ห้วงอวกาศสุดโกลาหล!
“ท่านอาวุโสกวนควานเทียน ท่านอาวุโสฟางเทียน หลังจากนี้ที่เย่หยวนไม่อยู่ ต้องรบกวนฝากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไว้กับพวกท่านแล้ว!”
เย่หยวนผสานมือคาราวะทั้งสอง
ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง เย่หยวนจำต้องจากลาบ้านเกิดพร้อมกับความรู้สึกมากมายที่ทิ้งทวนอยู่ภายในใจ
สถานที่แห่งนี้เป็นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบ ความอาลัยที่ก่อตัวขึ้นในใจนี้ช่างยากนักที่จะลบเลือน
สำหรับบ้านหลังนี้ของเขา เย่หยวนย่อมเป็นห่วงอย่างยิ่งถึงความปลอดภัยในอนาคต
ฟางเทียนกล่าวตอบว่า
“จงไปเถอะ ตราบใดที่ยังมีข้ากับกวนควานเทียนอยู่ จะมีใครหน้าไหนกล้าทำอันตรายต่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้? นอกจากนี้ก็ยังมีหลู่หลินเฟยอยู่อีกคน เมื่อไม่กี่วันก่อน มิทราบเช่นกันว่า หลู่หลินเฟยไปกินยาผิดขวดหรือไม่ จู่ๆเขาก็เดินทางมาหาเฉาหยุนจือ พร้อมขอดำรงตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสแห่งหออาญาสิทธิ์”
เย่หยวนประหลาดใจอย่างมากเมื่อได้ฟังเช่นนั้นและกล่าวว่า
“ข้าคิดไม่ถึงเลยว่า ตาแก่นั้นจะตัดสินใจเช่นนี้จริงๆ”
จอมราชันย์ต้าเยียนล้วนเคลื่อนไหวเป็นอิสระจากทุกฝักฝ่าย เขาไม่เคยเข้าร่วมหรือช่วยเหลือกลุ่มอำนาจใดมาก่อนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และแน่นอน เขาเป็นคนที่ไม่เคยสนใจสถานการณ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แม้สักนิดว่าจะดีหรือร้าย
เย่หยวนคาดไม่ถึงจริงๆว่า จู่ๆหลู่หลินเฟยจะเดินทางเข้ามาหาและขอเข้าร่วมหออาญาสิทธิ์ของเขาเองเช่นนี้
กวนควานเทียนยิ้มและกล่าวเสริมขึ้นว่า
“นี่ก็มิใช่เพราะเจ้าหรอกรึ? คุณบุญย่อมต้องทดแทน นี่คือความกตัญญูที่เจ้าช่วยชีวิตเขา!”
เย่หยวนรวนหัวเราะเล็กน้อยและมิกล่าวอันใดตอบ
มีเหล่าเซียนจำนวนมากขนาดนี้อยู่ประจำการ คาดการณ์ได้ว่าคงไม่มีมรสุมใดเกิดขึ้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกสักพักใหญ่ๆ เมื่อทราบเช่นนี้ เย่หยวนก็สามารถจากไปได้อย่างสบายใจ
“ท่านอาวุโสหลงเถิง ขอบพระคุณยิ่งสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา!”
เย่หยวนคุกเข่าและก้มกราบต่อแทบเท้าหลงเถิง
หลงเถิงผู้นี้เปรียบเสมือนอาจารย์ของเย่หยวน เขาจะค่อยอยู่เบื้องหลังและสนับสนุนเย่หยวนอยู่เสมอมา
ก่อนหน้านี้ เพื่อถ่วงเวลาให้เยวี่ยเมิ่งลี่พาเย่หยวนหนีตายออกไป หลงเถิงไม่ลังเลที่จะสละชีพหวังสู้ตายกับข่านนั่ว แล้วนี่จะมิให้เย่หยวนรู้สึกซาบซึ้งได้อย่างไร?
“ไปเถอะ เจ้าไปได้แล้ว! หลังจากนี้จงดูแลตัวเองให้ดี!”
