ณ ห้องโถงใหญ่ ดวงตาคู่หนึ่งเปล่งแสงเปิดออกอย่างแช่มช้า ทูตเหลยต้วน ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น
“นี่ก็หนึ่งชั่วยามแล้ว ดูเหมือนว่า…พวกเจ้าจะวางแผนไม่ยอมส่งมอบตัวเย่หยวนให้แต่โดยดี! ก็ดี! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราท่านทูตจะเชิญเขาออกมาเอง!” เหลยต้วนไม่เอ่ยปากอธิบายอะไรอีกพร้อมก้าวแช่มออกจากโถงใหญ่ไปโดยตรง วังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือกลุ่มอำนาจใดทั้งปวงตั้งแต่กาลอดีต พวกเขาไม่สนใจว่าระหว่างวังเทวะจะเปิดศึกสมรภูมิขบเคี้ยวกันเพียงใด พวกเขาปล่อยให้ต่างฝ่ายต่างพัฒนาวางแผนกันเองโดยไม่จำกัด ไม่รู้นานแค่ไหนแล้วที่ทางวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ส่งทูตลงมาเหยียบย่างบนโลกภายนอกเช่นนี้
แต่ทุกคนก็ไม่คิดเลยว่า ทูตผู้นี้จะเอาแต่ใจเป็นอย่างมาก
การขัดจังหวะระหว่างการบ่มเพาะพลังเก็บตัวของคนอื่นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่งสำหรับนักสู้ด้วยกัน เป็นเรื่องต้องห้ามใหญ่หลวงคล้ายสังหารบิดามารดาก็ไม่ปาน เพราะอุบัติเหตุเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำลายเส้นทางการบ่มเพาะพลังของผู้อื่นได้ตลอดชั่วชีวิต!
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามแต่ พวกเขาไม่เต็มใจยอมเสี่ยงต่ออุบัติเหตุร้ายแรงเช่นนี้เป็นแน่ โดยเฉพาะขัดขวางการเก็บตัวครั้งสำคัญของเย่หยวน แม้บุคคลนั้นจะเป็นถึงท่านทูตที่วังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ส่งมาก็ตาม
“หื้ม?”
เหลยต้วนมุ่นคิ้วเล็กน้อยพร้อมช้อนสายตาจับจ้องไปที่ไป๋เฉินที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้า
เจ้าเด็กน้อยคนนี้มันกล้าขวางทางเขาจริงๆ
“เจ้าคิดพันความตายนักรึ? เราท่านทูตได้รับคำสั่งจากวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์โดยตรงให้มาตรวจสอบ นี่เป็นภารกิจที่ข้าพึงกระทำ แม้เจ้าจะเป็นถึงประมุขวังเทวะ แต่อย่าคิดว่าข้าจะไม่สามารถสังหารเจ้าได้!” เหลยต้วนหรี่ตาแคบปลดปล่อยกลิ่นอายอันทรงพลังหอบหนึ่งอัดกระแทกใส่ไป๋เฉิน
ทั่วกายาของไป๋เฉินสั่นสะท้านหนักจนร่นถอยกลับไปหลายก้าว ก่อนจะพยายามทรงตัวยืนหยัดอย่างมั่นคง อาการบาดเจ็บจากแรงกดดันหอบใหญ่เมื่อครู่เกรงว่าสุดระงับ ปรากฏธารเลือดสดไหลออกมาจากมุมปากของเขาสายหนึ่ง
ทว่าเขากลับไม่สนใจอาการบาดเจ็บเหล่านี้แม้สักนิด และประสานมือกล่าวกับเหลยต้วนว่า “ท่านทูตโปรดระงับโทสะ! ไป๋เฉินไม่เคยมีเจตนาคิดท้าทายท่านหรือวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด เพียงว่าผู้อาวุโสสูงสุดคนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อวังเทวะรัตติกาลฉายของเรา หากท่านทูตเข้าไปขัดจังหวะในตอนที่เขาอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ อาจกล่าวได้ว่าเป็นความหายนะต่อวังเทวะรัตติกาลฉายครั้งใหญ่หลวง ไป๋เฉินขอร้องให้ท่านทูตพักแรมที่นี่สักสามคืน หรือไม่สะดวกใจค้าง ทางเราจะมอบเครื่องรางสื่อสารติดตัวท่านไป เมื่อผู้อาวุโสสสูงสุดออกจากการเก็บตัวแล้ว ข้าจะส่งข้อความไปเรียกท่านมาอย่างแน่นอน!”
เดิมทีโม่หยุนเองก็ตั้งใจที่จะออกไปขวางเช่นกัน และเขาเองก็เตรียมตัวพร้อมไว้แล้ว แต่ไม่คิดฝันเลยว่า กลับเป็นไป๋เฉินเองที่ออกตัวไปขวางและกล่าวเช่นนี้จริงๆ ดูเหมือนว่านายน้อยของเขาจะเติบโตขึ้นแล้วในที่สุด!
“หลบไป!”
