ความอัปยศของตระกูลหวัง
“เหอะ ไอ้เด็กเหลือขอ ท่านประมุขตระกูลไม่มีเวลาว่างมาพบคนอย่างแก จะไปไหนก็ไป!”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งดูคล้ายจะเป็นพ่อบ้านประจำตระกูล กำลังตะคอกใส่เย่หยวนด้วยท่าทีหยาบคายเจือรังเกียจ
เป็นเวลากว่าสามวันแล้ว หลังจากที่เย่หยวนบุกเข้าตระกูลเหลียงเพื่อช่วยเหลียงหวางหรูออกมา
ซึ่งสามวันที่ผ่านมานี้ เย่หยวนยังคงเดินทางไปเฝ้าอยู่หน้าประตูตระกูลหวังทุกวัน
ตลอดทั้งวันจนสุริยันตกดิน สิ่งที่เขาได้ยินยังคงเป็นประโยคซ้ำๆเดิมๆ
เย่หยวนทราบดี หวังหลินโปจงใจให้เขายืนรออยู่แบบนี้จนแห้งตายไปสักวัน
แต่เย่หยวนหาได้แสดงสีหน้าความรู้สึกใดๆออกมาสักนิด สีหน้าท่าทางดุจผิวน้ำนิ่งสงัดไร้ระลอก พร้อมผสานมือโค้งให้เล็กน้อยและกล่าวคำอำลาจากมา
เหม่อมองเย่หยวนจากด้านหลัง พ่อบ้านที่เฝ้าหน้าประตูพลันรู้สึกแปลกใจใช่ย่อยไม่ต่าง
“เจ้าเด็กนี่มันตามตื้อติดหนึบโดยแท้ หากกเป็นคนอื่นคงยอมแพ้ไปตั้งนานแล้ว”
พ่อบ่านคนนั้นพึมพำกับตัวเอง
สองสามวันนี้ พวกเขาได้เปลี่ยนวิธีรับมือไปเรื่อยๆเพื่อสร้างความลำบากใจให้แก่เย่หยวน อย่างเช่นขมขู่ถึงขั้นฆ่าแกง ตลอดจนสาดน้ำไล่ตะเพิดเย่หยวนกลับไป ทว่าเขายังคงนิ่งหาได้ตื่นตูมใดๆ ก่อนลาจากเขายังคงผสานมือโค้งคำนับเล็กน้อยอย่างใจเย็น
ในวันนี้ พวกเขาได้เกณฑ์เหล่าลูกหลานของตระกูลหวังมาดักรอหน้าประตู และเข้าทุบตีทำร้ายเย่หยวนยังไร้เหตุผล
ซึ่งเย่หยวนหาได้สู้กลับไม่ แต่ยังดีที่มีหลัวเจียคอยจัดการ
กล่าวกันตามสัตย์จริง ยามนี้แม้แต่พ่อบ้านคนนั้นก็ไม่อยากสู้หน้าเย่หยวนแล้วเช่นกัน
หากเป็นคนอื่นๆ คงตัดใจไปนานมากแล้ว
ทว่าเย่หยวนก็ยังอดทนอดกลั้นต่อไป
ระยะเวลาที่เย่หยวนกำหนดไว้คือห้าวัน หลังจากวันที่ห้าผ่านพ้นไปแล้ว แต่หวังหลินโปยังไม่คิดออกหน้ามาพบเขา ตอนนั้นคงเหลือเพียงหนทางเดียว นั้นคือหลอมกลั่นโอสถล้างพิษขั้นเทวะด้วยตัวเอง!
