คล้อยหลังเคลื่อนผ่านเข้ามา เสมือนภาพฉากผิวน้ำกว้างไพศาลไร้ขอบเขต จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนสั่นสะท้านเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทว่าความรู้สึกน่าอึดอัดนี้ก็อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีทันใด เย่หยวนก็พบว่ามีเงาไสวร่างหนึ่งปรากฏขึ้นประจันหน้า จากพร่ามัวเริ่มก่อตัวดูชัดเจนถนัดตา
เงาร่างย่างเท้าตรงเข้ามาหาเขาประดุจกระจกเงาสาดสะท้อน ร่างนี้เหมือนกับเย่หยวนทุกประการ!
วิธีที่จอมเทพนิรันดร์คิดค้นขึ้นมาหาใช่ธรรมดาทั่วไปและลึกลับน่ากลัวเสียเหลือเกิน ห้วงมิติบ่มเพาะแห่งคาวมตายนี้มีศาสตร์เวทย์ลี้ลับบางอย่าง มันสามารถจำลองความสามารถรวมไปถึงหน้าตาเหมือนเย่หยวนทุกประการสมบูรณ์แบบ ร่างจำแลงนี้แทบแยกแยะไม่ออกว่าของจริงหรือลวงตา และแน่นอน จุดประสงค์ของเย่หยวนหาใช่การสังหารอีกฝ่าย แต่เป็นการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองภายใต้การฝึกปรือสุดอันตรายแบบนี้
“เย่หยวน จงไตร่ตรองให้ดี! เมื่อห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตายเปิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าตายหรือมันพินาศ แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถหยุดได้!” เสียงตะโกนก้องของหวูเฉินดังออกมาเข้าหูเย่หยวนไปเต็มๆ
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “นี่เป็นครั้งที่สิบแล้วกระมังที่กล่าวกับข้าเช่นนี้! เริ่มเลยเถอะ!”
หวูเฉินหัวเราะครืนกล่าวว่า “คนแบบนี้คงมีแค่เจ้าจริงๆ!”
หลังกล่าวจบ เย่หยวนก็ไม่ได้ยินเสียงของหวูเฉินอีกต่อไป จากนั้นไม่นาน สุ่มเสี่ยงเย็นยะเยือกหนึ่งพลันดังขึ้นจากเบื้องหน้าท่ามกลางผิวน้ำไร้ขอบเขต
“การบ่มเพาะแห่งความตายได้เริ่มขึ้นแล้ว!”
ฝั่งตรงข้าม เย่หยวนอีกคนค่อยๆ ลืมตาขึ้นพร้อมแสยะยิ้มแสนชั่วร้ายฉีกกว้าง ทำเอาภายในใจเย่หยวนเย็นสะท้านไปเล็กน้อย
“เจ้าแกร่งกล้ามากจริงๆ! ถึงสามารถมอบร่างกายที่ทรงพลังขนาดนี้ให้แก่ข้าได้!” เย่หยวนอีกคนกล่าว
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนเปลี่ยนไปโดยพลัน เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ชายหนุ่มที่ยืนประจันหน้าอยู่จะมีสติสัมปชัญญะเป็นของตัวเอง
เย่หยวนอีกคนฉีกยิ้มกว้างยามเห็นปฏิกิริยาของเย่หยวน และกล่าวว่า “พินิจจากสีหน้าของเจ้า คงประหลาดใจมากใช่หรือไม่? ข้ามิใช่เครื่องมือสังหารที่รู้จักแต่การฆ่า ข้ามีความนึกคิดเป็นของตัวเองอิสระ และตอนนี้ข้าก็กำลังคิดอยู่ว่า…จะฆ่าเจ้าอย่างไรดี!”
หลังจากตื่นตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เย่หยวนก็สงบจิตสงบใจลงได้ในทันทีสุดและยิ้มตอบว่า “เกรงว่าไม่มีทางทำได้! เข้ามา!”
เย่หยวนอีกคนแสยะยิ้มน่าสยดสยอง ทันทีทันใดร่างของเขาก็กระตุกวูบหายวับไปทันที
เกร๊งง!
