะอาดครัวยังไม่เสร็จ
หลังจากพักผ่อนในห้องพักสักพัก ซูโย่วอี๋ก็เข้าไปในพื้นที่ฮอโลแกรมเพื่อออกกำลังกายเหมือนเช่นเคย
ในเช้าวันศุกร์ สมาชิกในทีมจะได้วันหยุดครึ่งวัน ในตอนบ่าย พวกเธอมารวมกันในห้องฝึกซ้อมเพื่อชมโฆษณาของตัวเอง
หลังจากออกกำลังกายมาทั้งเช้า สุนัขจิ้งจอกก็ยืนกรานที่จะลงไปดูทีวีชั้นล่าง ซึ่งทำให้เธอปวดหัวไม่น้อย
“ตกลง ๆ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
แต่นี่มันสิบเอ็ดโมงแล้ว เธอน่าจะได้กินข้าวเที่ยงเร็วในวันนี้
เธอเดินออกจากประตูไปที่บันไดแล้วเคาะประตูห้องอวี๋ชิงจ้าว
หญิงสาวเคาะหลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครตอบกลับ
เมื่อเธอกำลังจะออกไป ก็มีประตูหนึ่งเปิดออก
เป็นเรื่องยากที่ฉูรั่วฮวนจะใจเย็น และไม่ได้เยาะเย้ยอะไรเธอ “อรุณสวัสดิ์”
ซูโย่วอี๋พยักหน้ารับอย่างราบเรียบ
ฉูรั่วฮวนขมวดคิ้วและพูดอย่างเย็นชา “ลงไปข้างล่างด้วยกันไหม?”
ระหว่างทางทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน
ทุกครั้งที่ ฉูรั่วฮวนนึกถึงใบสัญญาที่เธอเห็นในวันนั้น ความอิจฉาก็แทบจะกัดกินเธอ
แม้ว่าพวกเขาจะเซ็นสัญญาล่วงหน้าแต่มันก็เป็นเงื่อนไขก็ดีมาก
ตามปกติในช่วงแรกของการเซ็นสัญญาแม้ว่าศิลปินจะทำงานอย่างหนัก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำเงินได้มากนัก บริษัทจะรับผลกำไรส่วนใหญ่ไป
แต่ในสัญญานี้เขียนชัดเจนว่า 50-50!
เมื่อพวกเธอกำลังจะแยกกันในห้องนั่งเล่น ฉูรั่วฮวนก็กล่าวว่า “ถึงการแพ้ชนะจะไม่มีผล แต่อย่าคิดว่าเธอจะชนะฉัน รอให้ถึงคราวของฉันก่อนเถอะ”
เธอจะต้องชนะการเป็นพรีเซนเตอร์
ครั้งนี้ เนื่องจากเป็นโฆษณาน้ำหอมนี้เสนอโดยฉูรั่วฮวนเธอจึงกลายเป็นนางเอกโฆษณาโดยไม่มีใครโต้แย้งใด ๆ
ฉูรั่วฮวนมั่นใจว่าเธอสามารถดึงดูดแฟน ๆ จำนวนมากผ่านโฆษณาน้ำหอมเพื่อชดเชยชื่อเสียงที่ไม่ดีของเธอได้
ในตอนบ่าย ทุกคนอยู่ในห้องฝึกซ้อมกันแล้ว แต่อวี๋ชิงจ้าวก็ยังไม่มา
“อวี๋ชิงจ้าวยู่ไหน?”
สมาชิกในทีมมองหน้ากันและพูดว่า “ลีดเดอร์ คุณอยู่ชั้นเดียวกับเธอไม่ใช่เหรอ เรานึกว่าพวกคุณจะมาด้วยกันซะอีก”
ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้วมุ่น อวี๋ชิงจ้าวเป็นคนตรงต่อเวลาเสมอ
ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ
เธอจึงเรียกเฉินซีซีว่า “ไปถามทีมงานของรายการให้หน่อยสิว่าอวี๋ชิงจ้าวขอลาหรือเปล่า”
เฉินซีซีได้ยินอย่างนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว
“ทีมเทคนิคยังไม่ส่งไฟล์วิดีโอมาเหรอ? ”