ไฉนพวกท่านช้านัก
คมมีดสั้นบาดเข้าเนื้อโดยตรง หนึ่งคมเฉือน ได้ตัดเส้นเลือดสำคัญบริเวณต้นแขนของเหลียงหวานหรูจนเลือดสดพุ่งกระชูดออกมาทันที
แม้อสูรเถื่อนโดยส่วนใหญ่ในบริเวณนี้จะเป็นเพียงระดับเก้า แต่ความโหดเหี้ยมและพละกำลังกลับเหนือกว่าอสูรเถื่อนในดินแดนพฤกษานิรันดร์มาก
ทันทีที่ได้กลิ่นคาวเลือด คล้ายสัญชาตญาณถูกปลุกกระตุ้นหนัก พวกมันกระโจนเข้าใส่เหลียงหวางหรูทันทีอย่างบ้าคลั่ง
เสี้ยวอึดใจนั้นเอง เย่หยวนก็ถึงกับเบิกตาโตด้วยความไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน!
ใครจะไปคิดว่าเหลียงหวางหรงจะหยาบช้าได้ขนาดนี้จริงๆ นี่คืออสรพิษชั่วในดงอสรพิษโดยแท้
กระทั่งพี่สาวแท้ๆของนาง ก็ยังใจอำมหิตโยนนางเป็นอาหารเข้าปากเสือ หวังเพื่อให้ตัวเองรอดออกมา!
เหลียงหวางหรงเร่งวิ่งหนีสุดชีวิต ยามนี้นางหนีไปไกลกว่าหนึ่งพันฉื่อเห็นจะได้
“จางชุน ไปกันเถอะ!”
“คุณหนูรอง เอ่อ…”
“อะไร? หรือเจ้ามั่นใจว่าตนสามารถจัดการอสูรเถื่อนพวกนี้ได้?”
จางชุนส่ายหัวตอบ ภายใต้ปรากกฎการณ์ชุมนุมอสูร ลำพังเขาแค่คนเดียวกลับไม่มีอำนาจไปต่อกรได้เลย!
“เช่นนั้นเจ้ามัวยืนรออันใด? ยัยพี่โง่นั้นยังมีอะไรให้น่าห่วง? มีชะตากรรมตายไปพร้อมกับไอ้เนื้อคู่พิการนั้นไปก็ดีแค่ไหนแล้ว? กลับเป็นยัยพี่โง่มากกว่าที่ต้องขอบคุณข้า!”
เหลียงหวางหรงกล่าวเยาะเย้ยพร้อมเหลือบมองเย่หยวนและเหลียงหวางหรูด้วยความรังเกียจ
ส่วนจางชุนได้แต่ลอบมองทั้งสองด้วยความสงสาร เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และนำกลุ่มทหารยามตีฝ่าออกจากวงล้อมไป
ณ ใจกลางดงอสูรเถื่อน ร่างของเย่หยวนและเหลียงหวางหรูถูกเหล่าอสูรเถื่อนที่จ้องทำร้ายบดบังจนมิด
รอยยิ้มสุดท้ายที่แพร่งพรายออกจากมุมปากของเหลียงหวางหรง สื่อความหมายชัดเจนประจักษ์ ‘ในที่สุดหญิงใบ้น่ารำคาญนี่ก็ตายๆไปเสียที!’
อย่างไรก็ตามแต่ ถึงพวกเหลียงหวางหรงจะหลุดออกจากวงล้อมด้านในออกมาได้ แต่ก็ยังมีอสูรเถื่อนอีกจำนวนหนึ่งที่ห้อมล้อมอยู่กรอบนอกรอบหุบเขา ซึ่งนี่มิใช่เรื่องง่ายสำหรับจางชุนที่จะพาทุกคนหนีออกไป
กลุ่มทหารยามเหล่านี้เข้าสัประยุทธ์ต่อกรอย่างสุดแสนจะเหนื่อยยากตลอดทางยาว ในไม่ช้ากลุ่มของเหลียงหวางหรงก็หนีไปได้ไกลหลายลี้
“คุณหนูรอง นี่ไม่ถูกต้อง! ไฉนข้าถึงรู้สึกว่า จำนวนอสูรเถื่อนถึงเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆแทนที่จะลดน้อยลง ด้วยอัตราขนาดนี้กลับไม่สามารถปราบปรามได้หมด!”