อย่างไรก็ตามแต่เหลยต้วนกลับไม่ลงรอยคล้อยตาม เขาตะคอกเสียงสุขุมใส่ไป๋เฉินไปคำโต สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินแปรเปลี่ยนไปทันที เขาคาดไม่ถึงเลยว่าทูตคนนี้จะไร้เหตุผลอย่างมาก
“หากเขาปลีกวิเวกเก็บตัวเป็นเวลาร้อยปี เราท่านทูตคงไม่ต้องรออีกไปร้อยปีตามด้วยรึ? ข้ามิได้มีเวลาว่างขนาดนั้น! หลบไป! หากยังไม่หลบก็อย่าคิดตำหนิเราผู้นี้!” เหลยต้วนกรนเสียงเย็นใส่
พินิจจากสีหน้าของไป๋เฉิน เขาดูไม่เต็มใจแม้สักนิด แต่ก็ทราบเช่นกันว่าต่อหน้าทูตคนนี้ เขาไม่สามารถทำให้โกรธเคืองได้ มิฉะนั้นผลที่ตามมาอาจมีราคาหนักเกินไปจนแม้แต่วังเทวะรัตติกาลฉายก็มิอาจจ่ายไหว หากเป็นเขาคนเดียวที่ตาย มีหรือไป๋เฉินจะยอมถอย? แต่เรื่องนี้มันพัวพันกับชีวิตทุกคน
ณ ปัจจุบันเขาคือประมุขวังเทวะรัตติกาลฉาย ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนของทุกคนในวังเทวะรัตติกาลฉาย ทุกการตัดสินใจจะมีผลต่อทุกคนโดยตรง
“เข้าใจแล้ว…” ในที่สุดไป๋เฉินก็ยอมเปิดทางให้
“หึ!” เหลยต้วนเค้นเสียงเย็นร้องหึคำโต ก่อนสะบัดแขนเสื้อเดินผ่านหน้าไป๋เฉินออกไป
โม่หยุนลุกขึ้นเดินมาตบไหล่ไป๋เฉินพลางเอ่ยปลอบว่า “ตามไปดูกันเถอะ! บางทีสถานการณ์อาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด”
ไป๋เฉินพยักหน้าคล้ายไม่เต็มใจนัก แต่ก็ช่วยไม่ได้และต้องทำตามที่ว่ากล่าว
…
“นี่คือห้องที่เย่หยวนเก็บตัว?”
“เรียนท่านทูต ท่านเข้าใจถูกแล้ว แต่เอ่อ…”
ขณะไป๋ซิ่วกำลังจะกล่าวโน้มน้าวอีกฝ่าย แต่เหลยต้วนพลันยกมือขัดขึ้นเสียก่อน
“นี่คือคำสั่งโดยตรงจากวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ท้าทายได้! หากเขาเป็นผู้บุกรุกจากต่างแดนจริงๆ พวกเจ้าสามารถแบกรับความรับผิดชอบต่อผู้คนทั่วทั้งดินแดนนภาบรรพตไหวหรือไม่? ส่วนที่ว่าจะบ่มเพาะพลังสำเร็จหรือไม่ สุดแท้แล้วแต่โชคชะตาของเขา!” สุ่มเสียงของเหลยต้วนปราศจากความเห็นใจแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่า วิสัยทัศน์ของทูตท่านนี้มองในมุมส่วนรวมมากกว่า
ในเวลานั้นเอง รัศมีสุดแกร่งกล้าพลันปะทุเดือดขึ้นจากร่างเหลยต้วนอย่างรวดเร็ว พร้อมตบฝ่ามืออัดกระแทกตรงใส่ประตูสุดแรง ทั้งไป๋เฉินและคนอื่นๆหัวใจเต้นกระหน่ำแทบหลุดจากเบ้าคอ พวกเขาแต่ละคนเจียนที่จะกระโจนเข้าไปขวางฝ่ามือนั้นแทนเสียเหลือเกิน
ฝ่ามือนี้ทรงพลังอย่างแท้จริง แม้แต่ค่ายกลที่ตั้งสกัดไว้โดยรอบห้องเก็บตัวของเย่หยวนยังมิอาจต้านทานได้เช่นกัน
บูมมม!
ฝ่ามือนี้เข้าทลายค่ายกลป้องกันโดยรอบไม่เหลือ
แต่ ณ ขณะเดียวกันพลันปรากฏรัศมีศักดิ์สิทธิ์เจิดจรัสอย่างหาที่เปรียบไม่พวยพุ่งออกมา ปกคลุมทั่วทั้งบริเวณคล้ายเกิดแรงกระตุ้นจนทุกคนแทบก้มกราบไหว้
“พร๊วดดด!”
ร่างของเหลยต้วนราวกับถูกของหนักพันตันอัดกระแทกอย่างจัง ส่งเขาบินกระเด็นออกไปพร้อมกระอักพ่นโลหิตเป็นไอหมอกฟุ้งกระจาย คล้อยหลังเขาหมดสติไปทันที
ทุกคนต่างจับจ้องภาพฉากนี้ลูกตาเจียนถลนตะลึงงันกันเป็นแถว มิอาจทราบเลยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รัศมีศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายจากบนท้องฟ้าเข้าห่อหุ้มปกคลุมห้องบ่มเกาะเก็บตัวไว้ทั้งหมด
“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? รัศมีศักดิ์สิทธิ์จากภายในห้องบ่มเพาะคืออันใด? ไฉนกลับสร้างแรงกระตุ้นให้ข้าต้องคุกเข่าได้ขนาดนี้?”
