ตอนที่1345 ขายหมด
หยางรุยมองไปที่เย่หยวนด้วยสายตาเปี่ยมกตัญญู ก่อนจะพบว่าเย่หยวนเองก็กำลังจับจ้องเขาด้วยรอยยิ้ม
เขาสะดุ้งเฮือกภายในใจอย่างลับๆ ยามนี้เขาตระหนักได้ในทันทีว่า เพราะเหตุใดเย่หยวนถึงทำเช่นนี้
‘เด็กคนนี้ช่างมีความคิดที่ละเอียดและพิถีพิถันทุกขั้นตอนเกินวัยไปมาก การมอบสูตรโอสถล้ำค่าขนาดนี้ให้ นับเป็นการเคลื่อนไหวที่งดงามและชาญฉลาดยิ่ง!’
หยางรุยเอ่ยชมเย่หยวนภายในใจ
แม้แต่หยางรุยยังเห็นถึงความสำคัญของสูตรโอสถชนิดนี้ แล้วคนอื่นๆจะมองไม่เห็นได้อย่างไร?
เมื่อโอสถบ่มเพาะปราณถูกวางจำหน่ายออกไป เพียงไม่นานความนิยมของมันจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งมหาพิภพถงเทียนเร็วดุจโรคระบาด
ซึ่งทุกคนต่างทราบดี ยังมีใครอีกในหอมหาสมบัติที่สามารถคิดค้นสูตรโอสถอันท้าทายสวรรค์ได้ขนาดนี้ นอกจากอาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติอย่างเย่หยวน? แน่นอนนี่มิใช่เรื่องดีเลยสำหรับเย่หยวน นี่จะกลายมาเป็นมันเผาร้อนๆในมือเย่หยวนทันที
ซึ่งเรื่องนี้อาจปะทุขึ้นรุนแรงจนเกิดเหตุโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่เลยก็เป็นได้
แต่หากบอกว่าสูตรโอสถชนิดนี้เป็นของหอมหาสมบัติ เหตุการณ์ทั้งหมดจะแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
หอมหาสมบัติเป็นธุรกิจหลักของจักรพรรดิเทพสวรรค์มหาสมบัติ มีใครบ้างกล้ายั่วยุล่วงความลับธุรกิจภายในของการดำรงอยู่ระดับนี้บ้าง?
แม้แต่ระดับชั้นจักรพรรดิเทพสวรรค์ด้วยกันยังไม่อยากไปตอแยสร้างปัญหา กับแค่สูตรโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลางเล็กน้อย นี่กลับได้ไม่คุ้มเสีย
ในจุดนี้ การเคลื่อนไหวและตัดสินใจของเย่หยวนนับว่าฉลาดรอบคอบอย่างมาก
และอีกเรื่องที่สำคัญก็คือ เย่หยวนก็เอ่ยปากกล่าวไปแล้ว เขาต้องการตอบแทนบุญคุณจริงๆ
เพียงว่าของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่าเกินไปมาก
เมื่อหอมหาสมบัติสาขาเมืองกุยฉางเปิดตัวโอสถบ่มเพาะปราณ พร้อมกวาดเงินทำกำไรได้อย่างมหาศาล ลองคิดได้เลย…สิ่งใดจะเกิดขึ้นต่อจากนี้?
หลังจากที่หยางรุยมอบสูตรโอสถชนิดนี้ให้แก่หอมหาสมบัติ เขาจะถูกตบรางวัลมูลค่ามหาศาลเกินจินตนาการ
ความโปรดปรานนี้มิอาจกล่าวได้ว่าไม่ใหญ่!
แน่นอน หยางรุยเข้าใจแจ่มแจ้ง เย่หยวนเลือกที่จะไม่ให้สูตรโอสถแก่เขาก็ได้เช่นกัน แค่ผลกำไรจากการจำหน่ายโอสถบ่มเพาะปราณหลังจากนี้ ก็นับเป็นค่าตอบแทนที่เกินพอแล้ว แต่เพื่อป้องกันมิให้หอมหาสมบัติเกิดปัญหาเช่นนี้อีกในอนาคต เขาจึงต้องมอบสูตรโอสถ หวังสร้างความมั่นคงให้แก่ธุรกิจของหยางรุยต่อไป
ท้ายที่สุดนี้ มีวิธีรับมือมากมายกับตระกูลหวัง แค่หลอมกลั่นโอสถเสริมปราณขั้นเทวะให้จำนวนหนึ่งและจากไปอย่างเงียบๆ ทั้งนี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเย่หยวนอีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่า เย่หยวนให้ความสำคัญกับมิตรภาพมาเป็นอันดับหนึ่ง
ถึงขั้นที่ว่ายอมมอบของล้ำค่าเช่นนี้ เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงให้แก่หอมหาสมบัติ
หยางรุยสูดหายใจลึกๆและกล่าวว่า
“น้องเล็กเย่ ข้าเข้าใจแล้ว! ในอนาคตต่อไป โปรดนับข้าเป็นพี่น้องของเจ้าคนนึง ยามใดมีประสบปัญหา สามารถเรียกข้าให้ออกโรงได้ทุกเมื่อ! พี่ชายคนนี้ต้องขอบคุณเจ้าเป็นอย่างยิ่ง!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า
“เช่นนั้น ข้าขอเสียมารยาท เรียกท่านว่าพี่หยาง พี่หยาง,โอสถบ่มเพาะปราณมีขั้นตอนการหลอมกลั่นค่อนข้างยาก หากผู้อาวุโสซ่งมีข้อสงสัยไม่เข้าใจอะไร ท่านก็ให้เขาเข้ามาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
หยางรุยพยักหน้าและกล่าวว่า
“เข้าใจแล้ว ไม่มีปัญหา!”