หลงเถิงกล่าวทั้งน้ำตาที่ไหลริน
เย่หยวนลุกขึ้นพร้อมพยักหน้าตอบอย่างเคร่งขรึม และตรงมาหาอิ้งหมัวหู่เป็นลำดับถัดไป
ทั้งสองโผเข้ากอดกันแน่นไม่คลายออก
ระหว่างสายสัมพันธ์พี่น้อง พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้วาจาสื่อสารกันจนเกินไป
“พี่ใหญ่ โปรดก้าวเดินต่อไปข้างหน้าก้วยความภาคภูมิ หลังจากนี้ข้าจะหมั่นฝึกฝนอย่างหนัก ยามใดที่ท่านสามารถนำพาศาสตร์แห่งสวรรค์กลับคืนมาได้ ข้าจะเร่งเดินทางไปหาท่านที่มหาพิภพถงเทียนโดยทันที!”
อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
เย่หยวคลี่หัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า
“เจ้าน้องรัก! ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่มหาพิภพถงเทียน!”
ข้างๆอิ้งหมัวหู่ ลู่เอ๋อยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นจนน้ำตาแอบชโลมทั่วทั้งใบหน้า
“นายน้อย ลู่เอ๋อ…ลู่เอ๋อไม่อยากให้ท่านไปเลย! ฮึก.. ฮึก…”
เย่หยวนดึงลู่เอ่อเข้ามาในอ้อมกอด พลางลูบไรผมอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า
“ลู่เอ๋อ เจ้าจะต้องตั้งใจฝึกฝนให้ดีเช่นกัน เมื่อเจ้าสามารถก้าวขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ นายน้อยคนนี้จะพาเจ้าขึ้นสู่มหาพิภพถงเทียนด้วยกัน เจ้าว่าดีหรือไม่?”
ลู่เอ๋อผลักเย่หยวนจากอ้อมกอดเบาๆและกล่าวทั้งน้ำตาว่า
“นายน้อยต้องรักษาคำพูด!”
เย่หยวนคลี่ยิ้มและกล่าวขึ้นว่า
“แล้วนายน้อยคนนี้เคยโกหกเจ้าหรืออย่างไร?”
ลู่เอ๋อปาดน้ำตาเล็กน้อย นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า
“ลู่เอ๋อทราบดี นายน้อยเก่งที่สุด! โปรดมั่นใจได้เลย ลู่เอ๋อจะตั้งใจบ่มเพาะฝึกฝนเพื่อสักวันจะได้ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าไปหานายน้อย!”
ในส่วนของเยวี่ยเมิ่งลี่ สีหน้าของนางยังคงนิ่งสงบคล้ายกับไม่แยแสใดๆ
เย่หยวนที่เห็นแบบนั้นพลันถอนหายใจเล็กน้อย พร้อมกล่าวขึ้นว่า
“ลี่เอ๋อ เจ้าเองก็เหมือนกัน”
พอได้ยินดังนั้น สีหน้าการแสดงออกของเยวี่ยเมิ่งลี่ตกลงทันที แต่นางเพียงแค่พยักหน้าตอบและเบี่ยงสายตาไปทางอื่น
เย่หยวนตระหนักทราบดี ภายในใจของนางเต็มไปด้วยพูดหลากอารมณ์มากมาย ทว่าทั้งหมดล้วนถูกกักเก็บอยู่ภายในใจ
หากกล่าวตามสัตย์จริง ในบรรดาคนรอบข้างของเย่หยวนทั้งหมด คนที่ทนไม่ได้กับการจากไปของเย่หยวนที่สุดก็คือ เยวี่ยเมิ่งลี่
ซึ่งเยวี่ยเมิ่งลี่ก็ทราบดี หากนางแสดงอาการออกไป เย่หยวนคงลำบากใจที่จะจากไปไม่น้อย
ดังนั้นนางจึงพยายามข่มกลั้นความรู้สึกเอาไว้
เย่หยวนอ้าปากขึ้นคล้ายต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็มิได้กล่าวอะไรออกมา
ในเวลานี้ ทุกคำพูดกลับดูอ่อนแอไปหมด
หลังจากนี้ต่อไป เขาจะอยู่หรือตายกลับยากที่จะคาดเดา
นั้นคือมหาพิภพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเขาทุกคนเองก็มิอาจคลายใจลงได้เช่นกัน
นี่คล้ายกับตอนที่เย่หยวนกำลังจะเดินทางเข้าสู่หุบเขาเหวพระเจ้าในตอนนั้น เขาไม่สามารถเอ่ยปากรับประกันอันใดได้เลย
“ข้าขอลา!”
