คมดาบของหลัวเจีย!
เมื่อก้าวย่างออกจากหอมหาสมบัติ เย่หยวนก็ถูกจางชุนและยอดฝีมืออีกคนเข้าขวางทางทันที
“น้องเย่ เจ้าปล่อยให้พวกเราเฝ้ารอแสนขื่นใจนัก หายตัวเข้ากลีบเมฆเป็นเดือน!”
จางชุนกล่าวขึ้นกล่าวขึ้นพร้อมแสยะยิ้มอย่างขมขื่นใจ
เย่หยวนตระหนักชัด สองคนนนี้เจตนาหาเรื่องชัดแจ้ง ยามนี้แสร้งทำเป็นมึนงงไร้เดียงสาและกล่าวถามพลางเติมแต่งสีหน้าใสซื่อว่า
“กำลังรอข้าอยู่งั้นรึ? พอดีข้าได้ยินมาว่าหอมหาสมบัติแห่งนี้เปิดให้เช่าห้องบ่มเพาะพลัง เนื่องจากไม่อยากรบกวนตระกูลเหลียงจนเกินไป จึงเปิดเช่าห้องของที่นี่เพื่อฝึกปรือ”
จางชุนมึนตึบกล่าวถามว่า
“ฝึกปรือ?”
ได้ข่าวว่าทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเสียหายขั้นรุนแรง แล้วจะเอาอะไรไปฝึกปรือ?
หาข้ออ้างพล่ามแบบนี้ ดูท่าจะเนียนตามากกระมัง?
เย่หยวนยิ้มแต่มิได้ตอบอันใดกลับไป ก็ถูกอย่างที่กล่าวไป ฝึกปรือหลอมกลั่นโอสถ หรือเขาใช้คำผิดกัน?
จางชุนหัวเราะแห้งตอบ ยามนี้เขาแสร้งทำเป็นนสวกับนึกเหตุหมายที่มาได้กระทันหัน เร่งโพล่งกล่าวเสียงสั่นสีหน้าซีดลงทันที
“โอ้ใช่แล้ว! คุณหนูใหญ่กำลังป่วยหนัก ไม่มีความอยากอาหารแม้แต่น้อยกระทั่งดื่มน้ำยังไม่ไหว คุณหนูรองบอกกว่านางสนิทกับเจ้าที่สุดแล้ว เช่นนั้นจึงเร่งปรี่มารอเจ้าถึงที่นี่ เร็วเข้า หากคุณหนูใหญ่พบหน้าเจ้า บางทีอาการอาจจะดีขึ้น!”
สองคู่หู่จางชุนเฝ้ารอเย่หยวนจนแทบรากงอกแล้ว แน่นอนว่าพวกเขารู้สึกได้ว่า เย่หยวนจะต้องรู้อะไรบางอย่างถึงได้ไหวตีออกห่างตระกูลเหลียงแบบนี้ จึงเป็นสาเหตุที่พวกเจ้าต้องโกหกเพื่อล่อเย่หยวนกลับไป
บนท้องถนนกลางเมืองแบบนี้ ฝูงชนชุกชุมสุดสายตา เป็นเรื่องยากที่จะลงมือจัดการเย่หยวนเด็ดขาด
ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว จางชุนก็มิได้ถือว่าโกหกเช่นกัน
เพราะ ณ ปัจจุบัน เหลียงหวางหรูใกล้ตายแล้วจริงๆ!
แน่นอน พอได้ยินแบบนั้นเย่หยวนเร่งตีบทแตก สีหน้าการแสดงออกของเขามืดลงฉับพลันกล่าวว่า
“เกิดอะไรขึ้น?!”
จางชุนผันแปรสีหน้าคล้ายไม่สบายใจเท่าไหร่นักพร้อมกล่าวตอบไป
“จางคนนี้มิทราบเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่! เพียงว่า ระยะนี้นางดูซึมเศร้าหม่นหมองใจยิ่ง นางเริ่มกินข้าวน้อยลงจนน่าเป็นห่วง กระทั่งตอนนี้ติดเตียงลุกไปไหนไม่ได้แล้ว!”
เย่หยวนขมวดคิ้วยับยู่และกล่าวว่า
“กลับตระกูลเหลียงกันเถอะ!”