ผู้อาวุโสซ่งเป็นจอมเทพโอสถสองดาวที่เบื้องบนส่งมาให้
เพียงว่าหลังจากที่เขามา สถานการณ์กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก
…………………….
“บัดซบ! บัดซบ! ข้ามาไม่ทันอีกแล้ว! ไอ้ฝูงสัตว์พวกนี้ไฉนมาเร็วกว่าตลอด?”
“หอมหาสมบัติจะวางจำหน่ายโอสถบ่มเพาะปราณชุดใหม่ในวันพรุ่งนี้ วันนี้กลับมาไม่ทันกิน รินน้ำสักหยดยังไม่ทัน!”
“ให้ตายเถอะ! นั้นเจ้า! เจ้าซื้อทันรึ?! ข้าขอซื้อต่อ ข้าให้ผลึกปราณเทวะห้าสิบก้อนต่อหนึ่งเม็ดไม่เกี่ยงคุณภาพ! พอจะขายให้ข้าได้ไหม?”
“ฝันไปเถอะ! อยากจะซื้อต่อข้าแต่ให้แค่ห้าสิบก้อน? ผลึกปราณเทวะห้าร้อยก้อนต่อหนึ่งเม็ด! นอกจากนี้ หากวันหน้าพวกเจ้าแย่งซื้อโอสถบ่มเพาะปราณมาได้ จะต้องแบ่งขายข้าในราคาเดิม!”
“หน้าเลือดนัก! ไปตายที่ไหนก็ไป!”
………………………
ทันทีที่วางจำหน่ายโอสถบ่มเพาะปราณ มันก็ขายดีเป็นพลุแตกระเบิดลั่นทั่วทุกมุมของเมืองกุยฉาง
ประตูทางเข้าหอมหาสมบัติเรียกได้ว่าแทบพัง!
เย่หยวนใช้เวลาอีกครึ่งเดือน หลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณชุดใหญ่
ส่วนเรื่องอื่นๆ เขากลับมิได้สนใจ
ในด้านกลยุทธ์ทางการตลาด หยางรุยและซูหลิงปู้นับเป็นพ่อค้าหัวธุรกิจผู้เจนจัดมากประสบการณ์ทั้งคู่
ทั้งสองช่วยระดมความคิด งัดเอากลเม็ดต่างๆนาๆออกมาใช้เพื่อโฆษณาตัวสรรพคุณสินค้า พวกเขายังไม่นำโอสถออกมาขายทันที แต่กลับนำโอสถบ่มเพาะปราณชุดแรกที่เย่หยวนเคยให้ไว้แจกจ่ายให้แก่เหล่านักสู้ เพื่อทดลองสรรพคุณโดยไม่เสียสักแดง
กลุ่มคนทดลองชุดแรกย่อมเต็มไปด้วยความสงสัย ส่วนใหญ่ที่อาสาเข้ามาทดลองล้วนแล้วแต่มาเพื่อจับผิดหวังแหกหน้า
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่คนกลุ่มแรกทดลองโอสถเสร็จสิ้น โอสถบ่มเพาะพลังปราณก็ดังระเบิดระเบ้อทั่วทั้งเมืองกุยฉาง!