จางชุนกล่าวประเมินสถานการณ์สีหน้าเคร่งเครียด
เหลียงหวางหรงที่ได้ยินดังนั้น พลันตระหนักถึงปัญหาในคราวนี้ได้อย่างชัดเจน สีหน้าของนางบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่ง
“ไอ้พวกไร้ประโยชน์! ไร้ประโยชน์จริงๆ!! รีบๆหาทางหนีเดี๋ยวนี้! เร็วเข้า! มิฉะนั้นได้ตายกันหมดแน่นอน!”
เหลียงหวางหรงตะคอกใส่ทุกคนอย่างหงุดหงิด
ทุกคนต่างก้มหน้ารับคำไม่แสดงสีหน้าท่าทีอันใด ก่อนจะเข้าผนึกกำลังช่วยกันฝ่าฟันกันออกไป
สมควรยิ่งแล้วที่จางชุนเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้า ตลอดทางจวบจนตอนนี้ไม่มีอสูรเถื่อนระดับเก้าตัวใดสามารถเข้าใกล้เหลียงหวางหรงได้เลย
แต่กระนั้นเอง ด้วยจำนวนที่มากเกินไปของเหล่าอสูรเถื่อน กลับเป็นเรื่องยากที่จะฆ่าพวกมันให้หมด!
“โฮกกก!”
เสียงคำรามกึกก้องดังสะท้านเสียขวัญ จางชุนที่สัมผัสได้ถึงบางสิ่งถึงกับถอดสีหน้าซีดเซียวในทันใด
พินิจได้จากแรงกดดันอันน่าเกรงขามขนาดนี้ นี่ต้องเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่ผิดแน่!
บูมมมม!
ยังไม่ทันตั้งตัวดี ประกายแสงสายหนึ่งโฉบพุ่งผ่าน จางชุนถูกซัดกระเด็นออกไปโดยตรงพร้อมกระอักพ่นเลือดสีทองคำออกมาคำโต
นี่คือจุดเด่นพิเศษของเซียนอาณาจักรพระเจ้า!
“นั้นมัน…เสือดาวเมฆลมกรด!”
จางชุนรีบพยุงตัวขึ้นพร้อมโพล่งอุทานอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
เสือดาเมฆลมกรดถูกขนานนามว่าเป็น อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆในป่าอสูรลึกลับ รูปร่างสรีระของมันมิได้ใหญ่โตก็จริง แต่ความเร็วของมันกลับวิปลาสหาที่เปรียบไม่ ความแข็งแกร่งของมันเหนือชั้นกว่านักสู้ในระดับเดียวกันถึงสามเท่าทวี!
นั้นจึงเป็นเหตุว่าทำไม ชางจุนถึงตกใจขนาดนี้
หากจับพลัดจับผลูได้เผชิญหน้ากับมัน โอกาสรอดชีวิตแทบไม่เหลือ!
สีหน้าการแสดงออกของคนอื่นๆเองต่างเผยความสิ้นหวังจากก้นบึ้งของหัวใจ พวกเขาไม่มีทางหนีรอดไปจากการไล่ล่าของเสือดาวเมฆลมกรดได้เลยไม่มีวัน!
จางชุนสูดไอเย็นแช่มลึกสุดขั้วปอด คู่ดวงตาอันมุ่งมั่นพลันหรี่แคบ เขากล่าวขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยวว่า
“พวกเจ้าที่เหลือปกป้องคุณหนูรองให้ดี! ข้าจะคอยรับมือมันเอง!”