จากนั้นเย่หยวนเร่งฝีเท้าวิ่งนำกลับตรพะกูลเหลียงทันที จางชุนและยอดฝีมืออีกคนต่างสบสายตากันด้วยความดีใจ
แต่จางชุนพลันสังเกตเห็นว่า ข้างกายเย่หยวนกลับมีบุรุษชุดซอมซ่อกอดดาบอยู่ตลอดเวลา แต่เนื่องจากพวกเขากำลังรีบจึงมิได้เอ่ยถามอะไรไป
แต่สัญชาตญาณจากเบื้องลึกในใจของจางชุนเอ่ยเตือนไม่หยุดหย่อน บุรุษคนนี้แม้แต่เขาไม่สามารถหยั่งถึงได้เลย
เนื่องจากระยะทางระหว่างหอมหาสมบัติกับตระกูลเหลียงหาได้ไกลกันนัก เพียงเย่หยวนเร่งฝีเท้าครู่เดียวก็มาถึงในไม่ช้า
มาถึงตรงนี้ จางชุนเห็นว่าบุรุษชุดซอมซ่อที่กอดดาบอยู่ตลอดเองก็ต้องการที่จะเข้าไปด้วย เห็นเช่นนี้เขาจึงเร่งปรี่ตัวเข้าขวางเพื่อหยุดอีกฝ่ายทันที
“พี่ชาย เนื่องจากที่นี่เป็นสถานที่ของตระกูลเหลียง โปรดรออยู่ตรงนี้!”
บุรุษที่กอดดาบทำราวกับมิได้ยินเสียงของจางชุน เขายังคงก้าวแช่มตรงเข้าสู่ตรพะกูลเหลียงอย่างสงบเยือกเย็น
สีหน้าของจางชุนและยอดฝีมืออีกคนมืดทมิฬฉับพลัน ทั้งคู่พยักหน้าให้กันอย่างรู้งาน พร้อมเตรียมเคลื่อนไหวลงมือฉับไว
ทว่าเพียงเสี้ยวความพินิจความคิด สายลมหอบหนึ่งกระโชกซัดใส่ทั้งคู่พร้อมเสียงลมหวนกึกก้องดังหอน
ทั้งคู่หน้าถอดสีในบัดดล ทั่วร่างสั่นเทาไม่หยุดพลางขนลุกซู่วยันหนังศีรษะชี้ตั้งตระหง่าน
ปลายผมสองเส้นบางร่วงลอยลงมา แผ่นหลังของทั้งคู่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
ช่างเป็นคมดาบที่ฉับไวยิ่ง!
พวกเขายังไม่ทันสังเกตเลยว่า บุรุษชุดซอมซ่อผู้นี้โจมตีตั้งแต่ตอนไหน!
สองคู่หูจางชุนไม่คิดสงสัยแม้แต่น้อย ตราบใดที่บุรุษชุมซอมซ่อผู้นี้มีจิตคิดประหาร ศีรษะของพวกเขาได้หลุดจากบ่าในพริบตาแน่!
ยามนี้สองคู่หู่จางชุนยืนแข็งค้างดั่งรูปปั่นหินประดับหน้าประตูตระกูลเหลียง ส่วนเย่หยวนหาได้แยแสสนใจพร้อมย่างสามขุมตรงเข้าสู่ภายใน ขณะที่บุรุษชุดซอมซ่อยับงคงกอดดาบก้าวแช่มติดตามไม่ห่างกาย
“ท่านอาวุโส หวางหรูอยู่ที่ใด?”
เย่หยวนสื่อจิตเอ่ยถามด้วยเสียงเคร่งขรึม
“อยู่ในคุกใต้ดินตำหนักหลังสวน ข้าพาเจ้าไปเอง”
หวูเฉินกล่าว
ภายใต้การนำทางของหวูเฉิน เย่หยวนก็พบทางเข้าคุกใต้ดินในไม่ช้า
ยามที่เฝ้าคุกใต้ดินล้วนเป็นมนุษย์ไร้วรยุทธ เย่หยวนซัดกระหน่ำพวกนั้นกระเด็นไร้ทิศทางด้วยกำปั้นหนัก
ภายในคุกใต้ดินแห่งนี้ เย่หยวนพบเหลียงหวางหรูที่นอนหมดสติ ร่างกายซูบผอมจนน่ากลัว
ดวงตาทั้งสองข้างของนางจมลึกเล็กน้อย ใต้ตาออกเป็นสีดำม่วงเหมือนกับริมฝีปากของนาง เห็นได้ชัดว่า นางถูกวางยาพิษขั้นร้ายแรง
คู่ดวงตาสีเทาหม่นไร้แวว ยามนี้ท่อประกายแผ่วบางเมื่อเห็นหน้าเย่หยวน
ในขณะที่เย่หยวนรู้สึกขื่นขมระทมใจยิ่ง ไฉนสาวน้อยผู้มีจิตใจงามเช่นนี้ถึงได้รับการปฏิบัติดูแลอย่างไม่เป็นธรรมขนาดนี้?
