ตอนที่1324 แผนยั่วยุของเย่หยวน
“นี่…นี่เกิดบ้าอันใดขึ้น?”
หวังอวีกั่นตกใจอย่างยิ่งยามเห็นเช่นนั้น พลางไม่แน่ใจว่าไฉนป้ายตราตรวจจับถึงเป็นแบบนี้
แต่สีหน้าการแสดงออกของหวังอวีเต๋าเปลี่ยนไปในบัดดล เร่งหันควับไปทางสุสานสายลมหยินและโพล่งกล่าวว่า
“บัดซบ! ไอ้คนตะกี้ต้องเป็นไอ้เด็กเหลือขอนั้นแน่! พวกเราโดนมันหลอก!”
หวังอวีเต๋ารู้สึกตัวได้โดยไว ในตอนนี้โกรธเกรี้ยวเป็นฝืนเป็นไฟ ทั้งทุบอกทั้งกระทืบเท้าอย่างแรง
ทว่ามันกลับสายไปแล้ว!
ณ ปัจจุบัน เย่หยวนไปไหนถึงไหนก็มิทราบ
ภายในสุสานสายลมหยินกว้างขวางขยับขยายทั่วทิศทาง หากต้องการไล่จับเย่หยวนภายในนั้นค่อนข้างทำได้ยาก
“พี่สอง เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หวังอวีกั่นเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ
สีหน้าของหวังอวีเต๋ามืดดำสนิทพลางกล่าวว่า
“หากข้าเดาไม่ผิด ป้ายตราตรวจจับอันนี้คงถูกไอ้เด็กเหลือขอนั้นพังไปแน่นอน! ชายหนุ่มก่อนหน้าคือเย่หยวนที่แปลงโฉมเร้นแฝงเข้ามา!”
หวังอวีกั่นตกตะลึงเฮือกใหญ่ เขากล่าวว่า
“เป็นไปไม่ได้? ตอนนั้นป้ายตราตรวจจับก็ออกมาเป็นสีเขียวมิใช่รึ?”
หวังอวีเต๋าเหลียวมองต้นเสียงดั่งมองคนโง่ เขากล่าวตอบว่า
“ยังจะพึ่งป้ายตราตรวจจับ? สิ่งนี้กลับเป็นเรื่องตลกต่อหน้าไอ้เด็กเหลือขอนั้น! ถึงไม่รู้ว่ามันหยิบใช้วิธีการใดถึงทำให้พังได้ แต่มันก็ทำไปแล้ว!”
หวังอวีเต๋ายามนี้เปี่ยมไปด้วยโทสะเดือดปะทุ กล่าวได้ว่าแทบอยากกินเย่หยวนทั้งเป็น
ชายหนุ่มคนนี้ไม่เพียงหลุดรอดออกจากใต้ตาพวกเขาได้ ซ้ำยังทำลายเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำไปอีก
ถึงจะเป็นมหาพิภพถงเทียน แต่เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำก็ยังเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าอย่างมากเช่นกัน
บรรดาเหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าโดยเฉลี่ยไม่มีเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำอยู่ในครอบครอง
เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป อย่างน้อยที่สุดก็มีราคาไม่ต่ำกว่าหลักแสนผลึกปราณเทวะระดับต่ำแล้ว!
ยิ่งเป็นป้ายตราตรวจจับที่เป็นถึงเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำ ราคายิ่งสูงลิบลิ่วกว่าหนึ่งล้านผลึดปราณเทวะระดับต่ำ!
เมื่อได้ยินหวังอวีเต๋ากลับเช่นนั้น หวังอวีกั่นพลันรู้สึกได้ในที่สุด
ยิ่งครุ่นพินิจเท่าใด นี่กลับมีความเป็นไปได้มากที่สุดแล้ว!
“พี่สอง ท่านกำลังจะบอกว่า เด็กนั้นจงใจพังป้ายตราตรวจจับเพื่อปั่นพวกเรา?”
“ก็มิจริงรึ? มันสามารถลอบเร้นเข้าไปได้อย่างเงียบๆ แต่มันเลือกที่จะพังป้ายตราตรวจจับ! นี่มันพยายามสื่อว่า จับให้ได้ถ้าพวกเจ้าแน่จริง! หรือนี่ยังมิใช่การยั่วยุ?”
หวังอวีเต๋ากล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าสุดโกรธเกรี้ยว
โกรธก็ส่วนโกรธ แต่ลึกๆแล้วหวังอวีเต๋ายังคงประหลาดใจยิ่งเช่นกัน
ป้ายตราตรวจจับหาใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถพังได้!
ต่อให้เป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้ามา แต่ก็เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขาจะพังป้ายตราตรวจจับโดยไม่ส่งเสียงอะไรเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นแค่พังเฉยๆยังพอทำเนา แต่นี่สามารถควบคุมให้ป้ายตราตรวจจับแสดงสัญญาณไฟออกมาได้ทุกสี!
โชคยังดีสำหรับพวกเขา หากเจ็ดวีรบุรุษสายลมหยินไม่มาในวันนี้ พวกเขาอาจสร้างความผิดพลาดครั้งใหญ่!
