ตอนที่1259 พฤกษาวิญญาณมรณะ
วูบบ วูบบ วูบบบ…
เถาวัลย์สีทมิฬหลากหลายสายซุ่มจู่โจมพวกเย่หยวนทั้งสามในมุมอับสังเกต
กำปั้นเหล็กกล้าของซือโปเทียนเหวี่ยงซัดออกไป ระเบิดพลังศาสตร์แห่งสวรรค์แผดกระจายสารทิศ ทำให้เถาวัลย์สีทมิฬเหล่านั้น เละเป็นผุยผงโดยตรง
แต่ยังไม่ทันพักหายใจ เถาวัลย์สีดำเหล่านั้นกลับยิ่งเพิ่มทวีเข้าจู่โจมมากขึ้น
ทั้งสามเพ่งสายตาจับจ้องให้ดี เถาวัลย์เลื่อยไสวพลิ้วเหล่านี้แท้ที่จริงกลับเป็นงูสีดำขนาดเล็ก
แม้ความแข็งแกร่งของงูดสีดำขนาดเล็กนี้จะไม่เทียบเคียงจระเข้ยักษ์วารีทมิฬ แต่ด้วยจำนวนอันมหาศาลนี้ที่ไม่รู้จบ กลับทำเอาเหนื่อยตกไปตามๆกัน
“นั้นมันอสรพิษลวดทมิฬ! พวกมันมีจำนวนนับหลายล้านตัว! เราไม่ควรพักพิงอยู่ที่นี่ ไปทางโน้นเร็ว!”
เย่หยวนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสุดเคร่งขรึม
ด้วนจำนวนที่มากมายมหาศาลของพวกมัน ย่อมสามารถชดช่อยความอ่อนด้อยของพวกมันจนหมดสิ้น
เย่หยวนและที่เหลือยังทนอยู่ได้อย่างไร? ทั้งหมดวงแตกวิ่งเตลิดไปทางหนึ่ง
โชคยังดีที่ซือโปเทียนทรงพลังมากฝีมือ ด้วยกำปั้นแล้วกำปั้นเล่า พวกอสรพิษลวดทมิฬไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย
หลังจากพยายามตีห่างออกไปครู่ใหญ่ ทั้งสามก็หนีออกจากวงล้อมสังหารของพวกอสรพิษลวดทมิฬได้สำเร็จ
พวกเขาวิ่งหนีไม่คิดชีวิตอย่างบ้าคลั่ง และมิทราบว่านานเพียงใดถึงมายังจุดนี้ได้
“ไม่น่าแปลกใจเลย ไฉนสถานที่แห่งนี้มีนามว่า ลุ่มแม่น้ำมรณะ ปรากฏว่าสมชื่อแล้ว! ยังมีสัตว์ประหลาดชนิดใดรอเราอยู่อีก?”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าเจือหวาดกลัวหลายส่วน
ซือโปเทียนเอ่ยกล่าวว่า
“จระเข้ยักษ์วารีทมิฬกับอสรพิษลวดทมิฬ น่าจะเป็นอสูรชนชั้นต่ำสุดในลุ่มแม่น้ำมรณะแล้ว พวกเราถือว่าโชคดีมากที่เจอแค่พวกมัน”
แงหมัวหู่ที่ได้ยินเช่นนั้นพลันหน้าเสียหนัก ก่อนกล่าวขึ้นอย่างอดมิได้ว่า
“ข้าไม่สงสัยเลย ไฉนสถานที่แห่งนี้ถึงรู้จักในนามเขตพระเข้าต้องห้าม นี่เป็นอาณาเขตแห่งความตายอย่างแท้จริง!”