โอสถบ่มเพาะปราณเป็นโอสถชนิดใหม่เอี่ยม ทันทีที่กลืนโอสถชนิดนี้ลงไป ฤทธิ์โอสถก็กระจายทั่วทั้งร่าง ประสิทธิภาพเหนือชั้นอย่างชัดเจน
แม้ว่าทุกคนต่างก็ยังสงสัยในประสิทธิภาพของโอสถบ่มเพาะพลัง แต่แน่นอนว่าพวกเขาล้วนให้ความสนใจกันอย่างล้นหลาม
ในท้ายที่สุดนี้ เรื่องโอสถชนิดใหม่ของหอมหาสมบัติก็กลายมาเป็นประเด็นร้อนแรงที่สุดในช่วงเวลานี้
หลังจากกลุ่มทดลองตบโอสถเข้าปากเพื่อทดสอบฤทธิ์มัน ปรากฏว่ารัศมีแรงกดดันของพวกเขาเหล่านั้นก็เพิ่มสูงขึ้นกับตา ทั้งๆที่ยังไม่ทันขัดเกลาหรือดูดซับใดๆทั้งสิ้น!
สรรพคุณที่สุดยอดแบบนี้ โอสถเสริมปราณไม่สามารถทำได้แน่นอน
เหล่าผู้คนที่ได้เข้าร่วมการทดสอบ หลังจากที่ทดลองกันเสร็จสรรพ ถึงกับเร่งควักผลึกปราณเทวะทั้งหมดออกมา หวังเหมาหมดยกคลังโดยไม่ลังเล
เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้น จึงยิ่งเป็นการกระตุ้นความต้องการของทุกคนมากขึ้นไปอีก
ดังนั้น สิทธิ์การทดสอบสำหรับกลุ่มคนในชุดที่สองและสาม เหล่าฝูงชนต่างแห่กันจับจองแย่งกันอย่างบ้าคลั่ง
ถึงขั้นที่ว่ามีหลายต่อหลายคนขอประมูลซื้อต่อสิทธิ์เหล่านั้นด้วยราคาที่สูงลิบลิ่ว ทั้งหมดก็เพื่อเข้าไปทดสอบประสิทธิภาพโอสถ
ว่ากันว่าราคาประมูลสิทธิ์เข้าทดลองมีราคาสูงสุดอยู่ที่ผลึกปราณเทวะระดับต่ำถึงหนึ่งหมื่นก้อน!
หลังจากจบช่วงทดสอบประสิทธิภาพโอสถ หอมหาสมบัติแทบระเบิด!
ธารฝูงชนแห่เข้ามาไม่หยุดหย่อน หอมหาสมบัติผงาดขึ้นสู่จุดสูงสุดในทันที!
ราคาเท่ากับโอสถเสริมปราณ แต่ประสิทธิภาพโอสถกลับสูงกว่าเป็นสองเท่า แล้วยังมีใครโง่ซื้อโอสถเสริมปราณกันอีก?
ดังนั้นมิใช่แค่ตระกูลหวัง ทั้งร้านค้าของตระกูลหลู่และตระกูลหลิน แทบจะกลายเป็นที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คนในชั่วข้ามคืน
ณ ตำหนักตระกูลหวัง ไม่มีผู้ใดอยู่อย่างเป็นสุขได้เลยสักคน รั้งแต่เดินไปเวียนมาไม่หยุดด้วยความกังวลสุดขีดคล้ายมดบนกระทะร้อน
“ผู้อาวุโสซวน ไหนท่านบอกว่า ไม่มีทางที่พวกมันจะวางจำหน่ายโอสถบ่มเพาะพลังได้? ตอนนี้พวกเราไร้ซึ่งมาตรการตอบโต้ใดๆเลย! ได้แต่นั่งเฉยๆรอวันตาย!”
หวังซูเอ่ยปากบ่น
สีหน้าการแสดงออกของหวังซวนเฟยบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่งไม่ต่าง ยิ่งไปกว่า เขายังเป็นคนที่ลำบากใจที่สุดแล้ว
เพราะก่อนหน้า เขาดันลั่นวาจาด้วยความมั่นใจยิ่งว่า ฝ่ายหอมหาสมบัติไม่มีทางหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณอะไรนั้นได้แน่นอน
ฉะนั้นแล้ว นี่ยิ่งกว่าถูกลากออกมาตบหน้าฉะใหญ่กลางถนน!
ในความเป็นจริง หวังซูเองก็ทราบดี ถึงแม้ตระกูลหวังจะรู้ทันตอบสนองได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แต่หากต้องเผชิญหน้ากับสุดยอดไพ่ตายอย่างโอสถบ่มเพาะปราณ พวกเขาเองก็ไปไม่เป็นเช่นกัน
“นี่กลับโทษข้ามิได้เช่นกัน! แล้วพวกเจ้าทุกคนตรัสรู้ทราบเองได้หรือไม่ว่า เรื่องโอสถบ่มเพาะปราณอะไรนั้นจะเป็นความจริง?”
หวังซวนเฟยกล่าวโต้
“หมายความว่าตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางคงมิอาจอยู่รอดแล้วกระมัง?”
