บูมมม!
ร่างของฉินเทียนพุ่งทะลวงออกมาจากซากกำแพงหินพร้อมใบหน้าแสนเศร้าหมอง
“นี่เพิ่งผ่านไปนานเพียงใด? ไฉนเพลงดาบของเจ้าบ้านั้นพัฒนาขึ้นอีกแล้ว! หากมิใช่เพราะข้าสวมเกราะอ่อนวิหคสวรรค์ ปานนี้ข้าคงชะตาขาดนานแล้ว!”
ฉินเทียนกัดฟันกล่าวขึ้นด้วยความโกรธ
อานุภาพทำลายล้างของจันทร์สลายช่างอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
หากมิใช่เพราะอาณาจักรพลังของตนที่สูงกว่าเย่หยวนมาก ผนวกกับเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำอย่างเกราะอ่อนวิหคสวรรค์ ตัวฉินเทียนคงกลายเป็นศพไปแล้ว!
ฉินเทียนยังเข้าใจว่า ไพ่ตายของเย่หยวนมีเพียงสยบดาราเท่านั้น
แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าศาสตร์แห่งดาบของเย่หยวนจะทะลวงขึ้นสู่ชั้นสวรรค์ระดับสองไปแล้ว ทั้งยังคิดค้นกระบวนท่าใหม่ออกมาอีก
จันทร์สลาย กระบวนดาบนี้มันทรงพลังเกินไป!
แม้ว่าฉินเทียนจจะสวมชุดเกราะอ่อนวิหคสวรรค์ แต่อวัยวะภายในของเขาตอนนี้บอบช้ำหนักเช่นกัน ซึ่งกว่าจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง
แต่คมดาบนั้นของเย่หยวนก็หนักเกินไปจริงๆ อาการบาดเจ็บในปัจุบันของเขาค่อนข้างสาหัส
“ข้าปล่อยให้เย่หยวนอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว! ความเร็วในการพัฒนาของเจ้านั้นเร็วเกินไปมาก! จนยามนี้มันมีกำลังมากพอที่จะคุกคามสร้างภัยให้ข้าแล้ว! หากให้เวลามันอีกไม่กี่ปี เกรงว่าข้าจะหาใช่คู่มือของมันอีกต่อไป!”
ฉินเทียนดูโหดเหี้ยมขึ้นหลายขุม ขณะกำลังจะไล่ล่าตามเย่หยวนไป เหล่าคนที่เหลือก็หลบหนีมาถึงที่นี่พอดี
สีหน้าการแสดงออกของฉินเทียนเปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะผู้ที่เข้ามาขัดขวางเส้นทางหาใช่ใครอื่นนอกจากต้วนเฟย!
เสียงหายใจยามนี้ของต้วนเฟยหอบตระหนี่ดูยุ่งเหยิงไปหมด ใบหน้ากว่าครึ่งของเขาถูกเผาจนเนื้อหนังกรอบ ดูน่าสยดสยองอย่างหาที่เปรียบไม่
“ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่า จะมีผู้บุกรุกที่แอบแฝงตัวเข้ามาเป็นประมุขวังเทวะสัมปรายภพเช่นนี้ เตรียมตัวตาย!”
ก่อนหน้านี้ฉินเทียนปกปิดกลิ่นอายของตนมาโดยตลอด แม้กระทั่งต้วนเฟยก็ยังมิอาจตรวจจับได้
ทว่าตอนนี้อาการบาดเจ็บของฉินเทียนยังไม่ฟื้นตัวดี จึงไม่สามารถเก็บซ่อนกลิ่นอายของตนได้มิดชิดพอ
โชคยังดีที่อาการบาดเบของต้วนเฟยสาหัสกว่าเขามาก ตอนนี้อีกฝ่ายสามารถสำแดงพลังได้เพียงสองจากสิบส่วนเท่านั้น
ความแข็งแกร่งของฉินเทียนในปัจจุบันเหนือชั้นกว่าที่เขาคิดไว้มาก!