เย่หยวนได้ขอซื้อโอสถล้างพิษขั้นสวรรค์มาจากเฟิงปิง หลังจากที่เหลียหวางหรูกลืนมันลงไป ฤทธิ์โอสถก็เข้าระงับการแพร่กระจายของพิษขนวิหคพันราตรีได้ชั่วคราว
โชคนยังดีที่โอสถล้างพิษขั้นสวรรค์ยังทรงประสิทธิภาพอยู่บ้าง จึงสามารถชะลอพิษขนวิหคพันราตรีลามสู่หัวใจได้เป็นเวลาสี่สิบวัน
ด้วยเหตุนี้ เย่หยวนจึงมีเวลาเพิ่มขึ้นอีกสี่สิบวัน
ความยากในการหลอมกลั่นโอสถล้างพิษ ซับซ้อนยุ่งยากเสียยิ่งกว่าโอสถปราณเทวะ
แต่สำหรับเย่หยวน ไม่ว่าหนทางจะยากเข็ญเพียงใด เขาก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อไปโดยหาลังเลไม่
ตามคำกล่าวของหวูเฉิน ขั้นตอนต่อไปที่เย่หยวนต้องศึกษาคือ การหลอมกลั่นโอสถบ้างพิษ ทั้งนี้ก็เพื่อวางรากฐานไปสู่โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวต่อไป
อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนจำต้องฝึกฝนจนกว่าจะหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะให้ได้ขั้นเทวะเสียก่อน
งานนี้นับว่ายากมาก ขนาดเย่หยวนเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นักว่าตนจะทำได้สำเร็จหรือไม่ แต่ถึงอย่างไร เขาก็มิอาจทนดูเหลียงหวางหรูทนทุกข์ทรมานแบบนี้ได้เช่นกัน
ดังนั้น ถึงทราบว่าตระกูลหวังจงใจทำให้เขาขายหน้า แต่มันก็ต้องอดทนเช่นกัน
แต่…หากวันใดวันหนึ่งโชคชะตาเปลี่ยนผัน วันนั้นตระกูลหวังจำต้องชดใช้ต่อการกระทำของพวกมันเองเป็นเท่าทวี!
หลัวเจียที่เฝ้าติดตามเย่หยวนอยู่ตลอด ถึงสีหน้าท่าทางยังคงไม่แยแสอันใด แต่มีหลายครั้งที่เขาหันมองเย่หยวนพร้อมแววตานึกชื่นชม
คนประเภทนี้น้อยนักที่ได้พบเจอ
“ฮ่าฮ่า พี่ใหญ่ ข้ารู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก! ท่านไม่ทราบหรอกว่า ไอ้เด็กเหลือขอตัวนี้มันหยิ่งผยองเพียงใดในตอนนั้น! พอมาวันนี้ ข้าคาดไม่ถึงจริงๆว่า มันจะเจียมเนื้อเจียมตัวได้ขนาดนี้! ได้อีนางโสเภณีนั้นกลับไป แต่สุดท้ายก็ต้องคลานเข่ากลับมาหา! น่าสมเพช! ทำแบบนี้ต่อไป ให้มันได้ลิ้มรสความอัปยศจนจุกอกตายไปเลย!”
เมื่อได้รู้จักกับคำว่า‘เอาคืน’ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา หวังเพียนหลานรู้สึกมีความสุขยิ่ง นางเอาแต่ระเบิดเสียงหัวเราะไม่หยุดไม่หย่อน
หวังหลินโปคลี่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวตอบว่า
“เด็กคนนี้มีจิตใจที่หยิ่งทะนง แต่สามารถทนรับความอัปยศได้ขนาดนี้โดยไม่สะทกสะท้านใด ความมุ่งมั่นระดับนี้หาใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ! ยามใดที่เจอคนประเภทนี้ หากไม่สามารถผูกมิตรได้ ก็จำต้องฆ่าทิ้งเพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเท่านั้น!”
แต่หวังเพียนหลานกลับหาได้แยแสใดๆไม่ นางระเบิดเสียงหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคำกล่าวของเขา
“พี่ใหญ่ ท่านคิดมากเกินไป! ไอ้แค่เด็กพิการคนหนึ่งมันจะทำอะไรได้? มีดีแต่อาศัยหอมหาสมบัติเข้าข่มขู่ ข้าอยากจะหัวเราะจนตาย!”