เขาก้มตัวนั่งยองข้างนางและกล่าวขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า
“ไม่เป็นไรแล้ว ออกไปพร้อมกันกับข้าเถอะ”
คู่สายตาหม่นไร้ประกายเผยแววสู้ชีวิต นางพยายามผงกหัวตอบ
เย่หยวนสูดหายใจลึกๆ พร้อมหลากหลายอารมณ์ที่พรั่งพรูเข้าสู่จิตใจ สำหรับสาวน้อยนางนี้ เขายังคงไว้ไมตรีผูกพันดั่งมิตรสหายคนหนึ่ง
เขาค่อยๆช้อนมือและอุ้มร่างของเหลียงหว่างหรูออกไปโดยตรง
บุรุษในชุดซอมซ่อผู้นี้มิใช่ใครอื่นนอกจากหลัวเจียที่ประมุขหอหยางรุ่ยส่งมา เขาผู้นี้ตามติดเย่หยวนดั่งเงา หาได้แสดงสีหน้าความรู้สึกใดๆออกมาให้เห็นเลย
“วันนี้ข้า,เย่หยวนนับเป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว!”
ตอนเดินผ่านหน้าหลัวเจีย เย่หยวนหยุดฝีเท้าเล็กน้อยและกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย
หลัวเจียพยักหน้าเล็กน้อย แต่หาได้แสดงสีหน้าหรือวาจาคำกล่าวอันใด และเขายังคงตามติดเย่หยวนไม่ห่างกายเช่นเดิม
แต่ทันทีที่พวกเขาขึ้นมาจากคุกใต้ดิน ก็มีกลุ่มยอดฝีมือมากมายตีกรอบรุมล้อมปิดกั้นทุกทางหนี
ทั้งสองคนเบื้องหน้าที่ยืนรออยู่หาใช่ใครอื่นนอกจาก คู่สามีภรรยา เหลียงหมิงอี้และหลัวเพียนหลานอย่างแม่นยำ
“เย่หยวน! ไอ้คนอกตัญญู เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ! บุตรสาวของข้าอุตส่าห์ช่วยชีวิตเจ้า แต่เจ้ากลับใช้ความกตัญญูตอบแทนบุณคุณโดยการทำร้ายคนของตระกูลเหลียงบาดเจ็บ!”
เหลียงหมิงอี้ตะโกนลั่น
เย่หยวนสาดสายตาเย็นเฉียบจับจ้องอีกฝ่าย แววประกายส่องสะท้อนจากนัยน์ตาเปี่ยมล้วนจิตอาฆาตเจืออำมหิตฟลายส่วน
ว่ากันว่า แม้แต่เสือยังไม่กินลูกของมันเอง ทว่าเดรัจฉานเหลียงหมิงอี้ตัวนี้กลับต่ำทรามเสียยิ่งกว่าสัตว์เหล่านั้น
“หึ แค้นนักรึไง? ชุมนุมอสูรในครั้งนั้นก็เป็นแกจงใจจัดฉากขึ้นมาเอง! หลงเสน่ห์โสเภณีนางนี้ จึงวางมาดเป็นวีรบุรุษ! แท้ที่จริงกลับแค่เศษสวะชิ้นหนึ่ง!”
หวังเพียนหลานกล่าวเย้ยหยันด้วยความรังเกียจ
เหลียงหวางอี้ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน เขาค่อนข้างอ่อนไหวอย่างยิ่งกับคำว่า‘โสเภณี’
หากลูกสาวของตนเองเป็น‘โสเภณี’ แล้วตัวเขาเป็นอะไร?
แต่ในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่า มันมิใช่เวลามายืนทะเลาะแตกคอกันเอง
ในที่สุดเย่หยวนก็ตระหนักได้ว่า สันดานของตระกูลนี้กลับเดรัจฉานกันทั้งบ้าน
เหลียงหวางหรูที่เกิดท่ามกลางผู้คนภายในตระกูลบัดซบนี้ แต่ก็ยังสามารถรักษาธาตุแท้เดิมเอาไว้ได้ มิใช่สันดานเสียแบบคนอื่นๆ ซึ่งนี่มิใช่เรื่องง่าย เย่หยวนรู้สึกนับถือจากใจจริง
“อตัญญู? คนเป็นพ่อยังกล้าวางยาพิษใส่ลูกตัวเองจนนอนทรมานรอความตาย ยังกล้าพูดเรื่องจริยธรรมกับคนอื่นอีกรึ? คุณหนูหวางหรูช่วยชีวิตข้า นายน้อยผู้นี้ย่อมต้องตอบแทนเป็นธรรมดา แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับพวกท่าน?”
เย่หยวนกล่าวขึ้นเสียงเย็นสะท้าน
“ช่างน่าขันสิ้นดี! นางเป็นบุตรสาวของข้า นั้นเท่ากับว่าตระกูลเหลียงช่วยชีวิตเจ้า! เจ้าไม่คิดแม้แต่จะตอบแทน แถมยังกล้าลักพาตัวบุตรสาวข้าไปอีก! ในวันนี้ เจ้าอย่าหวังเดินออกจากตระกูลเหลียงได้!”