หากมิใช่เพราะฉินเทียนถูกศาสตร์แห่งสวรรค์ของดินแดนนี้ปฏิเสธ เขาก็แกร่งกล้าพอที่จะต่อกรจวบจนฆ่าอีกฝ่ายได้เลย
อย่างไรก็ตามแต่ต้วนเฟยก็มิได้ทำให้ผิดหวัง เขางัดเอาไพ่เด็ดต่างๆนาๆออกมาสู้รบปรบมือจนยืดเวลาการต่อสู้ได้นานขึ้น
หลังศึกสัประยุทธ์เดือด อาการบาดเจ็บของทั้งสองกลับแย่ลงยิ่งกว่าเดิม หัวฉินเทียนในขณะนี้แทบลุกเป็นไฟด้วยความวิตกกังวล
เขาไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองต้องจำนนก่อนจะได้ฆ่าเย่หยวนแน่นอน
“หยุด! เลิกตีกันได้แล้ว!”
ทันใดนั้นเองฉินเทียนก็โพล่งคำรามดังขึ้น
“หึ! เจ้าบอกให้เลิกตีกัน? แล้วยังสั่งให้หยุดอีก? ดินแดนนภาบรรพตของเรามีกฎสังหารผู้บุกรุกได้ไร้ปรานี! ตอนนี้เจ้ากล้าลอบเข้ามาในซากอักขระเทวะ หรือเป็นไปได้ไหมว่า ข้าจะยอมปล่อยเจ้าออกไปเฉยๆ?”
ต้วนเฟยผู้นี้ก็ดื้อรั้นเฉกเช่นกัน ศึกสัประยุทธ์ยาวนานปานนี้ จะยอมปล่อยฉินเทียนไปง่ายๆได้อย่างไร?
“ข้ามาที่นี่เพื่อฆ่าเย่หยวน หาได้สนใจเรื่องรุกรานดินแดนนภาบรรพตของพวกเจ้าเลย! ตอนนี้มันต่างเป็นศัตรูร่วมด้วยของพวกเรา! หากพวกเราทั้งคู่ตีกันเองจนบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ มันเห็นคงไม่หัวเราะจนขาดใจ?”
สีหน้าท่าทีของต้วนเฟยมืดทมิฬลงทันที และตามที่คาดไว้ เขาร่นถอยออกมาทันทีและหยุดมือฉับพลัน
“นี่หมายความอย่างไรกัน?”
ต้วนเฟยเอ่ยถามน้ำเสียงขรึม
ฉินเทียนยิ้มและกล่าวตอบว่า
“เย่หยวนมันเป็นศิษย์น้องเล็กของข้า เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
สีหน้าการแสดงออกของต้วนเฟยแปรเปลี่ยนในทันใด
“เป็นไปไม่ได้! เหลยต้วนเคยใช้ศาลไท่ลู่ตรวจสอบโลหิตของเขามาก่อน และเขาเองก็เป็นคนของดินแดนนภาบรรพต ทั้งยังเป็นสายเลือดที่บริสุทธิ์มากอีกด้วย! แล้วเขาจจะเป็นศิษย์น้องเล็กของเจ้าได้อย่างไร?”
ฉินเทียนครืนหัวเราะคำหนึ่งและกล่าวตอบว่า
“เหอะ เจ้านั้นมีลู่ทางวิธีการเพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริง แม้แต่ข้าที่ได้ยินผลลัพธ์เช่นนั้นยังประหลาดใจอย่างยิ่งเช่นกัน! ศิษย์น้องคนนั้น เวลาทำอะไรสักอย่างมักมิอาจใช้สามัญสำนึกวัดได้! มันควรจะต้องมีสมบัติล้ำค่าสักชนิดที่เราไม่รู้จักจึงสามารถปลอมแปลงได้ยันสายเลือด!”
สีหน้าของต้วนเฟยมืดขรึมลงหลายส่วน เขาเอ่ยถามว่า
“ไฉนเราชายชราต้องเชื่อเจ้า? มีหลักฐานใดอื่นหรือไม่?”