ยามนี้มันเกินขอบเขตของความเข้าใจไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจระเข้ยักษ์วารีทมิฬหรืออสรพิษลวดทมิฬ หากสุ่มหยิบพวกมันออกไปวิ่งเล่นบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ คงสามารถกวาดล้างทุกสิ่งจนบรรลัยสูญแน่นอน
นอกจากนี้เอง จุดแข็งของทั้งสามยังเหนือชั้นกว่าเซียนทั่วไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายขุม ทว่าแม้แต่พวกเขายังต้องหนีตายอย่างไม่คิดชีวิต
แล้วผู้คนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะไปเหลืออะไร?
ต่อให้เป็นระดับชั้นสิบจอมราชันย์เอง นั้นก็ถึงตายเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม…อสูรสองชนิดที่กล่าวไปกลับเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตระดับต่ำสุดภายในที่แห่งนี้เท่านั้น!
ทั้งสามที่กำลังสับสนอย่างหนัก ยามนี้ญาณนสัมผัสของทุกคนถึงกับดังสะท้านกึกก้องพร้อมกันภายในใจ!
อิ้งหมัวหู่ที่แสนเหนื่อยหอบ ถึงขั้นตะโกนลั่นอย่างสุดจะทน
“เราไปฆ่าโคตรบิดาของพวกเจ้ารึไง?!”
เย่หยวนขมวดคิ้วเข้ม หน้าที่สกัดกั้นต่อจากนี้โดยส่วนใหญ่เป็นฝีมือของซือโปเทียน
ระหว่างนั้นเย่หยวนพยายามใช้จ่ายเวลาให้คุ้มค่าที่สุด เขาเร่งฟื้นฟูพลังโดยไว!
คราวนี้เงาร่างสีดำเข้ารายล้อมรอบทิศ ความแกร่งกล้าของพวกมันน่าสะพรึงขวัญยิ่งกว่าสองชนิดก่อนหน้าเสีย
ทั้งสามสับฝีเท้าหนีตายอีกระลอก จนรอดพ้นออกมาได้อีกครั้ง
“ระวังตัวให้ดี! ข้ารู้สึกเหมือนว่า มีใครบางคนกำลังชักไยอสูรเถื่อนเหล่านี้อยู่เบื้องหลัง ดูท่าแล้ว…มันตั้งใจที่จะบีบให้เราไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง”
เย่หยวนกระซิบเสียงเบาเล็ดรอดผ่านหูทั้งสอง
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำๆกันหลายรอบ เย่หยวนเริ่มรู้สึกเอะใจบ้างแล้ว
อสูรเถื่อนเหล่านี้ดูท่าจะจงใจทิ้งทางหนีไว้ให้เสมอ
ครั้งแรกครั้งสองยังกล่าวได้ว่าบังเอิญ ทว่าครั้งสามยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน นี่ชวนให้เย่หยวนสงสัยหนักเข้าไปใหญ่
แม้ความแกร่งกล้าของพวกเย่หยวนจะน่าเกรงขาม ทว่ายังประคองชีวิตออกมาได้อย่างสาหัสสากรรจ์เช่นกัน
ทว่าสิ่งที่เย่หยวนค้นพบและตกใจที่สุดคือ พวกอสูรเถื่อนเหล่านั้นมิได้เจตนาโจมตีพวกเขาโดยหวังเอาตายจริงๆ
หลายต่อหลายครั้งแล้ว พวกมันพยายามต้อนกลุ่มเย่หยวนไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นอย่างตื่นตระหนกว่า
“เป็นไปไม่ได้? ใครกันที่ทรงพลังจนสามารถควบคุมฝูงอสูรเถื่อนเหล่านี้ได้อยู่หมัด?”
สีหน้าเย่หยวนเปลี่ยนไปอย่างมาก แต่กลับมิได้กล่าวตอบอันใด
อิ้งหมัวหู่ที่เห็นทางทีเช่นนั้น ยามนี้พลันหันควับจับจ้องเย่หยวนด้วยความตกใจสุดขีด และกล่าวขึ้นว่า
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…”
ยามนี้เย่หยวนค่อยพยักหน้าตอบและกล่าวว่า
“ไม่มีใครอื่นแล้ว นอกเสียจากพฤกษาวิญญาณมรณะ!”
