บทที่ 95 มีใครอยู่กับหลาน?
บทที่ 95 มีใครอยู่กับหลาน?
เมื่อซูโย่วอี๋มาถึง ผู้ชมเกือบจะออกไปกันหมดแล้ว เหลืออยู่เพียงไม่กี่คน
ตอนนี้ เธอสวมหน้ากากและซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้อง เธอจะไม่เข้าไปจนกว่าจะไม่มีใครเหลืออยู่
หญิงสาวตรงไปที่ห้องรับรองของลู่เฉินโดยหวังว่าเขาจะยังอยู่
เมื่อเห็นคนออกไปหมดแล้วเธอก็วิ่งเข้าไปด้านหลังเวทีอย่างเร่งรีบ เมื่อเธอมาถึงที่ประตูห้องรับรอง ก็ยืนหอบอยู่สักพัก
เธอเคาะประตูสองครั้ง
“เข้ามา”
เมื่อซูโย่วอี๋ผลักประตูเข้าไปก็พบว่าเจ้าหน้าที่เหลียงก็อยู่ที่นี่ด้วย
เธอหยุดชั่วขณะและพูดว่า “ขอโทษที่มารบกวนค่ะ เดี๋ยวฉันมาใหม่”
เธอรีบออกไป
“เข้ามาสิ ผมกำลังพูดเรื่องวันนี้กับเจ้าหน้าที่เหลียงอยู่ คุณไม่อยากฟังเหรอ?”
แน่นอนว่าเธออยากรู้ แต่มันจะดีเหรอถ้าเธออยู่ฟังด้วย?
เพราะซูโย่วอี๋ก็เป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญในคดีนี้นี่
เธอมองไปที่เจ้าหน้าที่เหลียงและพบว่าใบหน้าของเขาดูนิ่งเฉย เธอก็นั่งลง
เจ้าหน้าที่เหลียงพูดต่อ “มีการเบี่ยงเบนทิศทางของการสอบสวน ในตอนแรกเรามองไปที่ฝูงชนนอกสถานที่ แต่หลังจากที่คนวางยาปะปนเข้าไปในฝูงชน กลุ่มเป้าหมายก็ใหญ่เกินไป เป็นการยากที่จะสอบสวน”
ความไม่แน่นอนก็มีมากเช่นกัน
บุคคลนั้นอยู่ในจุดบอดของการตรวจสอบนานแค่ไหนหลังจากที่ออกจากสถานที่?
หนึ่งชั่วโมง? สองชั่วโมง?
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็สามารถรออยู่ที่นี่ได้ถึงพรุ่งนี้เช้า จากนั้นทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ในช่วงเวลานี้ก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัย!
มันเหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร
ลู่เฉินพยักหน้า “ผมคิดว่าคุณคงพบวิธีแก้ปัญหาแล้ว”
มันเป็นคำสั่งไม่ใช่คำถาม
“ครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดด้วยน้ำเสียงสงบ
“ทุกคดีมีเหตุผลในตัวมันเอง ทำไมถึงวางยาพิษ? มันเกี่ยวกับผลประโยชน์พัวพัน การทะเลาะกันหรืออย่างอื่น? เรากำลังพูดถึงสถานการณ์ที่ซูโย่วอี๋และเฉินซีซี เป็นเป้าหมายของคนร้ายในตอนต้น จากนั้นก็มี เหตุผลเดียวที่ทั้งสองคนมีร่วมกัน”
“การแข่งขันรายการวาไรตี้” เขาตอบอย่างเป็นธรรมชาติ
“ใช่แล้ว เพราะทั้งสองได้รับความนิยมมาก การที่คนร้ายตั้งใจจะทำร้ายทั้งคู่หมายความว่าพวกเธอเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่า”
หากข้อสรุปนี้ถูกต้อง อันดับของผู้วางยาพิษจะต้องไม่ต่ำ และอาจอยู่ราว ๆ อันดับที่ห้าด้วยซ้ำ
พวกเขาตัดตัวเลือกไปทีละคน
ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่เหลียงดับบุหรี่ในมือแล้วพูดว่า “เราตรวจสอบผู้เข้าแข่งขันสิบอันดับแรกเป็นหลัก ด้วยหลักฐานที่อยู่ในตอนที่เกิดเรื่อง เราจึงมุ่งเป้าไปที่บุคคลนั้นได้ในทันที”
ซูโย่วอี๋อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ใครเหรอคะ?”