ความแกร่งกร้าวของเสือดาวเมฆลมกรดน่าครั่นคร้ามอย่างมาก ต่อให้เป็นจางชุนก็นับว่าสัประยุทธ์ดุเดือดสูสี ใครแพ้ใครชนะยากจะเอ่ยบอก
เหล่าทหารยอมที่เหลือเร่งพาเหลียงหวางหรงถอยหนีออกไป โดยมีจางชุนที่คอยรับมือเสือดาวเมฆลมกรดอยู่รั้งท้าย
ระหว่างตีฝ่าพาหนีออกไป เบื้องหน้ายังมีเหล่าอสูรเถื่อนมากมายเข้าสกัดซุ่มโจมตีเป็นระยะ เหล่าทหารยามที่เข้ากลัดกุมศึกเฝ้าป้องกันเป็นด่านหน้า มีทั้งตายทั้งบาดเจ็บสาหัสปะปนกันไป
หลังจากสัประยุทธ์กันยกใหญ่ ชางจุนก็เริ่มเสียเปรียบเสือดาวเมฆาลมกรดเข้าไปทุกที จนกระทั่งบัดนี้ เขาแทบหายใจไม่ไหวด้วยซ้ำ ทั่วทั้งร่างกายอาบชโลมเลือดสีทองพร้อมบาดแผลฉกรรจ์เหวอะเละชวนสยอง
เหล่าทหารยามที่ทำหน้าที่ปกป้องเหลียงหวางหรง ยามนี้ถูกพวกอสูรเถื่อนตีกรอบล้อมจับตายอีกครั้ง แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปจากทีแรกคือ จำนวนของพวกทหารยามที่ลดน้อยลงจนแทบไม่เหลือแล้ว
แต่เดิมพวกเขามีกันกว่าหนึ่งร้อยนาย ทว่าตอนนี้เหลือไม่ถึงยี่สิบ
ส่วนคนที่เหลือเองก็แทบไม่มีขวัญกำลังใจให้สู้ต่อ เห็นสหายร่วมเดินทางตายไปคนแล้วคนเล่า พวกเขาต่างสูญสิ้นความหวัง
ทว่าขณะที่ทุกคนเข้าตาจน พวกอสูรเถื่อนเหล่านั้นจู่ๆก็หยุดโจมตีไปซะดื้อๆ
แม้แต่เสือดาวเมฆลมกรดก็หยุดเผด็จศึกจางชุนแล้วเช่นกัน
เสื้อผ้าอาภรณ์ของจางชุนเปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีทองคล้ำ เฉพาะยามนี้ เขาเร่งกวาดอากาศหายใจหอบถี่ตระหนี่ดังอย่างเหนื่อยจัด
ภายใต้การคุมกันของทุกคน เหลียงหวางหรงยังมีสภาพดีกว่าคนอื่นๆเล็กน้อย ซึ่งนั้นก็เล็กน้อยจริงๆ
สภาพของเหลียงหวางหรงในปัจจุบัน เสื้อผ้าแพรพรรณขาดรุ่งริ่ง มีบาดแผลถลอกที่เกิดจากรอยกรงเล็บของพวกอสูรเถื่อยตามเนื้อตามตัว คล้ายคนขอทานอยู่หลายส่วน
แม้พวกอสูรเถื่อนเหล่านี้จะหยุดทุกการโจมตีไปแล้ว แต่พวกมันยังคงปิดล้อมไม่ไปไหนเสมือนว่ามิได้มีเจตนาให้ทุกคนหนีไป
“คุณหนูรอง ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
จางชุนเอ่ยถาม
“ข้ายังไม่เป็นไรนัก จางชุน นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เหลียงหวานหรงยกมือกุมกอดเนื้อตัวที่สั่นเทาด้วยความหวาดกลัว นางเอ่ยเสียงสั่นอย่างหดหู่สิ้นหวัง
จางชุนส่ายหัวและกล่าวว่า
“จางคนนี้เองก็ไม่ทราบ! ปรากฏการณ์ชุมนุมอสูรจะทำให้อสูรทุกตัวตกอยู่ในสภาวะบ้าคลั่ง หากกล่าวตามหลักเหตุและผล มันไม่ควรหยุดโจมตีไปดื้อๆแบบในตอนนี้! ความเป็นไปได้เดียวคือ…ราชาอสูรที่ปกครองป่าอสูรลึกลับแห่งนี้ได้ปรากฏตัวขึ้น!”
