ตอนที่1338 ตระกูลหวังสาขาหลัก มาแล้ว!
“ตระกูลหวังสาขาย่อย,หวังอวีเซียง ทำความเคารพคุณชายซูกับผู้อาวุโสซวน!”
ภายในห้องโถงตระกูลหวัง ปรากฏหนึ่งชายชราและอีกหนึ่งเยาวชนหนุ่มนั่งอยู่ใจกลาง
แม้แต่หวังอวีเซียงที่เป็นผู้นำสูงสุดของตระกูลหวังยังทำได้เพียงยืนทำความเคารพอยู่ข้างๆเท่านั้น
ส่วนหวังหลินโปยิ่งหนัก ทำได้แต่ยืนก้มศีรษะนิ่ง คุณสมบัติที่จะร่วมสนทนายังไม่มี
คุณชายซูที่ว่าผู้นี้เผยลักษณะท่าทางอันสุดแสนจะยองหองและหยิ่งยโส ดั่งตั้งตนเป็นยอดนภา เห็นได้ชัดว่า กระทั่งหวังอวีเซียงยังไม่อยู่ในสายตาของเขาผู้นี้เลยด้วยซ้ำ
“หวังอวีเซียง ผลงานในระยะนี้ของสาขาเมืองกุยฉางค่อนข้างทำให้ตระกูลหลักผิดหวังอย่างมาก! ตระกูลหวังของเรามีขนาดใหญ่ดุจรากไทรที่กระจายอยู่ทั่วผืนดิน ยามนี้มีข่าวไม่ดีกล่าวหากลับเน่าเสียกระทบสาขาอื่นหมดแล้ว!”
หวังซูกล่าวขึ้นเสียงเย็นสะท้านอย่างไม่แยแส
ข้างที่นั่งด้านขวา หวังอวีเซียงและหวังอวีโปยืนแขนขาสั่นเทาไม่หยุด พร้อมเหงื่อเย็นที่อาบชโลมทั่วทั้งหน้าผาก
ปรากฏว่าตระกูลหวังภายในเมืองกุยฉางกลับเป็นแค่สาขาย่อยสาขาหนึ่งจากทั้งหมดเท่านั้น
ตระกูลหวังสาขาหลักกลับอยู่ที่เมืองหมิงหยาง
บนมหาพิภพถงเทียน จะไม่ค่อยมีกลุ่มอิทธิพลมากมายนัก โดยส่วนใหญ่จะแยกย่อยออกจากตระกูลหรือนิกายสาขาหลัก แตกแขนงออกมาอีกทีหนึ่ง
ระดับชั้นของเมืองต่างๆภายในมหาพิภพถงเทียนจะถูกแบ่งออกได้ทั้งห้าระดับได้แก่ เขตเมือง, เมืองหลวง, เมืองราชวงศ์, เมืองหลวงราชวงศ์ และเมืองจักรพรรดิ
ซึ่งเขตเมืองเป็นเมืองระดับต่ำสุด ภายในเมืองระดับนี้โดยส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยเซียนอาณาจักรพระเจ้าระดับต่ำและมนุษย์ทั่วไป
การจะเข้าไปยังเมืองหลวงต่อไป กลับหาใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้
มนุษย์ทั่วไปไม่มีคุณสมบัติเข้าไปยังเมืองหลวงได้แน่นอน!
