หออาญาสิทธิ์
“นายท่าน ข้าได้ป่าวประกาศตามที่ท่านสั่งเป็นที่เรียบร้อย และเกณฑ์มนุษย์ทุกคนออกจากภูมิภาคอสูรแล้ว อีกทั้งยังออกคำสั่งยุบภาคีวิถีเร้นลับ…”
ณ ห้องโถงกว้าง เฉาหยุนจือเข้ารายงานต่อเย่หยวนเกี่ยวกับทิศทางความคืบหน้าของสถานการณ์ในขณะนี้ของมวลมนุษย์โดยละเอียด
อย่างที่เคยกล่าวว่าไว้ จุดเด่นของเผ่ามนุษย์คือการปรับตัวและการเอาชีวิตรอดที่เป็นเลิศ หลังจากที่พวกเขาเดินทางออกจากภูมิภาคอสูรไป ไม่นานพวกเขาจะลงหลักปักฐานและสร้างทุกอย่างขึ้นใหม่อีกครั้ง
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากเผ่าปีศาจ เป็นเครื่องเตือนใจของพวกเขาทั้งเผ่าอสูรและเผ่ามนุษย์ว่าชีวิตมิอาจประมาทได้อีกต่อไป
พวกเขาจำต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้
ซึ่งเย่หยวนเองก็ออกคำสั่งห้ามอย่างเข้มงวด ภายในระยะเวลาหนึ่งร้อยปี หากมีมนุษย์คนใดกล้าบุกรุกภูมิภาคอสูร พวกเขาเหล่านี้จะถูกประหารทันทีโดยปราศจากความเมตตาใดๆ!
แม้โลกแห่งการต่อสู้นี้มีกฎที่ว่า ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง แต่เย่หยวนไม่ยอมปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจนเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่เฉกเช่นเดียวกับเผ่ายักษ์หินแน่นอน
หลังจากได้ยินคำรายงานของเฉาหยุนจือ เย่หยวนก็พยักหน้าและกล่าวตอบว่า
“เจ้าทำได้ดีมาก! แม้ว่าภาคีวิถีเร้นลับจะยุบไปแล้ว แต่ความสูญเสียในครั้งนี้จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยพันปีเพื่อฟื้นตัวอีกครา ดังนั้นในระหว่างนี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถือว่าอ่อนแอเป็นอย่างมาก รวมไปถึงอาจเกิดอาชญากรรมขึ้นได้ตลอด ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงตัดสินใจจัดตั้ง หออาญาสิทธิ์ขึ้น โดยมีท่านอาวุโสกวนควานเทียนเป็นผู้ดูแล ส่วนผู้กำหนดทิศทางของหออาญาสิทธิ์รวมไปถึงการร่างกฎหมายออกมาเพื่อบังคับใช้ ทั้งหมดนี้ต้องวานเจ้าเป็นคนจัดการ”
เฉาหยุนจือที่ได้ฟังแบบนั้นก็สั่นเทาไปทั่วทั้งตัว สีหน้าการแสดงออกของเขาเปี่ยมไปด้วยความปิติดีใจจนมิอาจปกปิดใดๆอยู่
เขาคนนี้เป็นคนหัวไว ดังนั้นจะไม่เข้าใจถึงความสำคัญของหออาญาสิทธิ์นี้ได้อย่างไร?
นี่คือสถานที่ที่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยผู้ปกครองดินแดนโดยตรง อำนาจอิทธิพลของหออาญาสิทธิ์แห่งนี้อยู่เหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล! และคนที่เป็นผู้รับผิดชอบก็ไม่ต่างอะไรกับตัวแทนของเย่หยวนเลย!
ความน่าเกรงขามของเย่หยวน สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีใครรู้จัก
การดำรงอยู่ของเขาเปรียบเสมือนพระเจ้าผู้อยู่เหนือสรรพชีวิตในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ในขณะที่เฉาหยุนจือเป็นผู้รับผิดชอบแทนในส่วนนี้ ดังนั้นด้วยสถานะศักดิ์ของเขา ไม่ว่าใครบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างต้องให้ความเคารพ
ซึ่งเฉาหยุนจือก็ทราบดีเช่นกันว่า ความแกร่งกล้าของกวนควานเทียนนั้นเหนือชั้นยิ่งกว่าฟางเทียน
นอกจากนี้ เหล่าเสาหลักแห่งหออาญาสิทธิ์ยังมีทั้งจอมราชันย์วิญญาณและจอมราชันย์คนอื่นๆดำรงอยู่ด้วย
เขาไม่มีทางใช้อำนาจในทางมิชอบอย่างแน่นอน
โดยสรุปแล้ว หออาญาสิทธิ์นี้ก็คือภาคีวิถีเร้นลับแห่งที่สอง!