อิ้งหมัวหู่ถึงกับถอนสีหน้าซีดเผือก แม้เขาจะมั่นใจยิ่งในขุมพลังความแกร่งกล้าของตน ทว่าจำต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตระดับชั้นนี้ที่แม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้ายังมิอาจต่อกร เขาเองก็พลันสิ้นหวังเช่นกัน
อิ้งหมัวหู่นับเป็นเซียนผู้ไร้เทียมทานขนานแท้คนหนึ่งบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มาตรได้ว่าเป็นระดับแนวหน้าของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
แต่ต่อหน้าพฤกษาวิญญาณมรณะนี้ กลับต่างกันโดยสิ้นเชิง!
นั้นเป็นบางสิ่งที่เหนือชั้นกว่าอาณาจักรพระเจ้า!
ไม่ว่าพฤกษาวิญญาณมรณะจะแกร่งกร้าวมากน้อยเพียงใด แต่นั้นก็มิใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถต่อกรได้อย่างสมบูรณ์
พวกเขาทั้งสามหาใช่คู่มือของพฤกษาวิญญาณมรณะไม่!
“นี่…ยังไม่ทันเห็นพฤกษาคุนหวูแม้แต่เงา ทว่าวิ่งชนเข้ากับพฤกษาวิญญาณมรณะแทนอย่างจัง นี่…นี่ไม่โชคร้ายเกินไปหน่อยรึ?”
อึ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มสุดระทมใจ
“เฮ้ออ… ถึงเราวิ่งเข้าชนกับพฤกษาคุนหวู สถานการณ์ก็มิได้ดีกว่าในปัจจุบันมากนัก”
เย่หยวนถอนหายใจเสียงยาวพลางกล่าวตอบ
“เช่นนั้น…เราควรทำอย่างไรต่อไปดี?”
อิ้งหมัวหู่กล่าว
ชั่วแววหนึ่ง แววตาไสวเย่หยวนหรี่แคบเผยถึงความจริงจัง เขากล่าวว่า
“ทุกสิ่งโดยรอบอันตรายอย่างยิ่งจำต้องระมัดระวังให้มาก! มิใช่ว่าเราเตรียมใจก่อนเดินทางเข้ามาแล้ว? อย่าลืมไปเสีย เขตพระเจ้าต้องห้ามแห่งนี้ แม้กระทั่งเซียนอาณาจักรพระเจ้ายังมิอาจรอดชีวิตกลับไป!”
ทั่วร่างกายาของอิ้วหมัวหู่สั่นสะท้านหนัก จิตวิญญาณของเขาได้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งจากวาจาปลุกกระตุ้นของเย่หยวน พร้อมเอ่ยขึ้นว่า
“พี่ใหญ่กล่าวถูกต้องแล้ว! เหอะ เหอะ ต่อให้เป็นเขตพระเจ้าต้องห้ามมีหรือจะหยุดพวกเราสองพี่น้องได้? บุกน้ำลุยไฟผจญความตายอย่างไร ข้า,อิ้งหมัวหู่ขอเดินเคียงข้างพี่ใหญ่จนสุดทาง!”
เย่หยวนหัวร่อขึ้นเล็กน้อยและกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า
“ฮ่าฮ่า เจ้าน้องชายที่ดี! ยามนี้พวกเราลงเรือหวังได้เพียงกระแสลมพัดพา! ดูท่าอีกฝ่ายอยากเจอเรานัก? เช่นนั้น…ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่า พฤกษาวิญญาณมรณะจะมีดีอย่างตำนานว่าไว้หรือไม่!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! พี่ใหญ่กล่าวถูกใจข้านัก!”