แม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้ายังต้องปฏิบัติตามกฎและเงื่อนไขบางประการเช่นกัน ถึงจะมีคุณสมบัติเข้าสู่ตัวเมืองหลวงต่อไป
และผู้ปกครองเมืองหลวง อย่างน้อยจะต้องเป็นเซียนอาณาจักรราชันย์พระเจ้าขึ้นไป
เมืองกุยฉางและเมืองหมิงหยาง ทั้งสองเป็นเพียงเขตเมืองที่ขึ้นตรงต่อเมืองหลวงหวูเมิ่ง
เมืองกุยฉางเป็นเขตเมืองที่อ่อนแอที่สุดแล้วในอาณาเขตของเมืองหลวงหวูเมิ่ง ในขณะที่เมืองหมิงหยางเป็นเขตเมืองที่แข็งแกร่งกว่ามาก
ในช่วงหลายปีมานี้ ตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางตกต่ำถึงขีดสุด ธุรกิจทั้งหมดกลับรอวันล้มละลาย
หวังอวีเซียงที่เดินทางไปยังสุสานสายลมหยินในตอนนั้น เขาถึงกับกระอัดเลือดสดออกจากทวารทั้งเจ็ด ด้วยความอาฆาตแค้นใจแสนปรี่ล้น
สุดท้ายนี้พวกตระกูลหวังก็ได้รู้คาวมจริง สามผู้อาวุโสใหญ่ล้วนตายสิ้นไปแล้วภายในนั้น
ข่าวที่เฟิงปิงนำมาให้กลับเป็นเพียงขยะเน่าเหม็นชิ้นนึงเท่านั้น
หวังอวีเซียงตระหนักได้ทันทีถึงความร้ายแรงของปัญหา สามารถบดขยี้สมาชิกระดับสูงของตระกูลหวังได้อย่างง่ายดาย ไพ่เด็ดที่เย่หยวนเร้นแฝงกลับน่ากลัวจนมิอาจประเมินได้
นอกจากนี้ตระกูลหวังยังสูญเสียกำลังหลักไปกว่าครึ่งแล้ว หากยังฝืนดื้อรั้นต่อไปกับเย่หยวน ในอนาคตหากถูกอื่นลอบโจมตีเข้า อาจส่งผลไม่คาดคิด
เมื่อคิดได้แบบนี้ หวังอวีเซียงจึงตัดสินใจแบกความอัปยศนี้ เข้ารายงานต่อตระกูลหวังสาขาหลักในเมืองหมิงหยาง เพื่อขอความช่วยเหลือ
ตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางจะต้องจ่ายผลประโยชน์มากมาย เพื่อเป็นค่าบรรณาการให้แก่ตระกูลสาขาหลัก สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือจุดนี้
หลังจากที่ได้รับความช่วยเหลือและกำจัดเย่หยวนได้สำเร็จ ค่าบรรณาการย่อมแพงขึ้นเป็นเท่าตัว
สามปีต่อมา ในที่สุดตระกูลหวังสาขาหลักก็ส่งหวังซูและหวังซวนเฟยมา!
หวังซูผู้นี้เป็นเยาวชนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดของตระกูลหวัง เขาอายุน้อยกว่าห้าร้อยปี แต่กลับทะลวงขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดได้แล้ว
หวังซวนเฟยผู้นี้ยิ่งน่าทึ่งกว่า ไม่เพียงแต่จะเป็นปรมาจารย์ในด้านศาสตร์แห่งการต่อสู้เท่านั้น แต่เขายังเป็นถึงจอมเทพโอสถสองดาวอีกด้วย!
แม้ว่าผู้ที่ทรงอำนาจสูงสุดจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ธุรกิจยังคงเป็นธุรกิจ ทุกคนจำต้องปฏิบัติตามกฎขั้นพื้นฐานที่พึงกระทำ
กลุ่มอิทธิพลใหญ่ทั้งสี่ของเมืองกุยฉาง เดิมทีมีความสมดุลดั่งคานแข็ง ตระกูลหวังคือกลุ่มอิทธิพลที่แข็งแกร่งที่สุด รองลงมาจะเป็นตระกูลหลู่และหลิน ส่วนหอมหาสมบัติจะเป็นกลุ่มที่อ่อนแอที่สุดแล้ว
ในปัจจุบัน หอมหาสมบัติขึ้นฮือผงาดง้ำโดยการหยิบชูโอสถขั้นเทวะเป็นจุดขาย เพื่อให้ตระหวังขึ้นมาต่อกรได้ จำต้องมีแผนธุรกิจที่เฉียบคมกว่า
หากใช้กำลังในการแก้ไขปัญหา อาจไปปลุกกระตุ้นเจ้าเมืองเข้าได้
แม้ว่าขุมพลังของตระกูลหวังจะแกร่งกล้า แต่เจ้าเมืองกุยฉางกลับหาใช่สิ่งที่พวกนั้นแตะต้องได้เช่นกัน สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ เจ้าเมืองกุยฉางเปรียบเสมือนตัวแทนของเจ้าเมืองหลวงหวูเมิ่ง นี่เป็นการดำรงอยู่ที่ไม่สามารถยั่วยุได้เลย
“คุณชายซู ความผิดพลาดทั้งหมดในคราวนี้หาใช่ของตระกูลหวัง! อาคันตุกะนักหลอมโอสถคนใหม่ของหอมหาสมบัติกลับน่ากลัวเกินไป! พวกเราจึงต้องจำนนอย่างที่เห็น”
หวังอวีเซียงกล่าว
แม้ว่าอาณาจักรพลังของเขาจะสูงกว่าหวังซู แต่ด้วยสถานะที่แตกต่างกันเกินไป เขาย่อมไม่กล้าแตะต้องใดๆ
นี่คือเยาวชนหัวกะทิที่ตระกูลหวังสาขาหลักใส่ใจเลี้ยงดูยิ่งกว่าอะไร ความสำเร็จในอนาคตของหวังซูผู้นี้ช่างไร้ซึ่งขีดจำกัด!