แน่นอน เฉาหยุนจือคนนี้เดินพันถูกข้างแล้ว!
เฉาหยุนทิ้งคู่เข่ากระแทกพื้นพร้อมก้มศีรษะจรดแทบเท้าเย่หยวนด้วยความซาบซึ้ง และเร่งกล่าวขึ้นว่า
“หยุนซือขอบพระคุณนายท่านที่ไว้ใจ! หยุนซือจะพยายามอย่างสุดความสามารถ! ข้าขอดำรงหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตจวบจนวาระสุดท้าย!”
เย่หยวนก้มมองอีกฝ่ายเล็กน้อยพร้อมกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า
“จงร่างกฎหมายบังคับใช้ออกมาด้วยความเป็นธรรม ที่ข้ามอบหมายตำแหน่งนี้ให้เจ้าเพราะข้าเชื่อใจ และเจ้ายังเป็นคนฉลาดและหัวไว เจ้ามีคุณสมบัติมากพอที่จะมาดูแล ณ จุดนี้ได้! แต่ถ้าหากเจ้ากล้าใช้อำนาจในทางมิชอบ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยส่วนตัว เหล่าบรรดาเสาหลักแห่งหออาญาสิทธิ์เองก็พร้อมลงโทษเจ้าทุกเมื่อเช่นกัน! ส่วนที่ว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร…ก็จงดูข่านนั่วเป็นตัวอย่าง!”
ยิ่งกล่าวมากเท่าไหร่ สุ้มเสียงของเย่หยวนก็ยิ่งเย็นสะท้านมากขึ้นเท่านั้น จนถึงขั้นที่ว่าเฉาหยุนจือรู้สึกดั่งว่าฟ้าดินกำลังจะถล่มลงมา
ในปัจจุบัน ข่านนั่วยังคงถูกทรมานอย่างหนักไม่หยุดหย่อน เสียงกรีดร้องคร่ำครวญของมันก็ยังดังระงมไร้สิ้นสุด
ความปีติยินดีก่อนหน้ากลายมาเป็นความกดดันดั่งภูเขากดทับโดยพลัน
ท้ายที่สุดนี้ เฉาหยุนจือก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งย่อมมีความโลภโดยธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ที่ได้ยิน เขาก็พลันมีความคิดมากมายโฉบแล่นเข้ามาในหัวเช่นกัน
แต่ตอนนี้เปลวไฟภายในใจของเขา ได้เผาผลาญความคิดเหล่านั้นได้โดยสิ้นในพริบตา
บุคคลที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าต่อตาเขาคือ จักรพรรดิดินแดนศักดิ์สิทธิ์!
ท่านผู้นี้สามารถควบคุมเต๋าบนผืนพิภพแห่งนี้ได้!
ขุมพลังความแกร่งกล้าของเขา กระทั้งฟ้าดินยังต้องยอมจำนน!
ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะท่านได้!
“นายท่านโปรดวางใจ! แม้ท่านหยิบยื่นสรรพสิ่งให้ควบคุม หยุนจือคนนี้ก็ไม่กล้าทำเรื่องเช่นนั้นแน่นอน!”
เฉาหยุนจือเร่งกล่าวตอบทันที
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“ข้าไว้ใจเจ้า แต่ข้าจำต้องเตือนไว้ก่อน หลังจากนี้ข้าจำต้องออกเดินทางสู่โลกภายนอกเพื่อช่วยชีวิตหลินเสวีย และนั้นมิใช่ระยเวลาน้อยๆเลย! ดังนั้นหากข้ามาทราบทีหลังว่ามีคนไว้ใจแอบแทงข้าจากข้างหลัง ยามที่กลับมาผู้นั้นจะต้องเจ็บปวดทรมานยิ่งเสียกว่าความตาย!”
สีหน้าการแสดงออกของเฉาหยุนจือแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังในทันใด และกล่าวตอบว่า
“หยุนจือ จักสลักจำใส่ใจ!”