“เอ่อ…พี่สอง พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี?”
หวังอวีกั่นกล่าวขึ้นแตกตื่นหนัก
ยามนี้ตัวเขาตระหนะกชัด เย่หยวนมีหลากหลายวิธีการเพื่อรับมือกับพวกเขาอย่างแท้จริง เสมือนเม่นที่มิอาจแตะต้องได้
ที่ตระกูลหวังประเมินไว้ในคราแรกคือ เย่หยวนเพียงมีพรสวรรค์ในศาสตร์แห่งโอสถที่สูงมาก แต่ไม่คิดเลยว่า กระทั่งศาสตร์แห่งการสู้เองยังทรงพลังน่าสะพรึงขวัญยิ่งแบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ก็ดูเหมือนว่าเย่หยวนคนนี้ยังมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเผ่าอสูรอีกด้วย
ศัตรูของตระกูลหวังในตอนนี้ทำเอาพวกเขาปวดเศียรสุดขีด
หวังอวีเต๋าสาดสายตาใส่เจ็ดวีรบุรุษสายลมหยินอย่างดุร้าย ก่อนคำรามอัดใส่หน้าว่า
“ยังจะมองอะไร? ข้าห้ามให้พวกเจ้าเข้ารึ?”
ฉางเหลียนและที่เหลือทราบทันที นี้ราวกับว่าอีกฝ่ายปล่อยตัวพวกเขาเป็นกลายๆ ยามได้ยินแบบนั้นเร่งโค้งตัวคาราวะหนึงทีและหนีบึ่งหนีควันโขมง
ฉางเหลียนคนนี้เป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นกลาง ความแกร่งกล้าของเขานับว่าหาใช่ชนชั้นกินเจไม่
ทว่าต่อหน้าเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดอย่างหวังอวีเต๋าและหวังอวีกั่น พวกเขาจะไปมีทุนรอยทัดเทียมได้อย่างไร?
“พี่ใหญ่ นี่เกิดบ้าอะไรขึ้น?”
ระหว่างทางมีน้องชายคนหนึ่งเอ่ยปากถามขึ้น
ฉางเหลียนเห็นว่าพวกตนเดินออกมาไกลระยหนึ่งแล้ว จึงส่งเสียงกล่าวตอบไปเบาๆ ว่า
“ตระกูลหวังกำลังจับใครข้าเองก็ไม่ทราบ แต่คนที่พวกเขากำลังไล่จับ ไม่เพียงผ่านไปได้อย่างฉลุย แต่ยังสามารถพังป้ายตราตรวจจับได้อีกด้วย! เจ้าก็เห็นว่าพวกเขาโมโหแค่ไหน?”
ทุกคนเดาะลิ้นดังเป๊าะเสียงดังเมื่อไขข้อสงสัยกระจ่าง
“พี่ใหญ่ ท่านทราบได้อย่างไรว่า นั้นคือคนของตระกูลหวัง”
ฉางเหลียนกล่าวตอบว่า
“เหอะ ข้าเคยเจอหวังอวีเต๋ามาก่อน แต่เนื่องจากเราหาใช่คนสำคัญอันใด เขาจึงจำข้าไม่ได้และนั้นคือทั้งหมด”
“ตระกูลใหญ่อันทรงอิทธิพลอย่างตระกูลหวังยังจะใช้ป้ายตราตรวจจับ? พวกเขากำลังตามจับใครกันแน่?”
แววประกายเฉียบเย็นสาดสะท้อนออกจากนัยน์ตาฉางเหลียน เขาแสยะยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“เหอะ ยังเป็นใครได้อีก? หากข้าเดาไม่ผิดๆ คนนั้นควรจะเป็นอาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติ! สามารถทำให้ตระกูลหวังเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ได้ คงมีแต่เขาแล้วจริงๆ ทว่าภูมิหลังของอาคันตุกะนักหลอมโอสถผู้นี้เปี่ยมไปด้วยความลึกลับโดยแท้ ถึงจะพิการไม่สามารถระดมพลังปราณเทวะได้ แต่ฝีมือในการหลอมกลั่นโอสถกลับท้าทายสวรรค์ยิ่ง! ไม่เพียงแค่นั้น ณ ปัจจุบันยังสามารถพังป้ายตราตรวจจับได้อีก น่าเหลือเชื่อ!”
ปรากฏว่าฉางเหลียนแสร้งทำเป็นไม่รู้โดยตลอด เขาทราบตั้งแต่แรกแล้วว่า อีกฝ่ายเป็นคนของตระกูลหวัง และมาคุมเข้มที่นี่เพื่อจับตัวเย่หยวน
นักสู้พเนจรอย่างเขาเจนจัดเปลี่ยนสีได้ตลอดเวลา ทั้งไหวพริบและการปรับตัวนับว่าเหนือชั้นไม่เป็นสองรองใคร
หากก่อนหน้านี้ ฉางเหลียนเผยว่าตนรู้จักอีกฝ่าย นั้นกลับไม่ต่างอะไรกับการทิ้งชีวิตเล่นเลย
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ฉางเหลียนเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมในตัวเย่หยวน ถึงจะไม่เคยพบหน้ากันก็ตาม
สามารถก่อปัญหาให้ตระกูลหวังหัวปั่นได้ขนาดนี้ อาจมีเพียงเขาคนเดียวภายในเมืองกุยฉางแล้ว?
