ตอนที่1325 เจ้าหนู,เด็กใหม่กระมัง?
“รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“อ่อนแอเกินไป! วิญญาณชั่วตนนี้เป็นแค่หนึ่งดาวชั้นต้น ไม่พออุดช่องฟันเลยด้วยซ้ำ!”
“เอ่อ…ท่านอาวุโส ท่านไม่ดูหิวกระหายเกินไปหน่อยรึ?”
“เจ้าบ้านี่! ไข่มุกสยบวิญญาณเป็นถึงสมบัติเวทย์สวรรค์! ต่อให้เจ้าประเคนวิญญาณชั่วสี่หรือห้าดาวมา มันก็ยังไม่พอยาไส้ข้าด้วยซ้ำ!”
“เช่นนั้น เราควรทำอย่างไรดี?”
“วิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายอย่างน้อยสามถึงห้าร้อยตน! มิฉะนั้นแย่แน่!”
“ท่านอาวุโส แล้วข้าจะไปหาวิญญาณชั่วสามถึงห้าร้อยตัวจากไหนในตอนกลางวันแสกๆ? แล้วจำนวนขนาดนี้พอประคองชีวิตท่านได้นานเพียงใด?”
“เกือบสิบปี! หากข้าได้กินวิญญาณชั่วสองดาวก็น่าจะได้ประมาณร้อยปี”
เย่หยวนกรอกตามองบนเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้นอย่างวิตกว่า
“ท่านคิดว่าตอนนี้ข้าจะสามารถจับวิญญาณชั่วสองดาวมาได้? หากบังเอิญเจอพวกมันจริงๆ เกรงว่ายังไม่ทันที่ท่านจะได้กินมัน แต่มันคงกินข้าไปก่อนแล้ว!”
“ฮ่าฮ่า! ข้าแค่กล่าวให้ฟัง! แต่ถ้าหากข้าสามารถกลืนกินวิญญาณชั่วสองดาวได้จริงๆ ข้าจะสามารถช่วยเจ้าบ่มเพาะจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ให้เลื่อนระดับชั้นไปได้เช่นกัน!”
หวูเฉินกล่าวขึ้นลอยๆ
ทันใดนั้นเอง คู่ดวงตาของเย่หยวนพลันสว่างไสวขึ้นทันใด ยามได้ยินหวูเฉินกล่าวไป
หลังจากทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ พัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนก็เกรงว่าถึงทางตันแล้วเช่นกัน
บัญญัติแห่งจอมโอสถกลับเป็นเพียงอักษรจารึกศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์ มันช่วยให้เย่หยวนบรรลุถึงระดับเก้าขั้นสมบูรณ์ก็จริง แต่หลังจากนั้นกลับไม่เป็นผลอันใดอีกต่อไป
หากต้องการเดินบนเส้นทางแห่งโอสถต่อไป จำต้องมีวรยุทธบ่มเพาะจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นระบบต่อไปเช่นกัน
ในแง่มุมนี้ ไข่มุกสยบวิญญาณนับเป็นยอดปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญที่สุดแล้ว!
นึกถึงจุดนี้ได้ เย่หยวนก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าตนกำลังขาดแคลนวรยุทธบ่มเพาะจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
และยิ่งไปกว่านั้นเอง วรยุทธบ่มเพาะพลังที่เขาใช้ตลอดมากลับเริ่มด้อยประสิทธิผลแล้วเช่นกัน
ตั้งแต่กลับชาติมาเกิดใหม่มาเป็นเย่หยวน วรยุทธบ่เพาะพลังที่เขาฝึกปรือตลอดมาก็คือ วรยุทธเก้าเซียนบูรพา
หากเป็นในอาณาเขตดินแดนพฤกษานิรันดร์ วรยุทธเก้าเซียนบูรพานับเป็นหนึ่งในวรยุทธบ่มเพาะพลังที่ทรงพลังที่สุด และยังสามารถรองรับผู้ฝึกปรือไปได้ถึงอาณาจักรบรรพกาลพระเจ้า
แต่สำหรับเย่หยวนในปัจจุบันที่อยู่บนมหาพิภพถงเทียน วรยุทธเก้าเซียนบูรพากลับไม่สามารถตอบสนองความทะเยอทะยานของเขาได้อย่างชัดเจน
“ดูเหมือนว่า ข้าต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมอารมณ์หลากหลายที่พรั่งพรู
หวูเฉินกล่าวว่า
“วรยุทธบ่มเพาะพลังของจอมเทพนิรันดร์ถูกบันทึกอยู่ในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพหมดแล้ว ซึ่งวรยุทธบ่มเพาะของเขานับว่าเป็นหนึ่งในวรยุทธบ่มเพาะพลังที่ดีที่สุดแล้วในมหาพิภพถงเทียน! หากเขาไม่ด่วนจากลาไปเสียก่อน ป่านนี้คงได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้า!”
“จักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้า? แล้วมันแตกต่างจากจักรพรรดิเทพสวรรค์หรือไม่?”
เย่หยวนเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
“อืม จักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้า คือจุดสูงสุดแห่งจักรพรรดิเทพสวรรค์ ผู้ใดสำเร็จถึงขั้นนี้ กล่าวว่าทรงพลังที่สุดแล้วภายใต้จอมเทพเต๋าบรรพกาล! วรยุทธบ่มเพาะพลังของจอมเทพนิรันดร์นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับเจ้าที่จะฝึกปรือกลายเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้า!”
หวูเฉินกล่าวอธิบาย
ตามที่หวูเฉินกล่าวไป เย่หยวนตระหนักชัดทันที วรยุทธบ่มเพาะพลังของจอมเทพนิรันดร์มาตรได้ว่าเป็นวรยุทธบ่มเพาะพลังชั้นสูงสุดแห่งมหาพิภพถงเทียนอย่างแท้จริง
ท้ายที่สุดนี้ บนมหาพิภพถงเทียน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบ่มเพาะพลังให้ได้ถึงอาณาจักรเต๋าบรรพกาล
การขึ้นกลายเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้านับเป็นจุดสูงสุดของปนิธานทั้งปวง
อย่างไรก็ตาม เย่หยวนกลับเงียบไม่ไหวติง
เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ท่านอาวุโสกล่าวว่า วรยุทธบ่มเพาะพลังของจอมเทพนิรันดร์ถูกบันทึกอยู่ในศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ? แล้วมีวรยุทธชนิดอื่นที่อยู่ในนี้ด้วยหรือไม่…?”
หวูเฉินกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มเย็นว่า
“เหอะ เจ้ามันใจใหญ่เกินไป เมื่อมาถึงมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้แล้ว เจ้าก็พึงทราบ ความยากลำบากในการฝึกปรือหลังจากนี้มันแสนเข็ญเพียงใด มีวรยุทธบ่มเพาะชั้นเลิศอยู่ตรงหน้ากลับไม่เอา เจ้ายังไม่เลิกล้มความคิดที่จะขึ้นเป็นจอมเทพเต๋าบรรพกาลอีกงั้นรึ?”
เมื่อได้ยินเย่หยวนกล่าวถามเช่นนี้ หวูเฉินก็ตระหนักทราบทันทีว่า เย่หยวนกำลังคิดอะไรอยู่ได้ทันที
ทว่าคำกล่าวเหล่านี้กลับไร้สาระเกินเป็นไปได้ เย่หยวนคนนี้ประเมินความสามารถตนเองสูงเกินไปจริงๆ
ทว่าเย่หยวนเพียงคลี่ยิ้มบางกล่าวตอบว่า
“ท่านอาวุโส ข้าทราบดีว่า การจะย่างก้าวไปถึงอาณาจักรเต๋าบรรพกาลมายากลำบากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ แต่สุดท้ายนี้ อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้ากลับไม่มีความหมายอันใดสำหรับข้าเลย!”
หวูเฉินกล่าวสวนทันทีด้วยเสียงอันเหยียบเย็นว่า
“หากบอกว่า ต้องการจะบรรลุสู่อาณาจักรเต๋าบรรพกาล เราชายชราคิดว่า การไปเชื้อเชิญให้จอมเทพเต๋านิรันดร์ลงมือช่วยเหลือกลับยังมีความเป็นไปได้เสียกว่า! เมื่อถึงตอนนั้นที่เจ้าขึ้นกลายเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้า นับว่าเจ้ามีคุณสมบัติขอความช่วยเหลือจากจอมเทพเต๋าบรรพกาลได้บ้างแล้ว”
แต่เย่หยวนกลับตอบเสียงแข็งขึ้นว่า
“แต่สุดท้ายข้าก็หาใช่จอมเทพเต๋าบรรพกาลอยู่ดี!”
หวูเฉินถึงกับสำลักจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปครู่ใหญ่
หลังจากนั้นไม่นาน หวูเฉินก็กล่าวขึ้นว่า
“เอาล่ะ แท้ที่จริงแล้วศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ เป็นจอมเทพนิรันดร์ที่ได้รับโดยบังเอิญในตอนที่ขึ้นสำรวจหุบเขาถงเทียน! บนหุบเขาถงเทียนเปรียบเสมือนขุมสมบัติอันไร้ขีดจำกัด! ในตอนแรกที่จอมเทพนิรันดร์เพิ่งได้มันมา มันยังเป็นแค่เศษหินบนหุบเขาถงเทียนเท่านั้น แต่ภายในเศษหินก้อนนี้กลับมีขุมพลังอันไร้ขีดจำกัดแฝงเร้นอยู่ หลังจากการขัดเกลาพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยจอมเทพนิรันดร์ ในที่สุดมันก็เลื่อนขั้นกลายมาเป็นสมบัติเวทย์สวรรค์อย่างที่เจ้าเห็นในปัจจุบัน”
เย่หยวนที่ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกตกใจอย่างมาก ใครจะไปคาดคิดว่าศิลาจารึกบัลลังก์พิภพจะมีภูมิหลังอันลึกล้ำขนาดนี้!
ความยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานของหุบเขาถงเทียน เย่หยวนพอจะทราบมาบ้างแล้วจากหวูเฉินกับคุนหวู
ปรากฏว่า ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพจะเป็นเพียงเศษหินก้อนหนึ่งบนหุบเขาถงเทียนเท่านั้น!
“เช่นนั้น ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพก็สามารถพัฒนาต่อยอดขึ้นไปได้อีก และอาจมีโอกาสเลื่อนขั้นกลายเป็นสมบัติจักรพรรดิเวทย์สวรรค์?”
เย่หยวนโพล่งกล่าวถามด้วยความประหลาดใจ
หวูเฉินกล่าวตอบ
“ในทางทฤษฏีมีความเป็นไปได้!”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวต่อว่า
“เช่นนั้น ยามที่ท่านอาวุโสกลืนกินวิญญาณชั่วจนอิ่มแล้ว ข้าจะดำดิ่งสู่ศิลาจารึกบัลลังก์พิภพเพื่อสร้างเต๋าของตัวเองขึ้นมา!”
หวูเฉินพูดไม่ออกเป็นคำรบสอง
เขาค้นพบแล้วว่า สหายน้อยเย่หยวนคนนี้เป็นเพียงลาหัวรั้นตัวหนึ่ง!
เมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจในเรื่องใดเด็ดขาดแล้ว จะไม่สามารถฉุดรั้งดึงสติกลับมาได้อีกต่อให้มีม้าเป็นพันหมื่นตัวมาช่วยดึง
ซึ่งเขายังคงเป็นเช่นนี้เสมอมา กระทั่งในช่วงเวลาเป็นตายอย่างตอนห้วงอวกาศ
…………………………….
“พี่ชาย ข้ามีข้อสงสัยเล็กน้อย มีสถานที่ใดในสุสานสายลมหยินบ้างที่มีวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายกระจุกรวมตัวกันเยอะๆ?”
เย่หยวนเดินสำรวจภายในสุสานสายลมหยินเป็นเวลานาน แต่กลับพบว่าวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายกลับหาได้ไม่ง่าย! น้อยครั้งนักถึงจะเจอวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นต้นสักตัว
ซึ่งวิญญาณชั่วระดับชั้นนี้นับว่าไร้ประโยชน์ต่อหวูเฉิน
เย่หยวนค้นพบได้ว่า สถานที่แห่งนี้ขยับขยายไกลโพ้นทั่วสารทิศ การจะตามหาวิญญาณชั่วชั้นปลายโดยไร้จุดหมายกลับเสียเวลาเปล่า ดังนั้นเขาจึงต้องเดินไปถามคนอื่นๆเพื่อขอความช่วยเหลือ
คนกลุ่มคนั้นเหลียวหลังกลับมา และเมื่อได้เห็นอาณาจักรพลังของเย่หยวน พวกเขาก็อดส่งสายตาดูถูกมิได้
“เจ้าหนู เด็กใหม่กระมัง? ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ควรเดินสำรวจแค่รอบนอกจะดีกว่า! ส่วนลึกหลังจากนี้ค่อนข้างอันตรายยิ่ง อย่างเจ้าหากเข้าสำรวจต่อไป เกรงว่าจะกลายเป็นอาหารว่างของพวกวิญญาณชั่วแทน!”