“ฉูรั่วฮวน”
ฮะ?
ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้วมุ่น ความนิยมของฉูรั่วฮวนเพิ่งอยู่ในอันดับที่ห้าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อีกทั้งยังมีเรื่องกระทบกระทั่งกันจึงมีเหตุจูงใจพอที่เธอจะทำแบบนี้
“และเมื่อเราตรวจสอบวิดีโอวงจรปิด เราก็พบว่าฉูรั่วฮวนอยู่ที่นั่นหลังจากเกิดเรื่อง”
จากมุมมองของจิตวิทยาอาชญากร พฤติกรรมนี้เป็นการชี้นำอย่างมาก
“แน่นอน นี่เป็นเพียงการคาดเดา เป็นวิธีที่เราจะจำกัดขอบเขตการสืบสวนให้แคบลง และเราต้องรอหลักฐาน แต่จากประสบการณ์ของผม วิธีการของผู้กระทำความผิดไม่ได้ฉลาดนัก”
“เราควรจับเธอให้ได้เร็ว ๆ”
รอยยิ้มมั่นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่ม
ซูโย่วอี๋นั่งลงและฟังพวกเขาพูดถึงรายละเอียดบางอย่าง
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงเข้ามา “หัวหน้าเหลียง จากการสืบสวน อัตราการก่ออาชญากรรมของฉูรั่วฮวนเพิ่มขึ้นถึง 90% เราพบหลักฐานของฉูรั่วฮวนว่าเธออยู่ใกล้กับที่คนวางยาพิษหายไป และเธอเข้าไปในสถานที่แสดงอีกครั้งจากนั้นก็ออกมา แต่เราไม่สามารถหาหลักฐานใด ๆ เกี่ยวกับการปรากฏตัวของเธอได้”
คนที่เพิ่งเข้าไปจะออกมาทันทีได้อย่างไร?
จากนั้นเจ้าหน้าที่เหลียงยืนขึ้นและพูดว่า “ประธานลู่คุณกลับไปกันก่อนเถอะ จนกว่าผลการสอบสวนจะได้ข้อสรุป ผมจะติดต่อคุณไปอีกครั้ง”
“ขอบคุณ”
เจ้าหน้าที่หญิงเดินตามหัวหน้าเหลียงและหันกลับไปหาซูโย่วอี๋ด้วยรอยยิ้มกว้าง
เมื่อเหลือเพียงสองคนในห้องรับรอง เธอก็พูดขึ้นว่า “ประธานลู่ ฉันอยากพบเฉินซีซี”
“คุณช่วยอะไรเธอไม่ได้หรอก คุณนายเฉินคงไม่ให้คุณเจอเธอแน่”
“ฉันเลยมาหาคุณไง”
ซูโย่วอี๋พูดอย่างดื้อรั้น
ลู่เฉินหัวเราะเบา ๆ “คุณคิดว่าผมจะช่วยได้เหรอ?”
“หรือคุณจะไม่ช่วยฉัน?”
ซูโย่วอี๋ไม่รู้จะพูดอะไร ลู่เฉินเคยบอกว่าเขาเป็นนักธุรกิจ
ในแง่ของธุรกิจ ตอนนี้เธอไม่สามารถต่อรองอะไรเขาได้เลย
แต่เธอมีความรู้สึกว่าลู่เฉินจะไม่เมินเฉยกับคำขอร้อง เพราะเมื่อเขายืนอยู่ต่อหน้าเธอและช่วยเธอคุยกับคุณนายเฉินในตอนนั้น มันทำให้เธอมั่นใจ
ลู่เฉินหยิบโทรศัพท์ออกมาจากลิ้นชักแล้วยื่นให้เธอ “มันเป็นของคุณ”
ซูโย่วอี๋รับมันมาและพบว่าเป็นโทรศัพท์ของเธอจริง ๆ!
‘ลู่เฉินรู้อยู่แล้วเหรอว่าเธอจะมาหา?’
