ตอนที่1339 เหนือหุบเขาถงเทียน!
เบื้องหน้าเย่หยวน มีกองสมุนไพรวิญญาณศักดิ์ตั้งสูงเป็นพเนิน
ตอนที่หลอมกลั่นโอสถตราสวรรค์หนึ่งดาวขึ้นมา เขาเองก็มุ่งเน้นการฝึกฝนแบบนี้เช่นเดียวกัน
และในขณะที่เขาฝึกฝนก็เลื่อนระดับขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งจอมเทพโอสถหนึ่งดาวชั้นต้น!
การฝึกฝนแบบนี้จำต้องต้องทรัพยากรไม่ขาดมือ ซึ่งในแง่นี้ เย่หยวนได้รับการสนับสนุนจากหอมหาสมบัติเต็มพิกัดเช่นกัน
ภายใต้คำร้องขอของเย่หยวน หยางรุยถึงขั้นออกโรงเสาะหาสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หายากมาให้มากมาย
ในขณะนี้ กองพเนินสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าเย่หยวน มีมากถึงหลายพันชนิดเลยทีเดียว
แน่นอนว่านี่มิใช่สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งทั้งหมดบนมหาพิภพถงเทียน
เย่หยวนหาได้ต้องการนำไปหลอมกลั่น แต่ทั้งหมดก็เพื่อเสาะหาโอกาสทำความเข้าใจต่อเต๋า!
หลังจากทศวรรษแรกได้ผ่านพ้น เย่หยวนก็เริ่มเรียนรู้ศึกษาและทำความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งโอสถอย่างยาวนาน
เขาตรวจพินิจวิเคราะห์สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แต่ละชนิดโดยละเอียดถี่ถ้วน จนเข้าใจคุณสมบัติจำเพาะของพวกมันเหล่านั้น
งานประเภทนี้เย่หยวนเคยทำมาบ่อยครั้งในดินแดนพฤกษานิรันดร์ นี่หาใช่เรื่องไกลตัวสำหรับเขาเลย
กาลเวลาเลยผ่าน พริบตาเดียว ก็เข้าปีที่หนึ่งร้อยยี่สิบในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพแล้ว
ในช่วงร้อยยี่สิบปีมานี้ ในที่สุดเย่หยวนก็เข้าใจคุณสมบัติต่างๆของสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้
เส้นทางแห่งโอสถ เย่หยวนสามารถสรุปให้เป็นหนึ่งคำคมสั้นๆได้ว่า
รากฐานที่มั่นคงเกิดการฝึกฝนและความเพียร
หนึ่งร้อยยี่สิบปีแห่งความขมขื่นนี้ เย่หยวนสละทั้งแรงกายแรงใจเพื่อมุ่งทุกความสนใจอยู่ที่สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้โดยไม่ละสายตาเลย นี่อาจเป็นสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดในชีวิตของคนอื่น
แม้แต่นักหลอมโอสถด้วยกัน ก็มีไม่น้อยที่มิอาจทนต่อคาวมเปลี่ยวเหงาชนิดนี้ได้
ทว่าเย่หยวนสามารถทำได้!
หนึ่งร้อยยี่สิบปีนี้ ปราศจากสิ่งอื่นใดรบกวน เย่หยวนมีสมาธิศึกษาได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้รากฐานเกี่ยวกับสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาค่อนข้างมั่นคงอย่างมาก
จากนั้น เย่หยวนก็เริ่มทดลองหลอมกลั่นโอสถในที่สุด
การหลอมกลั่นของเขาแตกต่างจากคนอื่นๆโดยสิ้นเชิง อย่างแรก เย่หยวนไร้ความข้อกังวลใดๆ และสองนี่คือการหลอมกลั่นโดยมิได้ผูกมัดกับสูตรโอสถ
แน่นอนว่ามีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลวแตกต่างกันไป
ช่วงชีวิตแสนเบื่อหน่ายนี้กลับหาพรรณนาไม่ ประเดิมด้วยฤดูใบไหม้ผลิ เสื่อมสภาพแปรผันดั่งธารวารีในฤดูใบไม้ร่วง กลับมาร้อนแรงอีกครั้งด้วยฤดูร้อน และสรรพสิ่งจบลงพร้อมฤดูหนาว ก่อนทุกอย่างเริ่มผลิบานอีกครั้งในฤดูใบไม่ผลิ วัฏจักรเวียนวนไร้สิ้นสุด วันเวลาเลยผ่านปีแล้วปีเล่า
ดังนั้นยิ่งเย่หยวนหลอมกลั่นโอสถมากเท่าใด เขาก็เริ่มสัมผัสถึงจุดเชื่อมต่อกับหุบเขาถงเทียนจำลองได้มากขึ้นเรื่อยๆ!