เฉาหยุนจือคนนี้เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมเป็นอย่างยิ่ง และยังเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการควบคุมหออาญาสิทธิ์ แต่เขาเองก็มิใช่สุภาพบุรุษผู้ซื่อตรงขนาดนั้น หากเย่หยวนไม่ขู่เตือนเสียบ้าง อีกฝ่ายอาจทำอะไรที่ไม่ดีก็เป็นได้ในอนาคตต่อไป
แต่ก็เป็นเพราะเฉาหยุนจือมิใช่คนเถรตรงจนเกินไป เย่หยวนจึงตัดสินใจเลือกเขามา
ผีย่อมเห็นผีกันเสมอ คนที่เคยชั่วอย่างเฉาหยุนจือมีหรือจะมองไม่ออกว่าคนไหนมีจิตใจคิดขดทุจริต?
ส่วนตัวแล้ว เย่หยวนเองก็มั่นใจว่า เฉาหยุนจือไม่กล้าทำอะไรไม่ดีเช่นกัน ความแกร่งกล้าของเย่หยวนในปัจจุบัน อีกฝ่ายตระหนักชัดแจ้งด้วยตาตนเอง
แถมในยามที่เย่หยวนไม่อยู่ ก็ยังมีกวนควางเทียน ฟางเทียนและเหล่าจอมราชันย์ที่คอยเฝ้าดูแลความสงบเรียบร้อยอีกทีนึง
“ดีมาก เจ้าเป็นคนฉลาด ย่อมทราบถึงวัตถุประสงค์ที่ก่อตั้งหออาญาสิทธิ์ขึ้นมาดี! เจ้าต้องร่างกฎหมายบังคับใช้ที่เป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และอย่าให้มีกลุ่มอำนาจใดขึ้นมาแทรกแซงได้เป็นอันขาด”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าและน้ำเสียงอันเคร่งขรึม
วัตถุประสงค์ของเย่หยวนนั้นมิได้ซับซ้อนอันใดเลย เขาเพียงต้องการให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้กลับคืนสู่ความสงบสุข และพัฒนาต่อไปในทิศทางเดียวกัน
การดำรงอยู่ของหออาญาสิทธิ์นั้นสูงศักดิ์เสียยิ่งกว่าเมืองนภาศักดิ์สิทธิ์มากโข
สถานที่แห่งนี้เป็นตัวแทนของเย่หยวนในอนาคต
ในยามที่เย่หยวนออกไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หออาญาสิทธิ์แห่งนี้จะดำรงอยู่เพียงควบคุมความสงบสุขและใช้อำนาจกฎหมายเพื่อปราบปรามผู้กระทำผิดในนามของเขา
เฉาหยุนจือกล่าวตอบด้วยความเคารพว่า
“นายท่านโปรดวางใจในตัวหยุนจือคนนี้!”
หลังจากที่เฉาหยุนจือกลับออกไป กวนควานเทียนและฟางเทียนก็เดินออกมาจากด้านหลังม่านยักษ์ด้านหลัง
ทันทีที่กวนควานเทียนได้รับอิสรภาพอีกครั้งโดยเย่หยวน เขาก็เริ่มเคลื่อนไหวในบัดดลและเข้าล้างบางมรดกสืบทอดของนิกายเสินยู่จนสิ้นซาก
สามมหาอำนาจแห่งเมืองนภาศักดิ์สิทธิ์ จู่เห๋อฉิงซวนถูกเย่หยวนฆ่าตาย เมฆาฟ้าโดนลูกหลงจนถูกย่างเกรียมโดยเต็งหยุน ยามนี้เหลือเพียงน่ากงซีเฟิงแค่ลำพัง แล้วมีหรือจะสามารถต่อกรกับกวนควานเทียนได้ไหว?
ความโกรธแค้นของกวนควานเทียนที่ถูกขังเป็นเวลาหนึ่งล้านปี ในที่สุดก็ได้ระบายออกมาอย่างสาสมใจ!
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้นได้ก็ต้องขอบคุณเย่หยวน
ในทีแรก เขาเลิกล้มความคิดที่จะออกมาได้แล้ว แต่ใครจะไปคาดคิด เย่หยวนได้การยอมรับจากเต๋าจนสามารถควบคุมผืนพิภพนี้ได้ดั่งใจนึก แถมยังสามารถปลดปล่อยเขาออกมาได้อย่างง่ายดายยิ่ง
“หุหุ โล่งใจเลยทีเดียว! ข้ามั่นใจได้เลย เจ้าเด็กนั้นไม่กล้าใช้อำนาจในทางมิชอบแน่ หากได้เห็นผลงานที่ข้าทิ้งไว้ในเมืองนภาศักดิ์สิทธิ์บัดซบนั้น!”