เย่หยวนโบกมืออัญเชิญเรียกดาบพิชิตมารฟ้าออกมาพร้อมเข้าเผด็จศึกหนัก สองสุดขั้วการโจมตีเข้าปะทะต่อกรกันรุนแรง ทว่าทั้งหมดกลับใกล้เคียงเทียบเทียมจนสูสีมาก เย่หยวนที่เห็นผลลัพธ์เช่นนี้ได้แต่ตะลึงตื่นใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สยบดารา!
สิ่งที่เย่หยวนอีกคนใช้ต่อกรเขาคือ สยบดารา
ยิ่งไปกว่านั้น ผนวกกับความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ยามปลดปล่อยสยบดาราออกมา พลานุภาพกลับมิได้อ่อนด้อยไปกว่าเขาสักนิด! แม้แต่ดาบที่อีกฝ่ายใช้ยังจำลองมาจากดาบพิชิตมารฟ้าของตัวเขาเอง กล่าวได้ว่าเหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว! ไม่น่าแปลกใจที่ไฉนถึงถูกเรียกว่า ห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตาย เย่หยวนไร้ซึ่งความลับดั่งตัวเปลือยเปล่าต่อหน้าฝ่ายตรงข้าม
เพราะฝ่ายตรงข้ามก็คือตัวเขาเอง!
ศัตรูรูปแบบนี้เป็นภัยที่น่ากลัวที่สุดแล้ว!
“เหอะ สยบดาราของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? รสชาติดีเยี่ยมมิใช่น้อย? แต่ผ่อนคลายเถอะ ยังมีเรื่องน่าตกใจอีกมากรอเจ้าอยู่!”
เย่หยวนอีกคนระเบิดหัวเราะกล่าวลั่น “เหอะ ไม่คิดเลยว่าตัวข้าอีกคนหนึ่งจะเป็นพวกช่างพูดขนาดนี้!”
เย่หยวนส่ายหัวพลางถอนหายใจแช่ม “หุหุ เจ้าคงยังไม่เข้าใจอะไรเลยด้วยซ้ำ ข้ามิใช่ตัวเจ้า แต่ข้าเป็นแค่ตัวเจ้าอีกคน”
“เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าชนะแล้ว! เช่นนั้นช่วยแสดงให้ข้าเห็นที่ว่ามีอะไรให้น่าตกใจอีก?” เย่หยวนกล่าวเย้ย
“จัดให้ตามที่ขอ!”
วูบบ!
ทันใดนั้นคมดาบแยกออกเป็นสองเล่ม! สองร่างไสววูบเข้าปะทะต้านชนกันอย่างรุนแรง ต่อหน้าศึกสัประยุทธ์ระหว่างทั้งสอง ใครอ่อนหรือด้อยกว่ากลับยากที่จะพิจารณากล่าวถึง ทั้งคู่ต่างเข้าใจอีกฝ่ายดีเยี่ยมเกินไป! เล่ห์อุบายใดๆกลับใช้ไม่ได้ผลกับศึกในครั้งนี้เลย
ยิ่งเย่หยวนออกอาวุธสัประยุทธ์นานเข้า เขาก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น อีกฝ่ายไม่เพียงเลียนแบบความแข็งแกร่งของตัวเขาได้อย่างสมบูรณ์ แต่นั้นยังรวมไปถึงความมุ่งมั่นในการต่อสู้และไหวพริบสัญชาตญาณอีกด้วย!