ทันทีทันใด ธารแสงหลากสีระยิบระยับพลันเจิดจรัสประกายจ้า ธารแสงหลากสีนี้ช่างงดงามและอลังการเกินบรรยาย
เมื่อรู้สึกตัวอีกที เย่หยวนก็หลุดเข้าไปในหุบเขาถงเทียนจำลองเสียแล้ว สถานที่แห่งนี้ประหนึ่งดินแดนมหัศจรรย์!
ในที่สุดเขาก็หาจุดเชื่อต่อและเข้ามาภายในนี้ได้สำเร็จโดยใช้ศาสตร์แห่งโอสถ!
อย่างไรก็ตามแต่ นี่เพิ่งเริ่มก้าวแรกเท่านั้นของเย่หยวน เพราะท้ายที่สุดนี้สิ่งที่เขาต้องการหลอมสร้างคือวรยุทธบ่มเพาะพลัง หาใช่วรยุทธหลอมกลั่นโอสถ
ตลอดเส้นทางตั้งแต่เริ่มต้นจวบจนปัจจุบัน เย่หยวนได้รับถ่ายทดวรยุทธบ่มเพาะพลังมาแล้วแทบทุกแขนง ทันทีที่เข้ามาภายในนี้ วรยุทธเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นกลางห้วงความคิดของเขาไม่หยุดหย่อน
วรยุทธเก้าเซียนบูรพา, วรยุทธมังกรทรราชจุติ, สูตรจอมดาบพิชิตมารฟ้า, สูตรเก้าอักษรตรัสรู้ถ่องแท้…
เย่หยวนในปัจจุบันคล้ายพ่อครัวที่มีวัตถึอยู่ในมือมากมายเพื่อปรุงอาหารจานอร่อยขึ้นมา
วรยุทธบ่มเพาะพลังที่เขาเคยได้รับมาทั้งหมดในชีวิต คือสุดยอดส่วนผสนชั้นเลิศ ในขณะที่หุบเขาถงเทียนจำลองเป็นหม้อขนาดใหญ่
เย่หยวนจมอยู่ในนี้จนลืมเวลาไปเสียสนิท
ไม่รู้วันเวลาผ่านไปนานเพียงใด โครงสร้างขั้นพื้นฐานของวรยุทธบ่มเพาะพลังเริ่มค่อยๆก่อตัวขึ้นในจิตใจของเย่หยวน
เย่หยวนแก้ไขและพัฒนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุดหย่อน เพื่อทำให้ผลงานชิ้นนี้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด หลังจากที่ได้มา เขาก็ทำการแก้ไขพัฒนาและต่อยอดอีกครั้ง
……………………….
ในเวลาเดียวกัน ณ ใจกลางมหาพิภพถงเทียน เมืองจักรพรรดิแห่งหนึ่งที่ติดกับหุบเขาถงเทียน ยามนี้จู่ๆพลันเกิดภัยพิบัติสุดวิปลาสขึ้นกะทันหัน
พลังวิญญาณสุดบ้าดีเดือดก่อนตัวเป็นเกลียวคลื่นยักษ์สูงเทียบเคียงฟ้าดิน พลันถาโถมท่วมล้นลงมาจากบนหุบเขาถงเทียน
พลังวิญญาณนี้ทรงอนุภาพไร้ขอบเขตเกินไปจนไม่สามารถดูดซับพลังเหล่านี้เข้าตัวได้เลย
แรงซัดกระแทกปริมาณมหาศาลอัดเข้าใส่เหล่ายอดเซียนที่กำลังทำความเข้าใจต่อเต๋าอยู่บริเวณตีนหุบเขาถงเทียนโดยตรง เสียงกรีดร้องสุดเวทนาบินวอนกึกก้องสะท้านในอากาศไม่หยุดหย่อน
ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ล้วนตายเรียบไม่เหลือ!