ด้วยประสบการณ์ผ่านศึกเป็นตายนับร้อยพัน เขาสามารถคาดเดาสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
แต่เพียงว่า คำสันนิฐานนี้ต่างทำให้ทุกคนสิ้นหวังเข้าไปใหญ่
แค่เสือดาวเมฆลมกรดตัวเดียวก็ปัญญาของพวกเขาแล้ว นี่ยังมีราชาอสูรเข้ามาสมทบร่วมศึกอีกงั้นรึ? เช่นนี้จะมีโอกาสรอดตายได้อย่างไร?
ในตอนนี้ สีหน้าของเหลียงหวางหรงซีดเผือกราวกับกระดาษแผ่นบาง นางไม่ต้องการมาตายอยู่ในที่แบบนี้อย่างชัดเจน ทว่าอย่าน้อยที่สุดก็ยังมีเรื่องดีๆเข้ามาประวิงความรู้สึกของนางได้บ้าง!
สภาพการตายของนางคงไม่น่าอนาจเท่ากับเย่หยวนและพี่สาวของนางแน่นอน!
ชายพิการนั้นคงได้แต่ดิ้นรนรอความตายอย่างเจ็บปวดเกินพรรณนา ในขณะที่พี่สาวใบ้ของนาง ก็ไม่สามารถระบายทรมานออกมาได้แม้แต่คำเดียว
แค่คิดถึงช่วงเวลาสุดแสนทรมานของทั้งคู่ เหลียวหวางหรงก็สะใจยิ่งกว่าอะไร!
ตึงง!
ตึงง!
ตึงง!
………
ป่าเขาลำเนาไพรทั่วทุกสารทิศสั่นสะเทือนคล้ายแผ่นดินไหว ทั้งหมดเกิดจากรอยเท้าที่ลงกระแทกอัดพื้นอันแสนหนักหน่วงชนิดก้าวต่อก้าว
ทั้งอสูรเถื่อนและอสูรศักดิ์สิทธิ์โดยรอบถึงกับเนื้อตัวสั่นเทา ก่อนที่จะลดศีรษะลงกึ่งหนึ่งตามสัญชาตญาณ
บริเวณใดที่ราชาอสูรเคลื่อนผ่าน สรรพสัตว์ทั้งหมดต่างก้มกราบนมัสการด้วยความเคารพ!
พญาช้างยักษ์ย่างสามขุมเข้ามาปราดราศีสง่าองอาจเกินต้านทาน มันค่อยๆตรงเข้ามาใกล้ทุกคน
แม้แต่เสือดาวเมฆลมกรดเองยังต้องหลีกทางให้แก่พญาช้างยักษ์เช่นกัน!
“นั้น…นั้นมัน…พญาช้างมารสวรรค์! พญาช้างมารสวรรค์ตนนี้เป็นถึงอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นปลาย!”
จางชุนกล่าวขึ้นพร้อมความยำเกรงสุดขีด
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบคือ เสือดาวเมฆาลดกรดยังเป็นแค่อสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นต้นเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ อสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นปลายก็มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นราชาปกครองสรรพสัตว์ในป่าแห่งนี้แล้ว!
จึงไม่แปลกใจอันใด ไฉนอสูรทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ถึงต้องก้มกราบนมัสการกันเลยทีเดียว!
“ท่านจางดูนั้นเร็ว! บนหลังพญาช้างมารสวรรค์ ดูเหมือนจะมีใครบางคนกำลังขี่อยู่!”