หวังซูกล่าวประชดขึ้นทันที
หลายทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อโค่นล้มหอมหาสมบัติ ค่าใช้จ่ายที่ตระกูลหวังต้องแบกรับก็เป็นจำนวนมหาศาลเช่นกัน
แต่พวกเขากลับคาดไม่ถึง ไม่เพียงหอมหาสมบัติยังคงอยู่รอด แต่พวกมันกลับผงาดขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้งได้!
การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของหอมหาสมบัติในรอบนี้ อาจเล่นพวกเขาถึงตายได้!
หวังซวนเฟิงแสยะยิ้มเย็นกล่าวขึ้นว่า
“โง่เง่านัก! หวังซู ความคิดความอ่านของเจ้ายังคงตื้นเขินเกินไป! หากเป็นเช่นนี้จะสามารถรับตำแหน่งสำคัญในอนาคตได้อย่างไร? ในมุมมองของข้า การเปิดตัวโอสถบ่มเพาะปราณจักส่งผลกระทบต่อมหาพิภพถงเทียนทั้งหมด! จักรพรรดิเทพสวรรค์มหาสมบัติจะต้องใช้โอสถชนิดนี้ เพื่อกอบโกยผลกำไรอย่างไร้ขีดจำกัด!”
หวังซูกระนิ่มยิ้มเย็นชากล่าวว่า
“ผู้อาวุโสซวน ท่านคิดว่าข้ามิไม่เคยนึกถึงจุดนี้เลยรึ? เพียงว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อเย่หยวนไม่มีทางมอบสูตรโอสถชนิดนี้ให้ง่ายๆแน่นอน! สูตรโอสถที่สามารถทำกำไรมหาศาลขนาดนี้ ใครจะโง่คายออกมาง่ายๆกัน? ในท้ายที่สุดนี้พวกมันอาจตีกันเอง!”
หวังซวนเฟยตัวแข็งทื่อในบัดดล เห็นได้ชัดว่า เขาไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อน
หวังซูเหลียวมองไปที่หวังซวนเฟยเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า
“ดังนั้นแล้ว ไอ้เด็กเหลือขอนั้นกำลังขุดหลุมฝังศพตัวเองเท่านั้น! อย่าเห็นเพียงว่ายามนี้พวกมันสุขใจ อีกไม่นานเกินรอ ทั้งไอ้เด็กเหลือขอนั้นและหอมหาสมบัติจะเสียทุกอย่าง! ใกล้ถึงเวลาแล้ว หึหึ!”
พลันได้ยินคำวิเคราะห์ของหวังซู ทำให้หวังซวนเฟยและที่เหลือจุดประกายความหวังขึ้นอีกครั้ง!
ยามนี้หวังอวีเซียงเอ่ยปากกล่าวว่า
“เช่นนั้น คุณชายซูก็หมายความว่า…ให้พวกเรานิ่งไว้ก่อนอย่าพึ่งเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า?”
หวังซูพยักหน้าและกล่าวว่า
“ถูกต้อง!”
แต่สีหน้าการแสดงออกของหวังอวีเซียงกลับไม่สู้ดีนัก เขากล่าวขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆว่า
“แต่ตระกูลหวังสาขาเมืองกุยฉางของเราไม่สามารถทำอะไรหอมหาสมบัติในยามนี้ได้เลย แถมหลายปีมานี้ ทั้งทรัพยากรและเงินทองจำนวนมหาศาลของเราเองก็แทบไม่เหลือใช้แล้ว หากให้รั้งรอต่อไปเกรงว่าไม่ไหวแล้ว ก่อนที่หอมหาสมบัติจะทำลายกันเอง ตระกูลหวังของเราคงพังพินาศไปเสียก่อน!”
หวังซูอาศัยอยู่ในเมืองกุยฉางมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว จึงเข้าใจดีถึงสภาพการเงินและความคล่องตัวของตระกูลหวังในปัจจุบัน
ถึงช่วงหลายปีมานี้ธุรกิจจะเริ่มฟื้นตัวกลับมา แต่ยุคแห่งความตกต่ำก่อนหน้ากลับสร้างความเสียหายมากเกินไป
หวังซูได้ยินเช่นนั้นก็ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่และกล่าวว่า
“สองสามวันต่อจากนี้ ข้าจะส่งสาสน์ขอความช่วยเหลือไปยังตระกูลหลักดู ให้พวกเขาส่งทรัพยากรเข้าหนุนหลังพวกเรา! สงครามในครานี้ล่วงเลยไปเกินครึ่งแล้ว ยามนี้เหลือแค่ว่าใครจะอยู่ได้นานกว่าเท่านั้น!”