“เหอะ แค่เด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นต้นตัวหนึ่ง สามารถทำให้ตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางตกต่ำลงถึงเพียงนี้จริงๆ! พาพลาดท่าก็คิดคำแก้ตัวได้แค่นี้?”
หวังซูกล่าวเย้ยหยันพลางคลี่ยิ้มเย็นเสียดสีออกมา
สิ่งที่ได้ยินอาจเป็นเท็จ สิ่งที่เห็นต่างหากคือคาวมจริง
หวังซูได้อ่านรายงานที่หวังอวีเซียงส่งมาแล้วโดยธรรมชาติ แต่ในมุมมองของเขาคิดว่า ตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางน่าจะไร้ความสามารถเองเสียกว่า และเอ่ยอ้างหวังโยนปัญหาให้พ้นผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่ได้มากลับเป็นแค่ข้อแก้ตัวน้ำขุ่นๆ!
หวังอวีเซียงไม่กล้าส่งเสียงคัดค้าน เขาหันไปกล่าวกับหวังหลินโปว่า
“หลินโป ไปนำสิ่งนั้นมาให้คุณชายซูกับผู้อาวุโสซวนดูเร็ว!”
หวังหลินโปส่งกล่องหยกให้แก่ทั้งสองด้วยความเคารพ หวังซูรับมาอย่างคร้านจะใส่ใจและเหลือบมองกล่องหยกนั้นด้วยความหยามเหยียด
“โอสถปราณเทวะขั้นเทวะ? เหอะ,เหอะ ก็แค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระกับหนึ่งชั้นต่ำ? ผู้อาวุโสซวนมีความเห็นว่าอย่างไร?”
หวังซูกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ
ผู้อาวุโสซวนที่เงียบนิ่งมาโดยตลอด ยามที่เห็นดังนั้นพลันยิ้มและกล่าวขึ้นว่า
“โอ้ อวีเซียง แค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นต่ำกลับไม่นับเป็นอันใดเลย! หากมีเราชายชราผู้นี้อยู่ประจำป้อม พวกหอมหาสมบัติก็แค่มังกรขดหาง! จะว่าไป ก่อนที่ข้าจะออกเดินทางมาหาเจ้า ท่านประมุขตระกูลหลักได้บอกกับข้าว่า เนื่องด้วยตลอดที่ผ่านมา เจ้ามีความขยันแข็งขันและเคยสร้างผลงานให้กับตระกูลหวังไว้มากมาย ท่านประมุขตระกูลหลักเห็นถึงความขยันมั่นเพียรในจุดนี้ จึงขอมอบสิทธิพิเศษให้แก่ตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉาง จงเลือกสมาชิกที่ดีที่สุดสามคนเพื่อเข้าไปฝึกปรือต่อที่หอมังกรทะยานฟ้าในตระกูลหลัก”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของหวังซวนเฟย ทั้งหวังอวีเซียงและหวังหลอนโปต่างสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เผยความปีติยินดีจนล้นปรี่ออกมาอย่างเก็บไม่อยู่
หอมังกรทะยานฟ้าเป็นสถานที่ฝึกของตระกูลหลัก สำหรับเลี้ยงดูเหล่าสมาชิกชั้นยอดเป็นพิเศษ
ตราบใดที่มีโอกาสได้เข้าไปในหอมังกรทะยานฟ้า ย่อมสามารถการันตีความสำเร็จอันไร้ขีดจัดของคนๆนั้นได้เลย
ณ ปัจจุบัน ตระกูลหวังประสบความสูญเสียอย่างหนัก แต่การที่ได้รับสิทธิ์เข้าสู่หอมังกรทะยานฟ้านับเป็นพรปลอบใจ
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งผู้อาวุโสซวน! ขอบพระคุณอย่างยิ่งคุณหนูซู!”
หวังอวีเซียงกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น
หวังซวนเฟยยิ้มและกล่าวตอบว่า
“ด้วยเหตุนี้ อวีเซียง,เจ้าไม่จำต้องกังวลอะไรแล้ว ระยะนี้ข้ากับหวังซูจะคอยช่วยเหลืออยู่ที่นี่เอง เป้าหมายสำคัญคือบีบให้หอมหาสมบัติลดทอนอำนาจลง หรือไล่ออกจากเมืองกุยฉางเลยจะเป็นการดีที่สุด”
สายตาที่จับจ้องของหวังอวีเซียงแปรเปลี่ยนดูจริงจังถนัดตา เขาเร่งกล่าวขึ้นว่า
“โปรดมั่นใจได้ผู้อาวุโสซวน พวกเราตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางจะให้ความร่วมมือกับพวกท่านเต็มที่!”
หวังอวีเซียงตระหนักได้ว่า ในที่สุดตระกูลหลักก็หยิบยืนโอกาสทองให้ใช้สำหรับโค่นล้มหอมหาสมบัติเสียที!
……………………….
สิบปีมานี้ เย่หยวนยังไม่มีความคืนหน้าใดๆเลยแม้แต่น้อย
ส่วนหวูเฉินยังคงพ่นวาจาเสียดสีไม่หยุดอยู่ข้างๆหูของเขา ประดุจคนแก่ขี้บ่น
“เจ้าหนู ยอมแพ้เสียเถอะ นี่ยังดีที่พึ่งใช้เวลาไปแค่ปีเดียวในโลกภายนอก ตอนนี้ยังมีเวลากลับลำ”
แต่เย่หยวนกลับส่ายหน้าอย่างดื้อรั้นและกล่าวว่า
“ท่านอาวุโส ท่านกับข้าเองก็อยู่ด้วยกันมานานแล้ว ท่านควรรู้จักนิสัยของข้าดี ข้าไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด”
หวูเฉินได้ยินดังนั้น พลางพูดจาตัดพ้อขึ้นว่า
“เจ้าหนู ข้าทราบดีว่า ศาสตร์แห่งโอสถของเจ้าท้าทายสวรรค์ยิ่งกว่าใครๆ กระทั่งข้ายังต้องยอมรับในจุดนี้ แต่นี่คือเส้นทางแห่งการต่อสู้ มันแตกต่างจากศาสตร์แห่งโอสถโดยสิ้นเชิง!”
เย่หยวนสะดุ้งแปลบดุจสายฟ้าฟาดใส่ สีหน้ายามนี้เปี่ยมไปด้วยความอิ่มเอมใจสุดขีด ก่อนตบเข่าตัวเองดังฉะใหญ่
“เอ่อ! ไฉนข้าโง่ขนาดนี้! ถนนเส้นหลักที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ ข้าก็มีแต่กลับไม่เดิน! ดันมาเดินหาทางอ้อมให้เสียเวลาโดยแท้!”
หวูเฉินปั้นสีหน้าฉงนใจ ไม่ทราบเลยว่าเหตุใด จู่ๆเย่หยวนก็คึกคักผิดวิสัย
“เจ้าหนู ยังจะคิดอะไรได้อีก?”
หวูเฉินกล่าวขึ้นพลางหรี่ตาแคบเจือปวดเศียรอ่อนๆ
เย่หยวนกล่าวตอบอย่างตื่นเต้นขึ้นว่า
“ในเมื่อมันเป็นวรยุทธบ่มเพาะพลังของข้า ข้าก็ควรหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะที่เหมาะสมกับข้าที่สุด! ท่านว่าไม่จริงรึ?”
หวูเฉินพยักหน้าพลางครุ่นคิดตามคำกล่วาของเย่หยวน
“อืม..ก็จริง!”
“แล้วท่านอาวุโสคิดว่า…ศาสตร์แขนงใดที่ข้าเชี่ยวชาญที่สุด?”
เย่หยวนกล่าวถามต่อ
หวูเฉินอุทานลั่นเมื่อคิดออกทันใด
“จริงด้วย! ศาสตร์แห่งโอสถยังไงล่ะ! แต่เอ๊ะ? เจ้าจะใช้ศาสตร์แห่งโอสถเพื่อหาจุดเชื่อมต่อสำหรับหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลัง? นี่…นี่ดูไม่เกินจริงไปหน่อยรึ?”
เย่หยวนแผดหัวเราะเบาๆเป็นคำตอบ เขาหาได้เอ่ยปากโต้แย้งใดๆกับหวูเฉินอีก