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ท่านเย่หยวนคนนี้จะเป็นบุตรแห่งเทพในตำนาน? แล้วท่านทูตผู้นี้ก็เพิ่งไปลบหลู่กวนสมาธิของเขา?”
“แต่ท่านเย่หยวนกำลังบ่มเพาะพลังอะไรกันแน่? ช่างน่าเกรงขามเกินไปแล้ว! ยามใดที่เขาเลื่อนระดับขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้สำเร็จ เหล่าเซียนในระดับเดียวกันล้วนไม่มีผู้ใดเข้าคู่ได้แน่นอน!”
….
เมื่อเห็นเหลยต้วนนอนหมดสติอยู่บนพื้นไปเช่นนั้น ไม่รู้เหตุใดไป๋เฉินจึงรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
‘ชายคนนี้เอาแต่ใจสักแต่สร้างปัญหา สุดท้ายก็ซวยเพราะตัวเองโดยแท้! ฮ่าๆๆ ท่านอาจารย์เย่หยวนก็ยังคงเป็นท่านอาจารย์เย่วันยังค่ำ ไม่สามารถคาดการณ์ได้ด้วยจิตสำนึกจริงๆ!’
ไม่นานนักลำแสงศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นก็จางหายไป ทุกอย่างกลับมาปกติดังเดิม
เอี๊ยด…
เสียงประตูจากห้องด้านในอีกชั้นหนึ่งถูกเปิดขึ้น เย่หยวนก้าวย่างอย่างแช่มช้าเดินตรงออกมา
ทันทีที่เห็นเย่หยวนปรากฏตัวขึ้น เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าจำนวนมากที่ยืนเฝ้าคอยแทบพังทลายลงทันที เสมือนว่ากำลังมีหุบเขาไท่กำลังบดขยี้ลงมาเจียนหายใจหายคอไม่ออก ยังคงมีร่องรอยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมอยู่บนร่างกายของเย่หยวน ซึ่งนี่เหมือนกับลำแสงที่ส่องลงมาจากท้องฟ้าไม่ผิดเพี้ยน!
เมื่อเห็นผู้คนมากมายมายืนเฝ้ารวมตัวอยู่หน้าห้องเช่นนี้ เย่หยวนจึงเอ่ยถามด้วยความงุนงงว่า
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
ไป๋เฉินเป็นคนแรกที่ตรงมาหาเย่หยวนก่อนและเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเร็วๆนี้ให้ฟัง พอรับทราบเรื่องราวทั้งหมด เย่หยวนพลันย่นคิ้วขึ้นเล็กน้อย ข่าวลือนี้ต่อแพร่กระจายออกไปโดยใครบางคนอย่างชัดเจน!
ทันทีทันใดเย่หยวนก็นึกถึงหลากหลายความเป็นไปได้ขึ้นมาโดยไว เย่หยวนรู้จักในตัวไป๋เฉินดี อย่างน้อยก็ไม่เป็นสองรองใคร ดังนั้นคนอย่างไป๋เฉินไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้แน่นอน หรือว่าจะเป็นโม่หยุน?
ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือฝ่ายวังเทวะพิรุณร่วงโรยก็มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก แม้วังเทวะพิรุณร่วงโรยจะพ่ายศึกใหญ่ และจงใจปล่อยข่าวปลอมออกไปเพื่อชะลอทัพของอีกฝ่ายเอาไว้ แต่นั่นก็ยากจะเป็นไปได้จริงๆ เพราะข่าวลือนี้หาใช่เรื่องแต่ง แต่มันเป็นเรื่องจริง!
แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อีกหนึ่งข้อคือ มีใครบางคนรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา และจงใจปล่อยข่าวออกไป หวังต้องการหยิบยืมขุมกำลังของดินแดนนภาบรรพตเพื่อกำจัดเขา! ไม่ว่าจะเป็นทางใด มันกลับมีความเป็นไปได้ทั้งหมดหรือว่า…จะมีใครบางคนจากสถานศึกษาหวูเมิ่งเดินทางเข้ามาในดินแดนนภาบรรพตด้วย? นี่มีความเป็นไปได้! ตระกูลฉินมีอิทธิพลค่อนข้างมากภายในสถานศึกษาหวูเมิ่ง เมื่อพวกมันทราบว่าเขาเดินทางมาทำภารกิจอยู่ในดินแดนนภาบรรพต เช่นนั้นจึงส่งคนเข้ามาจัดการเขาโดยมิให้รู้ตัว!
เย่หยวนแลมองไปหาไป๋เฉิน หัวคิ้วขมวดแน่นเป็นปมพร้อมกล่าวว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บรึ?”
จากนั้นก็เหลือบสายตาจับจ้องไปที่เหลยต้วนที่กำลังนอนหมดสติอยู่บนพื้น ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เป็นฝีมือของชายคนนี้?”
…………………………………