ฉินเทียนกล่าวตอบเสียงเยียบเย็นว่า
“แน่นอนว่าต้องมี! เจ้าลองคิดดูสิว่า บนดินแดนนภาบรรพตจู่ๆจะมีเซียนอาณาจักรพระเจ้าที่อายุน้อยขนาดนี้ ทั้งยังทรงพลังจนต่อสู้ข้ามระดับได้อย่างไร? มันไม่แปลกเกินไปหน่อยรึ?”
ต้วนเฟยปิดปากเงียบในบัดดล สิ่งที่ฉินเทียนกล่าวไปก็ล้วนถูกต้อง
ไม่ว่าจะมองอย่างไร การที่ยอดอัจฉริยะระดับนั้นจะหลุดรอดสายตาของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์จวบจนปัจจุบัน มันย่อมเป็นไปไม่ได้!
“ตกลง ข้าจะร่วมมือกับเจ้า แต่สมบัติที่มันถือครองต้องเป็นของข้า!”
ต้วนเฟยเอ่ยปากเสียงเข้ม
ฉินเทียนปรายตามองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวน้ำเสียงเย็นว่า
“เจ้ากับข้าล้วนเป็นคนฉลาดหัวไว อย่ามากเล่ห์เหลี่ยมเสแสร้งใส่กัน! หากเย่หยวนมีสมบัติล้ำค่าติดตัวอยู่จริงๆ ข้าเองย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือเช่นกัน! เมื่อถึงตอนนั้นต้องขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีความสามารถกว่ากัน! เรื่องนี้ต้องรีบจัดการเบ็ดเสร็จ ความแกร่งกล้าของมันไม่ธรรมดา อย่าดูถูกเพียงเพราะอาณาจักรพลังของมันต่ำ!”
สีหน้าการแสดงออกของต้วนเฟยส่ายแววเอาจริงเอาจัง เขาพยักหน้าตอบทันที
…
“หากการคำนวณของข้ามิได้ผิดไป เจ้านั้นน่าจะสวมเกราะอ่อนหรือเครื่องป้องกันอะไรสักอย่าง ระดับชั้นน่าจะไม่ต่ำกว่าเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำ! เหอะ ข้าควรคิดถึงจุดนี้ได้นานแล้ว!”
เย่หยวนคำรามลั่นหนึ่งคำด้วยความเจ็บใจเจือโกรธเกรี้ยว
แต่ไป๋เฉินกยังกล่าวให้กำลังใจว่า
“ท่านอาจารย์เย่น่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง! ท่านเกือบจะสังหารยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าครึ่งขั้นได้แล้ว! กระทั่งข้ายังไม่กล้าแม้แต่จะคิด!”
เย่หยวนยิ้มกล่าวว่า
“ต่อให้เป็นยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า แต่มันก็คนเหมือนกันและทุกคนย่อมมีจุดอ่อน! และไม่เคยมีกฎว่าเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าหรือต่ำกว่าจะไม่มีสิทธิ์ฆ่าพวกนั้นได้! ในความเป็นจริง ขึ้นชื่อว่าการต่อสูยอมมีความเป็นความตายเป็นตัวเดิมพัน! หาได้เกี่ยวข้องกับอาณาจักรพลัง! ไป๋ซิ่ว ข้าขอสัญญาเลยวา ข้าจะแก้แค้นแทนไป๋หรงที่ตายไปเอง!”
ทั่วร่างไป๋ซิ่วสั่นสะท้าน เขากัดฟันกล่าววา
“ผู้อาวุโสสูงสุด ข้า…ข้าผิดเอง! ตอนนี้ท่านบาดเจ็บสาหัสนัก อย่าได้เสี่ยงชีวิตออกไปอีกเลย หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านจริงๆ ไป๋ซิ่วคนนี้คงไม่มีวันให้อภัยตัวเองอีกแน่นอน แม้นต้องตายเป็นร้อยครั้ง!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“เนื่องจากเจ้ารู้จักตัวตนที่แท้จริงของข้าแล้ว เช่นนั้นก็อย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสสูงสุดอีกเลย!”
เมื่อทุกคนได้ฟังดังนั้น แต่ละคนก็โพล่งตัวขึ้นมาและกำลังจะกล่าวตอบ แต่เย่หยวนกลับยกมือหยุดเอาไว้และกล่าวต่อว่า
“เป้าหมายที่ข้ามายังดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้ก็เพื่อศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ ตราบใดที่ข้าได้มันมาครอบครอง ข้าก็จะจากไปทันที ตอนนี้ไม่มีทางออกใดอื่นหลงเหลืออีกแล้ว นอกจากเดินสำรวจต่อไป และข้าจะพยายามเต็มที่เพื่อชวยพวกเจ้าเสาะหาสมบัติล้ำค่าชิ้นอื่นๆให้ อย่างน้อยในอนาคตต่อไปข้าจะได้ว่าใจว่า พวกเจ้ามีขุมพลังแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้ นอกจากนั้นคงไม่มีอันใดต้องกล่าวกันอีกแล้ว”
โดยไม่ทันได้รู้ตัว พวกเขาทุกคนด็เคยชินแล้วกับการที่ต้องพึ่งพาเย่หยวนเป็นหลัก
กล่าวตามสัตย์จริง ตอนนี้ไม่มีใครเต็มใจที่จะแยกทางกับเย่หยวนจริงๆในอนาคตต่อไป
แต่พวกเขาเองก็เป็นคนของดินแดนนภาบรรพตโดยกำเนิด ย่อมทราบดีว่าผู้บุกรุกหมายถึงอะไร และหากให้ความร่วมมือก็ไม่ต่างอะไรกับคนทรยศเลย
ถึงแบบนั้น พวกเขากลับไม่รู้สึกคิดต่อต้านเย่หยวนคนนี้แม้สักนิด
ผู้บุกรุกคนนี้ช่วยเหลือพวกเขาสร้างบุญคุณจนล้นเหลือ กระทั่งถูกไป๋ซิ่วบันดาลโทสะตบฝ่ามือเข้าใส่ เขายังไม่ตอบโต้อันใดคืน
แต่ต้วนเฟยของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์นี่สิ?
ไม่เพียงแค่เย่หยวน แต่เขาต้องการทำให้วังเทวะรัตติกาลฉายพังพินาศ!
ตอนนี้เหล่าฝูงชนเชื่อมั่นหรือต่อต้านมากกว่า มันชัดเจนดีอยู่แล้ว
“แต่ตรงหน้ามีประตูตั้งแปดบาน เราควรเลือกประตูไหนดี?”
ไป๋เฉินเอ่ยถามอย่างอดมิได้
เย่หยวนค่อยๆพยึงตัวขึ้นลุกยืนและกล่าวว่า
“ตามข้ามา”
จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในประตูบานหนึ่งทันทีโดยไม่มีลังเล
ทุกคนต่างเร่งสบตากันไปมาและติดตามเข้าไปทันที
นี่เป็นเส้นทางทอดยามที่อับแสงมีแต่ความมืดมิด ไม่สามารถมองเห็นทางด้านหน้าได้เลยแม้แต่น้อย
ทุกคนยังคงเดินและเดินต่อไป ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด แต่ยามนี้ทุกคนต่างพล่าเบลอฉับพลัน พร้อมอุณหภูมิที่สูงขึ้นจนน่าสะพรึง
เบื้องหน้าคือโถงขนาดมหึมา และใต้ฝ่าเท้าของทุกคนเป็นบ่อหินหนืดไร้สิ้นสุด!
บริเวณใจกลางรอบล้อมด้วยบ่อหินหนืด ปรากฎเป็นเกาะตั้งลอยอยู่โดดเดี่ยวเหนือบ่อหินหนืดเหล่านั้น
และบนเกาะปรากฎบางสิ่งบานสะพรั่งมากมายหลากสีสัน!
“นั่น…นั่นมัน…”
เย่หยวนจับจองไปยังผลไม้ลูกนั้นด้วยความตกตะลึงใจสุดเหลือเชื่อยิ่ง
…………………………………