นี่คือพลังฟ้าดินที่แท้จริง หาใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถต่อกรได้แม้แต่น้อย
ท่านรัศมีสีรุ้งลายงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ เข้าห่อหุ้มไปทั่วทั้งหุบเขาถงเทียนทั้งหมด แลดูวิจิตรพิสดารมากขึ้นหลายส่วน
หลังจากหลายอึดใจผ่านไป ยามนี้บนหุบเขาถงเทียนไร้ซึ่งผู้คนโดยสิ้นเชิง
“นี่…นี่เกิดอะไรขึ้นกับหุบเขาถงเทียน!?”
“ใครจะไปรู้ว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้น? กระทั่งยอดเซียนอาณาจักรเทพถ่องแท้ยังมิอาจต้านทานได้ไหว!”
“น่าเหลือเชื่อโดยแท้! ข้าไม่เคยเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้บนหุบเขาถงเทียนมาก่อน! นับเป็นบุญตาที่ได้เห็น แต่ก็น่าระทึกขวัญดีจริงๆ!”
………………………
บริเวณด้านล่างหุบเขาถงเทียนที่อยู่ถัดลงมา ยังมีเหล่ายอดเซียนอีกจำนวนมากที่กำลังหนีตาย การจราจรนับว่ายุ่งเหยิงไร้ระเบียบ ประหนึ่งมดแตกรัง
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจที่สุดคือ ไฉนจู่ๆหุบเขาถงเทียนถึงเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้นได้?
“แย่แล้ว คลื่นพลังวิญญาณกำลังถล่มลงมาทางนี้แล้ว เร็วเข้า! หนีเร็ว!”
ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางฝูงชนเหล่าผู้คนเริ่มตะโกนแหกปากและวิ่งหนีตายสุดชีวิต
คลื่นพลังวิญญาณสีรุ้งอันงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่นี้ กลับแฝงไปด้วยภัยถึงชีวิต มันกำลังร่วงหล่นลงมาราบกับหิมะถล่ม ใครก็ตามที่ถูกคลื่นพลังวิญญาณนี้กลบฝัง กระทั่งร่างยังแหลกเหลวไม่เหลือ
พวกเขาไม่เคยเห็นพลังวิญญาณใดที่น่ากลัวเท่าหอบนี้มาก่อน!
ครืนน…!
เมื่อคลื่นพลังวิญญาณที่ตกกระทบลงพื้นดิน ก่อให้เกิดเสียบงก้องกังวานดัง รัศมีพลังวิญญาณที่อ่อนตัวลงแผดกระจายไปทั่วทุกสารทิศออกเป็นทางไกล
“ฮะ-ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าเลื่อนระดับชั้นแล้ว! ข้าติดปัญหาคอขวดอยู่ตั้งเนินนานนับหลายหมื่นปี ในที่สุดข้าทะลวงผ่านได้แล้ว!”
“ข้าเองก็เลื่อนระดับชั้นแล้วเช่นกัน! ฮ่าฮ่าฮ่า….”
“ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า จะมีวันที่ข้าสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาเทพถ่องแท้ได้! ฮ่าฮ่าฮ่า….”
……………………….
หลังจากที่คลื่นพลังวิญญาณลงจอดอัดพื้นดินไปสักพัก พลังของมันก็เริ่มอ่อนตัวลง
ภายใต้ผลกระทบคราวนี้ พลังวิญญาณถูกลดทอนความรุนแรงลงจนเหล่ายอดเซียนในบริเวณสามารถดูดซับเข้าไปได้ ราวกับนี่เป็นรางวัลสำหรับผู้รอดชีวิต มีจำนวนไม่น้อยที่เลื่อนระดับชั้นสมปรารถนา
ส่วนผู้ที่มิอาจเลื่อนระดับชั้นไปได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขาเขยือบเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้น
“แย่แล้ว! อย่ามัวแต่ดีใจกัน! คลื่นพลังวิญญาณวิปลาสนั้นพุ่งออกมาอีกระลอกแล้ว!”