ฉางเหลียนกล่าว
ปรากฏว่า กลุ่มคนที่เย่หยวนเดินเข้าไปทักถามกลับเป็น เจ็ดวีรบุรุษสายลมหยิน ที่ถูกพวกตระกูลหวังไล่ไป!
หลังจากที่ทั้งเจ็ดคนเข้ามา พวกเขาก็มุ่งหน้าไปสู่ส่วนลึกที่เต็มไปด้วยภัยอันตราย
พวกเขาเจ็ดพี่น้องชอบมาลาดตะเวนและสำรวจที่แห่งนี้ตลอดปี จึงคุ้นเคยกับสุสานสายลมหยินดั่งส่วนหลังตำหนัก
ที่ใดมีวิญญาณชั่วปรากฏกายขึ้น ที่นั้นย่อมมีสมบัติธรรมชาติ นี่คือคติประจำใจของพวกเขา
สำหรับตระกูลหวัง ถึงแม้พวกเขาจะแกร่งกล้าไร้เทียมทาน แต่กลับหาได้มีความคุ้นเคยกับสถานที่แบบนี้ไม่
ฉางเหลียนไม่นึกไม่ฝัน พวกเขาบังเอิญวิ่งชนเข้ากับเย่หยวนพอดิบพอดีในที่แห่งนี้
เย่หยวนกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า
“พี่ชายทุกท่านคงคุ้นชินกับสถานที่นี้เป็นอย่างดี?”
เขาเองก็ค่อนข้างคัดคนถามเช่นกัน กลุ่มนักสู้บางกลุ่มวิ่งไปเวียนมาคล้ายแมลงวันไร้หัว เป็นที่ชัดเจนว่าไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่สักเท่าไหร่ แตกต่างจากพวกฉางเหลียน ทันทีที่เข้ามาพวกเขาก็เดินทางลัดเลาะอย่างรวดเร็วและกระฉับกระเฉงยิ่ง ดังนั้นเย่หยวนจึงสันนิฐานว่า กลุ่มคนพวกนี้น่าจะเป็นขาประจำของสุสานสายลมหลิน
ฉางเหลียนมุ่นคิ้วขมวดหนาและกล่าวว่า
“พวกเราทั้งเจ็ดรู้จักกันในนาม เจ็ดวีรบุรุษสายลมหยิน แล้วเจ้าคิดว่าพวกเราคุ้นเคยกับที่นี้หรือไม่? เจ้าหนู พวกเรามาที่นี่เพื่อเสาะหาสมบัติธรรมชาติ คงไม่มีเวลามาแนะแนวเด็กใหม่เท่าไหร่นัก ทางที่ดีสำรวจเพียงรอบนอก หวังว่าจะมีโชคดีกับเขาบ้าง”
ต่อหน้าความปรารถนาดีของฉางเหลียน เย่หยวนกลับหาได้สนใจไม่เลย
สิ่งที่เขาต้องการคือ นำความคุ้นเคยต่อสถานที่แห่งนี้ของพวกฉางเหลียนมาใช้ประโยชน์
เย่หยวนกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า
“พี่ชายและทุกท่าน เนื่องจากมีความคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี เช่นนั้นรบกวนช่วยข้าตามหาวิญญาณชั่วหนึ่งดาวชั้นปลายให้ได้หรือไม่ ตราบใดที่ข้าเสาะพบ ข้าจะให้ผลึกปราณเทวะระดับต่ำแก่พวกท่านทันทีห้าพันก้อนเป็นค่าเหนื่อย คิดเห็นอย่างไรบ้าง?”