อิ้งหมัวหู่กล่าวตอบพลางหัวเราะอย่างชอบใจ
มิใช่ว่าเย่หยวนรนหาที่ตาย แต่เขาทราบดีพวกอสูรเถื่อนเหล่านี้มิได้เจตนาเอาตาย แต่เพียงบีบให้พวกเขาไปยังทิศทางที่กำหนด ยามนี้สองพี่น้องคิดท้าทาย ไล่สังหารอสูรเถื่อนเหล่านั้นตลอดทางยาว!
ต่อให้ขุมพลังของพวกมันจะแกร่งกร้าวขนาดไหน ทว่ายามนี้ทั้งสองเข้าสัประยุทธ์มุ่งหน้าอย่างบ้าดีเดือด ต่อให้มากันมากมายเพียงใดกลับมิอาจหยุดยั้งพวกเขาได้
พวกเขาไม่สนแล้วว่าหลังจากนี้จะรอดหรือไม่รอด ขอเพียงไปให้สุดทางหวังเพื่อรอชมสิ่งที่รออยู่เพียงเท่านั้น
ซือโปเทียนยังคงนิ่งไม่แยแสะต่ออันใด แต่สีหน้าของมันผลันไสวเผยถึงความประหลาดใจเล็กน้อย
สองพี่น้องคู่นี้ยังคงยืนหยัดเข้าประจักษ์หน้าอย่างไร้ซึ่งความกลัว ต่อให้หุบเขาไท่ซานถลมลงต่อหน้า กลับเป็นทั้งคู่ที่วิ่งเข้าใส่เสียเอง บุคคลประเภทนี้สมแล้วที่ได้รับสืบทอดศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ!
ตั้งแต่ปลุกไฟจนลุกโชน ทั้งสามไล่สัประยุทธ์ฆ่าล้างอย่างบ้าคลั่งตลอดเส้นทาง ผ่านศึกน้อยศึกใหญ่เล่า ในที่สุดพวกเขาก็ปราดมาถึงพื้นที่เปิดกว้าง
บริเวณนี้เป็นทุ่งกว้าง หากใช่หนองลุ่มแม่น้ำสีทมิฬอีกต่อไป
ทว่าทุ่งกว้างแห้งนี้คล้ายดินแดนรกร้างแสนว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ใบหญ้างอกเงยขึ้น ผืนดินแห้งแตกเป็นลายงา
กวาดตาสำรวจโดยรอบนี่ถือทุ่งกว้างแสนแห้งแล้งอันเปลี่ยวเหงาอย่างแท้จริง ทว่าเบื้องหน้ากลับมีเพียงต้นไม้ยักษ์ตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยว
ต้นไม้ใหญ่นี้มีสีดำสนิท เพียงแต่กิ่งไม้แห้งแตกแขนงปราศจากใบไม้ใบเขียวใดๆ
บนกิ่งก้านเหล่านั้นมีอีกาสามตัวกำลังร่ำไห้อย่างเศร้าโศก ใครได้ยินพลันรู้สึกสิ้นหวังไปตามๆกัน
อีกาทั้งสามหาได้มีพิษมีภัยอันใด สีหน้าของพวกมันราวกับกำลังจะตาย!
เมื่อเห็นต้นไม้สีดำทมิฬขนาดยักษ์ตรงหน้า สีหน้าเย่หยวนพลันมืดลงโดยไม่สมัครใจ
“หรือนี่คือพฤกษาวิญญาณมรณะในตำนาน? ดูแล้ว…หาได้มีอะไรพิเศษไม่”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้น
“ยิ่งดูสงบเพียงใดกลับยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น! หากการสันนิฐานของข้าไม่ผิดเพี้ยน อีกาทั้งสามตัวนั้นสื่อถึงพวกเราสามคน! พฤกษาวิญญาณมรณะกำลังจะบอกว่า พวกเราทั้งสามจำต้องตายในวันนี้!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าสุดเคร่งขรึม