หยางรุยกับตระกูลหวังไม่ค่อยกินเส้นกันมานานแล้ว และทั้งสองฝ่ายต่างไม่เคยมีใครยอมใคร
“แต่หากกล่าวตามสัตย์จริง โอสถปราณเทวะที่อาคันตุกะนักหลอมโอสถผู้นี้หลอมกลั่นกับมือ ช่างทรงประสิทธิภาพคุ้มราคายิ่งนัก! โอสถของเขาผู้นั้นดีกว่าโอสถของตระกูลหวังมาก!”
ฉางเหลียนพยักหน้าตอบ
“ครั้งที่แล้ว ข้าถึงขั้นยอมควักเนื้อไม่น้อยเพื่อซื้อโอสถของเขามาเก็บไว้ คุณภาพนับว่ายอดเยี่ยมไร้ที่ติ! มิเช่นนั้นตระกูลหวังคงไม่ประสบปัญหาใหญ่เช่นนี้แน่ หากข้าเป็นหวังหลินโป ข้าเองก็จำต้องกำจัดเขาผู้นั้นทิ้งเช่นกันเพื่อตัดปัญหาในนาคต!”
เมื่อเห็นว่าพวกฉางเหลียนและที่เหลือเดินเท้าออกกันไปไกลปแล้ว หวังอวีเต๋าก็กล่าวขึ้นว่า
“อวีกั่น เจ้ารีบไปแจ้งอวีมินโดยเร็ว เร่งตามสมทบมาที่สุสานสายลมหยิน! ให้เขาดักรออยู่ปากทางเข้า ส่วนพวกเรา…เข้าไปไล่ล่ามัน! มันหาญกล้ายั่วโมโหพวกเรา? เราชายชราผู้นี้จะมิยอมให้มันเหยียบย้ำตระกูลหวังไปมากกว่านี้แล้ว! หึ!”
…………………..
เมื่อตรงเข้าไปในสุสานสายลมหยิน เย่หยวนพลันรู้สึกได้ถึงสายลมเย็นสะท้านจากส่วนลึกภายในถ้ำ นี่ทำเอาเนื้อตัวเขาสั่นเทาโดยมิตั้งใจ
เขาเร่งโคจรพลังสายเลือดมังกรภายในกายทันที เพื่อสกัดกั้นสายลมเย็นยะเยือกเหล่านี้
เนื่องจากสายลมเย็นในสุสานแห่งนี้กอปกไปด้วยพลังธาตุหยินสุดขั้ว ดังนั้นเย่หยวนจึงต้องใช้สายเลือดมังกรมีพลังธาตุหยางเข้าพิฆาตปราบปราม
ในบริเวณนี้ยังพบเห็นเหล่านักสู้ที่ต่อแถวเข้าก่อนหน้าอยู่ปะปลาย
แต่ยิ่งเดินทางเข้าไปลึกเท่าไหร่ ผู้คนก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงมขึ้น วิญญาณชั่วขุมหนึ่งพุ่งปราดเข้ามาหวังกลืนกินเย่หยวนอย่างรวดเร็ว
วิญญาณชั่วตัวนี้มุ่งเป้าไปยังจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนที่ยากจะป้องกัน
ยามมือใหม่ใสซื่อหลงเข้ามาในสุสานสายลมหยิน หากพวกเขาเหล่านี้ไร้ซึ่งผู้เจนจัดมากประสบการณ์นำทาง ล้วนเสร็จสุดราย
ทว่ายามที่เย่หยวนเห็นวิญญาณชั่วตนนั้นพุ่งเข้าใส่ กลับเป็นเขาที่รู้สึกกระปรี้กระเปร่ายิ่ง คู่ดวงตาลุกวาวประหนึ่งราชาหมาป่าเจอเหยื่อ
“ฮ่าฮ่า มาได้ตรงเวลา! เช่นนั้นนายน้อยผู้นี้…ขอรับประทาน!”
เย่หยวนระเบิดเสียงหัวเราะลั่นด้วยความยินดีปรีใจ
ฟุบบบ!
กรบเล็บมังกรของเย่หยวนเข้าตะปบวิญญาณชั่วตนนั้นแน่น ราวกับจับผักจับปลามากิน
วิญญาณชั่วตนนั้นกรีดร้องระทมหนัก มันไม่คิดเลยว่ากลับเป็นฝ่ายตนเองที่เป็นเหยื่อเสียแทน
“ท่านอาวุโส ถึงตาท่านแล้ว!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“เหอะ ยังต้องให้เด็กอย่างเจ้ามาสอน?”
ภายในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวน ไข่มุกสยบวิญญาณตื่นขึ้นในทันใด ก่อเกิดกระแสน้ำวนสุดเชี่ยวกรากโดยมีเย่หยวนเป็นจุดศูนย์กลาง
วิญญาณชั่วตนนั้นถูกกระแสน้ำวนดูดกลืนเข้าไปโดยตรง