ทหารยามคนหนี่งโพล่งกล่าวรายงานให้กับจางชุนฟังทันที
จางชุนที่ได้ยินแบบนั้นพลันตื่นตะลึง ก่อนเร่งเหลียวมองไปบนหลังของพญาช้างอย่างอดมิได้ ในสายตาของเขาปรากฏเป็นเงาร่างอยู่สองคน
เพียงว่าระยะห่างระหว่างพวกเขากับพญาช้างมารสวรรค์อยู่ไกลเกินไป จึงไม่สามารถมองเห็นร่างทั้งสองอย่างชัดเจนนัก
แต่ไม่ต้องสงสัยเลย มีใครบางคนกำลังขี่พญาช้างมารสวรรค์อยู่จริงๆ!
ภาพฉากนี้สร้างความน่าทึ่งแก่ทุกคนที่พบเห็นยิ่ง!
พญาช้างมารสวรรค์เป็นถึงราชาอสูรแห่งป่าอสูรลึกลับแห่งนี้ ขุมพลังความแกร่งกล้าของมันคืออันดับหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร!
เฟ้นหาเหล่าเซียนผู้ไร้เทียมทานภายในเมืองกุยฉาง ก็ยังมีน้อยคนนักที่สามารถเป็นคู่มือของมันได้
ถึงแม้จะใครสักคนที่ทรงพลังกว่าจนสามารถปราบปรามมันลงได้ แต่การจะให้พญาช้างตนนี้ยอมลดศักดิ์ศรีพร้อมให้ขี่หลังแต่โดยดีเช่นนี้ เกรงว่าไม่มีใครสามารถทำได้!
เว้นเสียว่า บุคคลนั้นจะเป็นถึงยอดเซียนที่แกร่งกร้าวกว่าหลายสิบขุม จนถึงขั้นที่ว่าพญาช้างมารสวรรค์ตนนี้ยังไม่กล้าตอแย และยอมจำนนแต่โดยดี?
หรือเป็นไปได้ไหมว่า บุคคลทั้งสองที่กำลังขี่หลังมันอยู่จะเป็นการดำรงอยู่ในระดับชั้นนั้นจริงๆ?
ทันทีทันใดสีหน้าการแสดงออกของจางชุนดูดีขึ้นหลายส่วน เขากล่าวขึ้นด้วยความอิ่มเอมใจว่า
“คุณหนูรอง บางทีนี่อาจยังมิใช่คราวตายของเรา!”
เหลียงหวางหรงตื่นตกตื่นใจยิ่งกว่าใคร นางเข้าใจความหมายที่จางชุนต้องการจะสื่อดี พร้อมรีบตะโกนไปยังทิศทางที่พญาช้างมารสวรรค์ยืนอยู่ เจือแฝงน้ำเสียงสุภาพอยู่หลายส่วน
“ท่านอาวุโส ข้าผู้เยาว์เป็นบุตรสาวตระกูลเหลียงแห่งเมืองกุยฉาง แต่โชคร้ายชะตาไม่เกื้อกูล ระหว่างเดินทางผ่านป่าอสูรลึกลับ พานพบกับพวกอสูรมากมายแห่รุมโจมตี ผู้เยาว์หวังว่า ท่านอาวุโสจะให้การช่วยเหลือ เพื่อตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้ หลังจากกลับไป พวกเราตระกูลเหลียงขอตอบแทนท่านอาวุโสเป็นอย่างดี!”
อำนาจอิทธิพลของตระกูลเหลียงในเมืองกุยฉางยังคงเลื่องลือมากชื่อเสียง เหลียงหวางหรงมั่นใจอย่างยิ่งว่า ทันทีที่ผู้อาวุโสสองคนนั้นได้ยินชื่อตระกูลเหลียง พวกเขาจะต้องตรงปรี่เข้ามาช่วยแน่นอน
ในขณะเดียวกัน พญาช้างมารสวรรค์ก็ย่างก้าวตรงเข้ามาใกล้ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังสนั่นจากบนหลังพญาช้างอย่างสุดจะอดกลั้น หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นว่า
“ไฉนพวกท่านมาช้านัก? พวกเราขี่ช้างเที่ยวชมนกชมไม้อยู่ตั้งนาน!”