เย่หยวนข่มใจแข็ง หมุนตัวกลับไปทันทีพร้อมทะยานขึ้นไปยังประตูผนึกดินแดนโดยตรง
ลี่เอ๋อในยามนี้มิอาจข่มกลั้นน้ำตาได้ไหวอีกต่อไป นางแหงนศีรษะขึ้นมองแผ่นหลังของเย่หยวนและตะโกนลั่นสุดเสียงไปว่า
“พี่ใหญ่หยวน! สักวันลี่เอ๋อจะไปหาท่านให้ได้! ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟเพียงใด ข้าจะต้องได้พบหน้าท่านอีก! โปรดดูแลตัวเองให้ดี!”
ร่างของเย่หยวนหยุดชะงักฉับพลัน แต่เขาไม่ยอมเหลียวหลังกลับมามองสักนิด ก่อนทะยานหายไปในประตูผนึกดินแดนในท้ายที่สุด
เขากลัวว่า หากเหลียวหลังกลับไปมอง เขาจะไม่สามารถตัดใจจากไปได้
ทันทีที่เงาร่างเย่หยวนอันตรธานหายไปจากสายตาของนาง ดั่งแขนขาเยวี่ยเมิ่งลี่ไร้สิ้นเรี่ยวแรง พร้อมทรุดฮวบลงกันพื้นในทันใดอย่างน่าใจหาย
ลู่เอ๋อตื่นตกใจยิ่งเมื่อเห็นแบบนั้น พร้อมรีบเข้าประคองร่างนางและกล่าวทั้งน้ำตาว่า
“พี่ลี่เอ๋อเป็นอะไรหรือไม่! นายน้อย…นายน้อยต้องปลอดภัยแน่นอน!”
ยามนี้เยวี่ยเมิ่งลี่ร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดเสมือนเขื่อนน้ำตาที่อดกลั่นเอาไว้แตกออก ใบหน้าอันแสนงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่เปียกชุ้มไปด้วยธารน้ำตา
“ข้ารู้…ข้ารู้! เขาจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน!”
เยวี่ยเมิ่งลี่สะลักน้ำตาเล็กน้อย
จากนั้นสองสาวก็กอดกันร้องไห้อย่างสุดแสนอาลัยอาวรณ์ เมื่อทุกคนที่อยู่โดยรอบเห็นภาพฉากนี้ แต่ละคนก็เริ่มกลั่นน้ำตากันไว้ไม่อยู่ หยาดน้ำตาค่อยๆไหลรินออกมาโดยมิตั้งใจ
สิ่งที่พวกเขาทำได้มีเพียงสวดภาวนาขอให้เย่หยวนปลอดภัยจากห้วงอวกาศอันโกลาหลนั้น
……………………..
เบื้องหน้าเย่หยวนปรากฏเป็นห้วงมิติสีเทาขุ่น ไร้เส้นทางการเดินใดๆ
มีเพียงมวลพลังงานไร้เสถียรที่พักผ่านระลอกแล้วระลอกเล่าจนเกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรง
ทั้งแรงเสียดทานและความผันผวนที่เกิดขึ้นได้ก่อให้เกิดแรงฉีกกระชากรุนแรงอย่างหาพรรณนาไม่ ประหนึ่งว่านี่คือคลื่นทะเลเดือดแห่งห้วงอวกาศ
แน่นอนว่าพลังงานเหล่านี้มีทั้งแกร่งกร้าวและอ่อนแอผสนเจือปนกันไป
พลังงานที่ไร้ความสมดุล ต่อให้เป็นเซียนอาณาจักรราชันย์พระเจ้า ก็ไม่สามารถรับประกันได้เช่นกันว่าจะรอดออกไป
ผู้อ่อนแอจากเก้าในสิบล้วนต้องพบจุดจบและตายลง มีเพียงผู้แข็งแกร่งแค่หนึ่งเดียวที่สามารถฝ่าฟันออกไปได้
ณ ตอนนี้เย่หยวนเพิ่งก้าวผ่านประตูผนึกดินแดนไป กระแสความปั่นป่วนในห้วงอวกาศจึงยังมิได้รุนแรงเท่าไหร่นัก
ยิ่งฝ่าเข้าไปลึกเพียงใด กระแสพายุไร้เสถียรเหล่านั้นจะยิ่งทวีความดีเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ!