หวังหลินโปเหลียวมองน้องสาวหน้าโง่ของตัวเองเล็กน้อย ก่อนส่ายหัวอย่างจนใจและมิได้กล่าวอะไรอีกเลย
จากนั้นครู่หนึ่ง เขาสั่งคนให้ไปเรียกพ่อบ้านเฝ้าประตูมา
“พรุ่งนี้เช้าเมื่อเด็กนั้นมาถึง พามันมาที่ห้องโถงใหญ่โดยทันที”
……………………
เช้าวันรุ่งขึ้น เย่หยวนปรากฏตัวขึ้นกลางห้องโถงใหญ่ ขณะที่เบื้องหน้ายืนประจักษ์พร้อมหน้า ทั้งหวังหลินโป, หวังเพียนหลานและเหลียงหวางหรงตามลำดับ บรรยากาศภายในห้องนี้ดูตคงเครียดไปเสียหมด คล้ายสามคนนี้กำลังจะพิพากษาเย่หยวนร่วมกัน
แต่เย่หยวนหาได้รู้สึกกดดันอันใดไม่ เขาเพียงผสานมือคำนับหวังหลินโปและกล่าวว่า
“เย่หยวนคาราวะท่านประมุขตระกูลหลินโป!”
ทว่าหวังหลินโปกลับไม่รับไหว้เมินเย่หยวน ท่าทางการแสดงออกของเขาแสนโอหังเป็นที่สุด
“เจ้าเป็นอาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติ?”
“ถูกต้องแล้ว!”
“ดูธรรมดา ไร้ฝีมือ! ที่เจ้าต้องการพบข้าก็เพราะต้องการโอสถถอนพิษขนวิหคพันราตรี?”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวตอบว่า
“แล้วนั้นไม่ถูกแล้วรึ? คุณหนูหวางหรูมีศักดิ์เป็นหลานสาวของท่านประมุขหลินโป หวังว่าท่านจะมีเมตตาช่วยเหลือชีวิตนาง!”
“หุหุ หลานสาว? เย่หยวน กระทั่งคนโง่ยังฉลาดกว่าเจ้า! ท่านพี่มีหลานสาวเพียงคนเดียวนั้นก็คือหรงเอ๋อ! หากนางจะตายก็ปล่อยให้มันตาย! นังโสภาณีนั้นพวกเราไม่นับญาติ!”
หวังเพียนหลานกล่าวขึ้นพลางหัวเราะคิกคักชอบใจ
ใบหน้าทรงอ้วนนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามอย่างหาที่เปรียบไม่
หวังหลินโปกล่าวตอบเสียงเย็นว่า
“เพียนหลานกล่าวถูกต้องแล้ว นางนั้นหาได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องกับข้าไม่ แล้วเรื่องอะไรข้าต้องเสียแรงไปช่วย? เว้นเสียแต่ว่า…เจ้าจะสามารถหาสิ่งของอื่นมาเสนอกับพวกเรา?”
พลางกล่าวขึ้นเช่นนี้ แววตาของหวังหลินโปสาดสะท้อนความโลภประกายยิบยับ
วิชาลับที่สามารถควบคุมได้แม้กระทั่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นปลาย ต่อให้เป็นหวังหลินโปก็ยังปรารถนาต้องการ
เย่หยวนหันเข้าจับจ้องหวังหลินโป พร้อมกล่าวเสียงเย็นตอกกลับไป
“ข้าทราบ สิ่งที่พวกท่านต้องการคือวิชาควบคุมอสูร แต่แท้ที่จริงแล้ว ข้าไม่มีวิชาควบคุมอสูรอะไรนั้นเลย!”
หวังเปียนหลานตะคอกด่าสวนทันที
“แกเห็นพวกเราเป็นเด็กอมมือหรืออย่างไร? แกมันก็แค่คนพอการ แต่สามารถควบคุมอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งขั้นปลายได้ หากมิใช่เพราะวิชาควบคุมอสูร แล้วเจ้าจะทำได้อย่างไร?”
เย่หยวนหาใช่กล่าวพล่ามไร้สาระ ทันทีทันใดแรงกดดันของเผ่ามังกรก็ถูกปลดปล่อยออกจากร่างเย่หยวนจางๆ
เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของเผ่ามังกรนี้ หวังหลินโปพลันโพล่งตาโต รูม่านตาดำพลันหดเล็กตีบตันในทันใด
ถึงแม้แรงกดดันนี้จะไม่รุนแรงนัก แต่เป็นที่ชัดเจนว่าเป็นแรงกดดันของเผ่ามังกรไม่ผิดแน่!