เหลียงหมิงอี้คำรามด่า
เย่หยวนเพียงครี่ยิ้มบางพลางกล่าวตอบว่า
“ตอบแทน? จะเอาอะไรล่ะ? วิชาควบคุมอสูรของข้า?”
ทันทีที่เหลียงหมิงอี้และหวังเพียนหลานได้ยินคำว่า‘วิชาควบคุมอสูร’ แววตาพวกเขาพลันเปล่งประกายขึ้นทันทีด้วยความโลภ
แต่เหลัยงหมิงอี้ค่อนข้างหัวไว เขาจะแสดงความโลภออกมาจนเด่นชัดขนาดนั้นได้อย่างไร?
“หึ! อย่าให้ข้าต้องเสียแรงลงมือ! ลักพาตัวเหลียงหวางหรูนับเป็นโทษร้ายแรงมิอาจให้อภัย! วางหวางหรูลงเดี๋ยวนี้และจงยอมจำนนเสีย! หากให้ความร่วมมือ บางทีท่านประมุขผู้นี้ยังพอไว้ชีวิตเจ้าได้!”
เหลียงหวางอี้กล่าวขึ้นและเดินตามแผนชั่วที่วางไว้อย่างแนบเนียน
เย่หยวนจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา พลางกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า
“ท่านประมุขเหลียง พ่ออย่างท่านกระทั่งชีวิตลูกตัวเองยังยอมขาย ตั้งแต่นายน้อยผู้นี้ลืมตาดูโลกยังไม่เคยพบเจอผู้ใดบัดซบเท่าท่านมาก่อน! อย่างงี้เสีย หากท่านมีปัญญาหยุดข้าได้จริงๆ ก็รีบๆเข้ามาเถอะ”
เมื่อกล่าวจบเย่หยวนก็อุ้มเหลียงหวางหรูออกไปโดยไม่แยแสสนใจใดๆอีก
“หึ! ไอ้เด้กพิการนี่ช่างหน้าด้านกล้าอวดดี! ลำพังคิดจะพึ่งพาแค่สหายซอมซ่อที่พกมาด้วย? เอาสวะเช่นนี้มาแค่ตัวเดียว คิดดูแคลนตระกูลเหลียงมากเกินไปแล้ว!”
เหลียงหมิงอี้เค้นหัวเราะเย็นหนึ่งคำ ทันใดนั้นยอดฝีมือนับหลายสิบปราดเข้าโจมตีเย่หยวนและหลัวเจียทันที
พินิจจากรัศมีกลิ่นอายของพวกเขาเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นทั้งสิ้น!
วูบ! วูบ! วูบ!
ร่างนับหลายสิบคนพุ่งเข้าจู่โจมเย่หยวนก่อน เพื่อปิดกั้นโอกาสหลัวเจียมิให้ยื่นมือมาช่วยทัน
แต่เสี้ยวอึดใจนั้นเอง ทัศนีภาพของทุกคนพลันพร่าวมัวหนัก สายลมซัดกระชากหอบใหญ่ เสียงกรีดร้องคร่ำครวญดังระงมลั่นในทันใด
ชวิ๊ง! ชวิ๊ง! ชวิ๊ง!
ประกายคมดาบสีโลหิตจรัสฉาย!
ยอดฝีมือขงอตระกูลเหลียงนับหลายสิบกระเด็นกระดอนออกไปเสียกระบวนไร้ทิศทาง
ม่านตาดำของเหลียงหมิงอี้พลันหดแคบฉับพลัน เขาเร่งขยับขยายสายตามองไปที่หลัวเจียด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ขณะอึดใจต่อมา เขาอุทานดังลั่นประหนึ่งเห็นผี
“จอมดาบคลั่ง! เจ้า…เจ้าคือจอมดาบคลั่งแห่งหอมหาสมบัติ,หลัวเจีย!!”
รูปลักษณ์หน้าตาของหลัวเจียกลับไม่คุ้นนักต่อสาธารณะชน แต่นามขาน จอมดาบคลั่ง กลับเป็นที่เลื่องลือกึกก้องทั่วสารทิศ
เพลงดาบของเขาเป็นเอกลักษณ์เด่นชัด ขณะที่เขาสำแดงใช้ต่อหน้า มีหรือที่เหลียงหมิงอี้จะจำไม่ได้เชียว?
เพลงดาบที่บิดพลิ้วแต่ดุดันป่าเถื่อนขนิดนี้ ยังเป็นใครได้อีกนอกจากจอมดาบคลั่ง,หลัวเจีย?
“เย่หยวนเป็นอาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติ ผู้ใดกล้าแตะต้องเขา มันผู้นั้นคือศัตรูของคมดาบในมือข้า!”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวเจจียเอ่ยปากกล่าวขึ้น