“ประธานลู่ ทำไมโทรศัพท์ของฉันถึงอยู่ที่นี่ได้”
นิ้วเรียวยาวหยิบแก้วชาขึ้นมาดื่ม “ไปกันเถอะ”
จู่ ๆ ซูโย่วอี๋ก็มีความคิดหนึ่งเข้ามาในหัว แต่เธอไม่อยากจะเชื่อมันเลย “คุณจะพาฉันไปที่นั่นจริง ๆ เหรอ”
“หรือว่าไง ผมรอคุณมานานแล้วนะ”
หลังจากอึ้งไปสองวินาทีเธอก็ตามอีกฝ่ายไปทันที
เธอเดินตามเขาไปที่ลานจอดรถและมาถึงรถของเขา
ลู่เฉินนั่งที่นั่งคนขับ หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง ซูโย่วอี๋ก็เปิดที่นั่งข้างคนขับและเข้าไปข้างใน
เขามองเธออย่างสงสัยและคิดว่า ‘ทำไมเธอไม่นั่งเบาะหลังล่ะ?’
ตั้งใจเกินไปหรือเปล่า?
“คาดเข็มขัดนิรภัยด้วย”
“ได้ค่ะ” ซูโย่วอี๋กล่าว
ตอนนี้เป็นเวลาเย็น แต่ทั้งเมืองก็ยังคงสว่างไสว
เพลงเก่ายุค 80 กำลังเปิดคลออยู่ในรถ เป็นเสียงของนักร้องชายที่แหบแห้ง แต่ทำนองนั้นฟังง่าย
ซูโย่วอี๋นั่งฟังเพลงอย่างเงียบ ๆ “ประธานลู่คุณเคยคิดถึงอดีตไหม”
“อาจจะ”
เขาวางมือซ้ายบนพวงมาลัยอย่างสบาย ๆ และค่ำคืนก็ดูเศร้าหมองเล็กน้อยบนใบหน้าด้านข้างของเขา
“เมื่อเราถึงโรงพยาบาล คุณเดินตามผมมา อย่าเดินไปไหนคนเดียว”
โรงพยาบาลเอกชนที่เฉินซีซีพักอยู่เป็นความลับ และคนทั่วไปไม่สามารถเข้าไปได้
ซูโย่วอี๋ต้องการถามมากกว่านี้ แต่จู่ ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
เขากดรับทันที
[คุณปู่ ผมกำลังขับรถอยู่]
เมื่ออีกฝ่ายเป็นคุณปู่ของลู่เฉิน เธอจึงเงี่ยหูฟังอย่างเงียบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
[หลานกลับบ้านมากินข้าวเถอะ พ่อแม่ของหลานก็มาด้วยนะ]
ลู่เฉินตอบกลับโดยไม่คิด [ผมไม่ว่าง กลับไปตอนนี้ไม่ได้]
[หลานก็ยุ่งอยู่ตลอด ไม่เคยกลับมากินอาหารเย็นด้วยกันเลย ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ หลานก็เลื่อนมันออกไปสิ]
ซูโย่วอี๋รู้สึกผิดเล็กน้อย ที่เขาไม่ยอมกลับบ้านไปกินข้าวเย็นเพราะเขาต้องพาเธอมาเยี่ยมเฉินซีซีสินะ
ลมเย็นพัดผ่านจมูกของเธอ เธออดไม่ได้ที่จะจามสามครั้งติดต่อกัน
คุณปู่ได้ยินก็ถามด้วยความประหลาดใจ [มีคนอยู่ในรถของหลานหรือเปล่า?]
ลู่เฉินเหลือบมองเธอและตอบว่า [ใช่]
[เป็นผู้หญิงเหรอ? หลานมีแฟนลับหลังปู่งั้นเหรอ? ลู่เฉิน ปู่เป็นคนเลี้ยงหลานมานะ หลานปิดบังอะไรปู่ไม่ได้หรอก]
[ไม่ใช่]
ผู้เฒ่าลู่ที่ตั้งหน้าตั้งตารอหลานสะใภ้ทุกวัน ราวกับว่าเขากำลังรอคอยดวงดาวและพระจันทร์
[พาแฟนมากินข้าวเย็นที่บ้านด้วย แล้วเวลาอยู่ด้วยกันควรบอกชื่อเธอ อย่ามาปิดบังปู่นะ]
ใบหน้าของซูโย่วอี๋เปลี่ยนเป็นสีแดง เธอไม่คาดคิดว่าการจามจะทำให้ผู้เฒ่าลู่จะเป็นถึงขนาดนี้
ลู่เฉินรู้สึกรำคาญกับคำพูดนั้นของคุณปู่เขาจึงพูดว่า “คุณบอกเขาไปตรง ๆ ที”
ผู้เฒ่าลู่ไม่รู้ว่าเป็นการคุยเป็นแบบเปิดลำโพง และตอนนี้น้ำเสียงที่ของเขาก็กลายเป็นดีใจอย่างมาก