กวนควานเทียนกล่าวขึ้นพร้อมยกนิ้วโป้งให้เย่หยวน
“เฮ้ออ…เจ้านี่มันสัตว์ประหลาดชัดๆ ไม่เพียงด้านการบ่มเพาะพลังเท่านั้น กระทั้งด้านจิตใจของผู้คน เจ้ายังมองผ่านอ่านสถานการณ์ได้ขาด! เฉาหยุนจือเป็นคนที่เก่งและมากความสามารถก็จริง แต่ด้วยสันดานโดยดั่งเดิมของเขาก็ไม่สามารถรับประกันได้เช่นกันว่า อนาคตเขาจะทำเรื่องไม่ดีขึ้นหรือไม่ แต่ด้วยคำขู่เตือนของเจ้า ทำให้เขาเห็นถึงผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นจนเกิดความกลัว แต่หากเขายังกล้าทำอะไรจริงๆ ทั้งผู้อาวุโสกวนควานเทียน ข้าและเต็งหยุนจะจัดการแทนเจ้าเอง!”
ฟางเทียนกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ
เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า
“หยุนจือไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่ เพราะท้ายที่สุดนี่เขาก็ยังหวาดกลัวตัวข้าเป็นที่สุด!”
ฟางเทียนพยักหน้าและกล่าวว่า
“ถูกต้อง ความแกร่งกล้าของเจ้าในตอนนี้มันเลยจุดนั้นไปนานแล้ว เฉาหยุนจือในตอนนี้เคราพเลื่อมใสเจ้ายิ่งกว่าอะไร”
กวนควานเทียนกล่าวถามขึ้นว่า
“เย่หยวน แล้วเจ้าจะออกเดินทางเมื่อใด?”
เย่หยวนกล่าวตอบว่า
“หลังจากนี้อีกสามเดือน! ข้าต้องจัดการธุระต่างๆในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ข้าจะได้ออกไปโดยไม่มีห่วง”
ก่อนที่เย่หยวนจะออกเดินทาง เขายังมีภารกิจอีกมากมายที่พึงกระทำ
สำหรับเรื่องของเยวี่ยเมิ่งลี่, ลู่เอ๋อและอิ้งหมัวหู่ เย่หยวนยังต้องการใช้เวลากับพวกเขาก่อนที่จะจากลาไป นอกจากนี้ เย่หยวนยังปลีกตัวกลับไปยังแดนล่างเพื่อนำเอาเย่ฮานและคนอื่นๆที่เหลือเดินทางขึ้นมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ด้วยความแกร่งกล้าของเย่หยวนในปัจจุบัน การกระทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ช่างง่ายดายเพียงแค่คิดเท่านั้น
เย่หยวนได้เตรียมโอสถจำนวนมากมายหลากชนิดให้แก่ตระกูลเย่ และนั้นมีปริมาณมากเกินพอจนสามารถทำให้ทุกคนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันย์เทวะได้
การเดินทางในคราวนี้ของเย่หยวน กระทั้งเขาเองยังไม่ทราบว่านานเพียงใด
แต่ที่แน่นอนคือ เวลาหนึ่งล้านปีภายในมหาพิภพถงเทียน กลับมิได้เรียกว่านานเลย
เย่หยวนไม่ต้องการกลับมาและพบว่าพ่อแม่ของตนเองได้ล่วงลับกลายเป็นเถ้าอัฐิไปแล้ว
ดังนั้นเย่หยวนจึงหลอมกลั่นโอสถเตรียมไว้มากมาย เพื่อทำให้พวกเขาทุกคนขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรราชันย์เทวะ และผนวกกับโอสถยืดอายุขัยของเย่หยวน มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขามีอายุยืนยาวนับหลายหมื่นปี
ในขณะที่พวกเขากำลังสนทนาพูดคุยกันอยู่นั้นเอง จู่ๆเย่หยวนพลันขมวดคิ้วขึ้นโดยพลันคล้ายตรวจจับถึงบางสิ่งอย่างได้
เย่หยวนพบว่า มีที่ไหนสักแห่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฏศาสตร์แห่งสวรรค์จำนวนมหาศาลที่กำลังระดมตัวขึ้นอยู่จนมีขนาดมหึมาเทียมฟ้า
“มีอะไรหรือเปล่าเย่หยวน?”
ทันทีที่เห็นสีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนเปลี่ยนไป ฟางเทียนก็เอ่ยถามทันทีด้วยความแปลกใจ