และจะเป็นเช่นนี้ตลอดทาง หากฝ่าไม่ถึงทางออกเสียก่อน ก็ต้องตายลงอย่างน่าเวทนาภายในนี้
หากต้องการเดินทางผ่านห้วงอวกาศอย่างปลอดภัย อย่างน้อยที่สุดบุคคลนั้นจะต้องเป็นยอดเซียนอาณาจักรเทพถ่องแท้!
ดังนั้นจึงสาเหตุที่คุนหวูมักกล่าวย้ำกลับเย่หยวนอยู่เสมือนว่า การที่จะเดินทางเข้าไปในห้วงอวกาศนั้นเท่ากับรนหาที่ตาย!
ที่เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนกล้าเดินทางออกไป ก็เพราะพวกเขาอาศัยจำนวนเข้าสู้คล้ายเป็นหลักประกันชีวิต ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ แต่อย่างน้อยวิธีนี้ก็ช่วยเพิ่มแสงแห่งความหวังแก่พวกเขาได้บ้าง
ตามที่คุนหวูบอกไป ถึงแม้พวกเขาเหล่านั้นจะสามารถฝ่าออกไปได้ แต่ถ้าหากรอดเกินห้าคนนั้นนับว่าปาฏิหาริย์แล้ว
แน่นอนว่าเขามองในแง่ดีสุดๆแล้ว
ท้ายที่สุดนี้ ความเป็นไปได้สูงสุดที่เกิดขึ้นกับพวกเขาคือ…ไม่มีใครรอดออกมาได้แม้แต่คนเดียว!
ดังนั้น เย่หยวนที่เพิ่งขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าได้หมาดๆ แต่กลับหาญกล้ากล่าวว่า ตนต้องการจะฝ่าห้วงอวกาศออกไป นี่ทำให้เขาไม่ต่างอะไรจากคนโง่เลย!
กระแสพายุอันไร้เสถียรในห้วงอวกาศยังมิใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด แต่เป็นเศษซากดินแดนในอวกาศ!
เมื่อดินแดนหนึ่งเกิดการล้มสลายตามวัฎจักร มันจะเข้าชนกับดินแดนอื่นๆจนแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และด้วยแรงส่งจากกระแสพายุไร้เสถียรกลางห้วงอวกาศนี้ จะยิ่งทำให้เศษซากเหล่านี้อันตรายมากขึ้นยิ่ง แม้กระทั่งเซียนอาณาจักรนภาสวรรค์ ยังอาจถึงแก่ชีวิตทันทีหากพลาดท่าชนเข้ากับเศษซากดินแดนอวกาศ!
เย่หยวนสูดลมหายใจเข้าลึกๆและควบแน่นเขตแดนจักรพรรดิแห่งดาบให้แคบลงเหลือแค่รัศมีสิบฉื่อ ในขณะเดียวกัน เขาก็เร่งโคจรเคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำถึงขีดสุด เข้าปกคลุมร่างกายอีกชั้นหนึ่ง!
หลังจากทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า พลังการป้องกันของเย่หยวนก็ทรงพลังแกร่งกล้าจนเกินขอบเขตความเข้าใจไปโดยสิ้นแล้ว
เขตแดนจักรพรรดิแห่งดาบที่ผนวกรวมกับเคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำ ภายใต้ขุมพลังแห่งอาณาจักรพระเจ้า ความทรงพลังของมันไม่สามารถกล่าวบรรยายได้ในหนึ่งลมหายใจ
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบคือ แม้แต่เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า,จั่วซ่งก็ไม่สามารถทำอะไรกวนควานเทียนได้ และนี่เป็นแค่เคล็ดสมับิตศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำเท่านั้น เห็นได้ชัดว่า ปราการป้องกันเหล็กกล้าที่ห่อหุ้มเย่หยวนเอาไว้มันทรงประสิทธิภาพเหนือจินตนาการเพียงใด
ก้าวย่างเข้าสู่ห้วงอวกาศประดุจทะเลเดือดแสนโกลาหล กระแสพายุอันสุดแสนจะรุนแรงนับไม่ถ้วนเข้าโจมตีหวังฉีกกระชากร่างเย่หยวนจากทั่วสารทิศ
ร่างของเย่หยวนถูกจมลงในกระแสคลื่นพายุทันที
เฉพาะยามนี้เท่านั้น ในที่สุดเย่หยวนก็ตระหนักได้แล้วว่า เหตุใดคุนหวูถึงกล่าวย้ำแล้วย้ำอีก