ความเข้าใจต่อตัวเขาที่ชัดเจนเกินไปของฝ่ายตรงข้าม ทำให้กลยุทธ์ต่อสู้ทั้งหมดของเขาจำต้องประสบความล้มเหลวลงโดยสิ้น นี่คือคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังอย่างแท้จริง! ต่ออีกฝ่าย เย่หยวนมิใช่ทั้งได้เปรียบหรือเสียเปรียบ แต่เป็นความเท่าเทียมของพลังที่น่าอึดอัด คลื่นพลังทำลายล้างจากสองระลอกโจมตีกระจัดกระจายทั่วทุกหนแห่ง ผิวน้ำไร้ขอบเขตเกิดแรงสั่นสะเทือนหนักไม่หยุดหย่อน
“เห้ออ… เจ้าเด็กคนนี้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัวมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าคราวนี้อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีศัตรูคนใดน่ากลัวไปกว่าตัวเองอีกแล้ว! คิดค้นวิธีการเช่นนี้ขึ้นมาได้ตาเฒ่าจอมเทพนิรันดร์ก็ช่างสรรหาคิดขึ้นมา! หากเย่หยวนสามารถฝ่าฟันอุปสรรคครั้งนี้ได้จริงๆ เขาจะได้รับผลประโยชน์มากมายนับไม่ถ้วน!” หวูเฉินถอนหายใจเฮือกหนึ่งเผยแสดงหลายหลากอารมณ์
…
เช่นเดียวกับช่วงที่เย่หยวนฝึกปรืออยู่ในห้วงมิติบ่มเพาะแห่งความตาย ทั่วทุกมุมของดินแดนนภาบรรพตก็กำลังลุกเป็นไฟจากข่าวลือหนึ่ง
“เจ้าว่าอย่างไร? ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งวังเทวะรัตติกาลฉายเป็นผู้รุกรานต่างแดน?!”
“ก็อย่างที่ข้ากล่าวไป ในดินแดนนภาบรรพตมีที่ไหน เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าจะสามารถสังหารเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้? เว้นเสียว่ามาจากต่างดินแดน!”
“วังเทวะรัตติกาลฉายปล่อยปละละเลยให้ผู้บุกรุกต่างแดนขึ้นกลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดได้อย่างไร? ช่างน่าขันสิ้นดี!”
…
ภายใต้ข่าวที่แพร่กระจายออกไปโดยเจตนาของพวกวังเทวะสัมปรายภพ ไม่นานนักทั้งเจ็ดวังเทวะต่างรับทราบโดยทั่วกันอย่างรวดเร็วประดุจสายลมพัดผ่าน
ณ ปัจจุบัน สองคู่ศิษย์อาจารย์อย่างไป๋เฉินและโม่หยุนต่างวิตกหนักประดุจมดบนกระทะร้อน เดินวนไปมาสีหน้าการแสดงออกดูกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก แต่เย่หยวนยังคงอยู่ในระหว่างการเก็บตัวเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้งสองยิ่งกังวลใจหนัก อย่างไรก็ตามแต่ สุดท้ายนี้โม่หยุนก็มีประสบการณ์มากกว่า ยามเห็นท่าทีของไป๋เฉินตื่นตระหนกสุดขีดหาได้มีคลายอ่อนลง เขาจึงเอ่ยปากกล่าวขึ้นทันทีว่า
“ท่านประมุขวัง ยิ่งเป็นเช่นนี้จะน่าสงสัยเข้าไปใหญ่! ทางที่ดีเราควรสงบนิ่งไม่ร้อนตัว หากคนอื่นเห็นเข้าจะเป็นที่สงสัยก็เป็นได้!”
หลังจากที่โม่หยุนบริโภคโอสถที่เย่หยวนมอบให้ลงไป ไม่นานเขาก็เลื่อนระดับขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นได้สำเร็จ ปัจจุบัน เขากลายมาเป็นผู้อาวุโสในสภาอาวุโสลำดับที่เก้าแห่งวังเทวะรัตติกาลฉายได้แล้วโดยชอบธรรม ไป๋เฉินถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า “เรื่องนั้นข้าทราบดี แต่ข้าเป็นเช่นนี้ต่อหน้าท่านอาจารย์โม่หยุนเท่านั้น!”
โม่หยุนพยักหน้าตอบ ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่า ไป๋เฉินได้โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว
“เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นปัญหาใหญ่ แม้นต่อหน้าข้าท่านก็ไม่เคยแสดงอาการเช่นนี้ออกมา” โม่หยุนกล่าว
ไป๋เฉินผงกศีรษะและกล่าวพร้อมท่าทีไม่ค่อยพอใจว่า “แต่ข้าไม่เข้าใจเลย! เรื่องนี้มีเพียงข้ากับท่านเท่านั้นที่ทราบ แล้วไฉนข่าวนี้ถึงรั่วไหลออกไปได้? ทอดสายตาเสาะค้นทั่วดินแดนนภาบรรพตยังมีใครรู้ถึงตัวตนของท่านอาจารย์เย่อีก?”