ในขณะเดียวกัน บางคนที่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติก็ตะโกนกล่าวเตือนอีกครั้ง
บนยอดหุบเขาถงเทียนปรากฏเป็นพลังวิญญาณสุดเข้มคลักกำลังก่อตัวขึ้น ก่อนที่จะถูกปลดปล่อยลงมาดุจหิมะถล่มหนักอีกครั้ง
……………………..
ในขณะเดียวกัน เหนือห้วงแห่งความว่างเปล่าที่มิอาจมองเห็น มีหลายสุ้มเสียงกำลังสนทนากันบางอย่าง
“ในหมู่พวกเราทั้งหมด เป็นเจ้า,จอมเทพชาตะที่อายุยืนยาวที่สุดแล้ว พอจะบอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกัน?”
เสียงทุ่มลึกแผดดังขึ้น
“มิอาจทราบ! ตั้งแต่ที่เราชายชราบรรลุเต๋ามา ก็ไม่เคยเห็นว่าหุบเขาถงเทียนจะมีปรากฏการณ์รุนแรงขนาดนี้มาก่อน!”
เสียงแหบชราเอ่ยตอบ
เมื่อได้ยินวาจาเหล่านี้ ทุกคนก็ปิดปากเงียบลงอีกครั้ง
แต่ทันใดนั้น จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งกล่าวขึ้นว่า
“เดี๋ยวก่อน ข้ารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ราวกับหุบเขาถงเทียนกำลัง…เฉลิมฉลองอะไรบางอย่างอยู่!”
“เฉลิมฉลอง? ฮ่าฮ่า…จอมเทพสายฟ้า เจ้ากำลังล้อเล่นกระมัง? หุบเขาถงเทียนคือสถานที่มรณะ ภายในนั้นเปี่ยมไปด้วยมากมายเกินหยั่งรู้ แต่สุดท้ายนี้มันก็เป็นหุบเขาที่ไร้ชีวิต แล้วมันจะไปมีความรู้สึกเฉกเช่นมนุษย์ได้อย่างไร? ฮ่าฮ่า…เราชายชราเชื่อไม่ลง ความคิดของเจ้ากลับเพ้อฝันเกินจริง!”
อีกคนกล่าวตอบโต้ทันที
ทว่าเวลานั้นเอง จอมเทพชาตะผู้ที่อาวุโสที่สุดจู่ๆก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้งและกล่าวว่า
“ข้าเองก็เห็นด้วยกับคำสันนิษฐานของจอมเทพสายฟ้า! พวกเจ้าลองดูให้ดี คลื่นพลังวิญญาณถล่มออกมาเป็นลูกที่สามแล้ว! ใครจะไปรู้ว่าผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้ กลับแปรเปลี่ยนเป็นผลกำไรให้กี่คนต่อกี่คน! พวกที่อยู่ในบริเวณนั้นเลื่อนระดับชั้นกันว่าเล่น! ข้ารู้สึกว่า…หุบเขาถงเทียนแห่งนี้กำลังคืนผลประโยชน์ให้”
คำกล่าวของจอมเทพชาตะ ทำให้ทุกคนปิดปาดเงียบกริบอีกครั้ง
“แต่…แม้จะเป็นอย่างที่เจ้าว่าไป แต่เจ้าเองก็ไม่เคยเห็ยปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน พอจะทราบไหรือไม่ว่า หลังจากนี้จะเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก?”
บางคนในหมู่พวกเขาเอ่ยถาม
จอมเทพชาตะกล้าวขึ้นอย่างแช่มช้าว่า
“ไม่ทราบ ไม่มีใครเคยเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน นอกจากพวกเราไม่กี่คนแล้ว คนอื่นๆยิ่งไม่รู้เรื่องอันใดเลยแม้สักนิด แต่ที่ข้าสงสัยที่สุดคือ…หุบเขาถงเทียนกำลังเฉลิมฉลองเพื่อใคร? ใครกันที่มีคุณสมบัติทำให้หุบเขาถงเทียนต้องแลเห็นใส่ใจ?”
เงียบสงัดอีกระลอกใหญ่
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จอมเทพชาตะพลันเงยหน้าขึ้นพร้อมถอนหายใจเสียงยาว
“หุบเขาถงเทียน หนอ…หุบเขาถงเทียน เจ้าคืออะไรกันแน่? มีอะไรอยู่บนยอดเขานั้นกัน?”