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเย่หยวนมิได้โกหก แววตาคู่นั้นเผยให้เห็นถึงความผิดหวังออกมาอย่างอดไม่อยู่
สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเลือดเย็นสุดขั้ว หวังหลินโปกล่าวขึ้นว่า
“เช่นนี้นี่เอง ในเมื่อเจ้าไม่มีวิชาควบคุมอสูร แล้วเจ้ายังมีคุณสมบัติอะไรมาต่อรองกับข้าผู้นี้อีก? ช่วยคนภายนอกหาใช่นิสัยของข้า แถมดีแล้วนี่นางนั้นจะได้ตายๆไปเสียที หากอยู่ต่อมีแต่จะทำให้หรงเอ๋อลำบากใจเปล่า!”
เย่หยวนกล่าวตอบว่า
“เย่หยวนคนนี้ไม่มีอะไรมาต่อรองก็จริง แต่ตราบใดที่ท่านประมุขหลินโปเต็มใจช่วยเหลือ เย่คนนี้ยินดีหลอมกลั่นโอสถให้ตระกูลหวังเป็นเวลาสิบปีเต็มโดยไม่ตั้งเสียเงินสักแดงเดียว!”
หวังหลินโปแสยะยิ้มเยาะ พลางกล่าวอย่างรังเกียจว่า
“เจ้าคิดว่า ข้าจะเชื่อจริงๆรึว่าเจ้าเป็นนักหลอมโอสถ? ที่ตบตาคนอื่นได้คงเพราะขอความช่วยเหลือจากเฟิงปิงกระมัง? เด็กพิการอย่างเจ้าจะสามารถหลอมกลั่นโอสถได้อย่างไร? แต่อย่างไรก็ตาม…ใช่ว่าข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้าสักทีเดียว ยังต้องการช่วยนางอยู่หรือไม่?”
เย่หยวนขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกล่าวตอบว่า
“ท่านประมุขหลินโปโปรดชี้แนะ”
หวังหลินโปยิ้มและกล่าวว่า
“สิ่งที่เจ้าเคยทำลงไปทำให้หรงเอ๋อเสียใจเป็นที่สุด ถึงขั้นร้องห่มร้องไห้กับข้าหลายต่อหลายครั้ง! ตราบใดที่เจ้าสามารถทำให้นางพอใจได้ เราประมุขตระกูลยินดีช่วยเหลือ!”
เวลานั้นเอง เหลียงหวางหรงพลันเดินตรงเข้ามาหาเย่หยวน ก่อนเดินวนรอบเย่หยวนพลางพินิจครุ่นคิด หัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน
“ไอ้สวะ คงคาดไม่ถึงใช่หรือไม่…ว่าวันหนึ่งเจ้าจะต้องคลานเข่ากลับมาอ้อนวอนคุณหนูผู้นี้? ไหนล่ะ? ไอ้คนอวดดีก่อนหน้า? หากเก่งจริงก็อวดดีต่อหน้าคุณหนูผู้นี้อีกสิ!”
เย่หยวนสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนโค้งคำนับทรงสวยและกล่าวขึ้นอย่างสุภาพว่า
“เย่คนนี้มีตาหามีแววไม่ หวังว่าคุณหนูหวางหรงจะไม่เอาความ!”
เหลียงหวางหนงกล่าวขึ้นอย่างสาแก่ใจว่า
“อยากให้ข้าไม่เอาความ? ยอมได้! ข้าขอแค่อย่างเดียว ไอ้สวะ,คลานเข่าเข้ามาหาคุณหนูผู้นี้และเรียกข้าว่ามารดาสามครั้ง! บางทีสิ่งนี้อาจจะช่วยทำให้ข้าพอใจได้บ้าง!”
ด้านหลังเย่หยวน หลัวเจียที่กำลังกอดดาบดั่งทองไม่รู้ร้อนอยู่ตลอด เมื่อได้ยินแบบนี้ แม้แต่เขาเองยังอดเบี่ยงหน้าหนีโดยมิตั้งใจ ความอัปยศอดสูขนาดนี้เขาทนมองต่อไปไม่ได้จริงๆ
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆท่าทีของเหลียงหวางหรงพลันเปลี่ยนไปฉับพลัน พวงแก้มนวลขาวของนางกลายเป็นสีแดงกล่ำ ประดุจเรือนร่างรู้สึกเร้าร้อนถึงขีดสุดเกินต้านทาน นางพุ่งเข้าใส่หวังหลินโปอย่างบ้าคลั่ง!