โม่หยุนขมวดคิ้วถักแน่นและกล่าวว่า “เรื่องนี้กลับยากเกินจะกล่าว! แต่การที่สามารถกระจายข่าวออกไปจนถึงหูทั้งเจ็ดวังเทวะได้ในเวลาอันสั้น ขุมกำลังอีกฝ่ายจัดว่ามิอาจประเมินดูถูกได้เลย!”
ไป๋เฉินเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างเศร้าหมองใจ “เฮ้ออ! ข้ามิได้กังวลเรื่องข่าวลืออะไรพวกนั้นเลย แต่สิ่งที่ข้ากังวลจริงๆ คือ…ท่าทีของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์หลังจากนี้! ทางฝ่ายนั้นเฝ้าตรวจสอบเรื่องผู้รุกรานต่างแดนไม่ห่างตา เรื่องพรรคนี้ยากจะรอดพ้นหูตาของพวกเขา!”
ในขณะเดียวกันนั้นเอง สุ่มเสี่ยงของผู้ใต้บัญชาคนหนึ่งพลันเปล่งดังขึ้นจากด้านนอกประตู วิเคราะห์จากน้ำเสียงดูค่อนข้างร้อนรนมิใช่น้อย
“ท่านประมุขวัง! มีทูตจากวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์เดินทางเข้ามาขอพบ! ท่านรองประมุขวังจึงขอให้ท่านประมุขวังและผู้อาวุโสโม่หยุนออกไปต้อนรับเป็นการด่วน!” สีหน้าการแสดงออกของทั้งคู่เปลี่ยนไปในทันใด นี่แหละคือสิ่งที่พวกเขากังวลใจเป็นที่สุด และมันก็ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว!
แต่ใครจะไปคิดว่า ฝ่ายวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์จะอ่อนไหวกับเรื่องผู้รุกรานต่างแดนมากขนาดนี้ ถึงขั้นส่งทูตออกมาพิสูจน์เร็วทันควัน!
โม่หยุนสูดหายใจเข้าลึกๆและกล่าวกับไป๋เฉินว่า “ไม่ว่ายังไงพวกเราต้องห้ามเปิดเผยข้อมูลใดๆทั้งสิ้น! เราแสร้งทำเป็นไม่รู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และอย่าให้ทูตจับพิรุธได้โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นวังเทวะรัตติกาลฉายของเราคงดับสูญชั่วนิรันดร์เป็นแน่!”
สีหน้าท่าทีของไป๋เฉินดูจริงจังขึ้นทันทีหลายสวน ก่อนพยักหน้าตอบอย่างเคร่งขรึม ภายนอกวังเทวะรัตติกาลฉาย ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดอาภรณ์สีครามกำลังยืนเคว้งอยู่กลางนภากาศ สีหน้าการแสดงออกของเขาดูค่อนข้างเยือกเย็น มองปราดเดียวได้ทราบทันที เขาผู้นี้ชนชั้นยอดฝีมือ
ไป๋เฉินเข้ารวมกลุ่มกับไป๋ซิ่วและผู้อาวุโสคนอื่นๆ จนกลายเป็นกลุ่มเซียนอาณาจักรพระเจ้ากลุ่มใหญ่ พวกเขาตรงออกไปหาชายวัยกลางคนผู้นั้นและก้มศีรษะแสดงความเคารพทันที
“ประมุขวังเทวะรัตติกาลฉาย ไป๋เฉิน คาราวะท่านทูต!”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นเค้นเสียงตอบรับอย่างแผ่วเบาและเอ่ยปากกล่าวขึ้นอย่างแช่มช้าว่า “เราทูตผู้นี้มีนามว่า เหลยต้วน เดินทางมายังวังเทวะรัตติกาลฉายภายใต้คำสั่งของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ เพื่อตรวจสอบผู้อาวุโสสูงสุดแห่งวังเทวะรัตติกาลฉายนามเย่หยวนโดยละเอียด เอาล่ะ…พาข้าไปหาเขาเดี๋ยวนี้!”
…………………………………