“ท่านประมุขหอห่าน คราวนี้เย่หยวนทำเกินไปจริงๆ เราชายชรา…เฮ้อ!”
เหวินอี้หยางถอนหายใจเฮือกใหญ่ โดยไม่รู้ว่าตนเองควรทำอย่างไรต่อไป
เมื่อเขาได้ยินว่าเย่หยวนสังหารอัจฉริยะของสถานศึกษารวดเดียวห้าคน เขาเองก็พูดไม่ออกไปเป็นเวลานาน
กล่าวตามตรง ศิษย์ยามเย่หยวนคนนี้ทรงศักยภาพเกินไป!
แต่ผืนพิภพแห่งนี้หาได้เรียบง่ายดั่งพื้นผิว
หากเหวินอี้หยางไม่ออกโรงเอง เกรงว่าเป็นเรื่องยากในการจัดการแก้ไขปัญหา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตระกูลฉิน แรงกดดันของฝ่ายนี้ที่มีต่อสถานศึกษากลับมีไม่น้อย
ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นถึงสามคนออกโรงพร้อมกัน แม้แต่ห่านเทียนยังรู้สึกกดดันเกินพรรณนา
ห่านเทียนตระหนักดีถึงปัญหาที่เย่หยวนก่อขึ้นในวันนี้ แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้เช่นกัน
สี่ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นหันหน้าเข้าเผชิญกัน ภาพฉากสุดยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นครั้งล่าสุดกี่ร้อยปีแล้ว
ฉินจ้าวหยุนเหลือบมองไปที่ห่านเทียนด้วยสายตาสุดเดือดดาล เค้นเสียงเย็นกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าเด็กนี้เห็นชีวิตของศิษย์สหายเป็นผักปลา แม้เขาจะเป็นอาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติก็ตาม แต่ก่อจลาจลต่อหน้าสาธารณชน! วันนี้มันต้องตาย! หากหอมหาสมบัติยังกล้าปกป้องมัน เกรงว่าต่อไปคงอยู่ในเมืองหลวงหวูเมิ่งยากแล้ว!”
จ่าวอี้ที่ปิดปากเงียบมาโดยตลอด ยามนี้เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า
“เย่หยวนฆ่าคนบริสุทธิ์ไม่เลือกหน้า นี่ถือว่าท้าทายศักดิ์ศรีของตำหนักเจ้าเมือง!”
สีหน้าการแสดงออกของห่านเทียนบิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ เขาถูกบังคับไล่ต้อนไปยังขอบหน้าผาแล้ว ยามนี้ขี่อยู่บนหลังเสือ กลับยากที่จะลงมา
เย่หยวนตบโอสถเม็ดหนึ่งเข้าปากเพื่อระงับอาการบาดเจ็บภายใน ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นเงยหน้าขึ้นฟ้า และระเบิดหัวเราะลั่นพลางกล่าวว่า
“ช่างสรรหาคำพูดได้ดี! ฆ่าคนบริสุทธิ์ไม่เลือกหน้า! เห็นชีวิตศิษย์สหายเป็นผักปลา? เจ้าท้วมสหายข้าต้องกลายเป็นคนพิการเพราะพวกมันทั้งห้า ตอนนั้นพวกเจ้าอยู่ที่ไหน? ฉินเทียนละเมิดกฎ ไม่สนใจทำตามกติกาและไล่ล่าหวังสังหารข้าในงานชุมนุมร้อยเมือง เหล่าศิษย์สาวกของพวกเจ้าไปอยู่ที่ไหน? ข้ากลายเป็นวีรบุรุษนำชัยชนะมาสู่เมืองหลวงหวูเมิ่ง นำโอสถศักดิ์สิทธิ์สี่ดาวมาให้ท่านเจ้าเมือง แต่กลับตอบแทนข้าโดยการยัดสินบนปิดปากข้า แถมยังไม่เอาเรื่องพวกที่ไล่ล่าข้าอีก? หวาดกลัวพวกมันจนหัวหดไร้ศักดิ์ศรี! วันนี้ข้า เย่หยวนขอยุติความสัมพันธ์ทั้งหมดกับสถานศึกษาหวูเมิ่ง!”
เย่หยวนยืนตระหง่านอยู่เช่นนั้นอย่างภาคภูมิเผชิญหน้ากับเหล่ายอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นทั้งสามโดยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
ตำหนักเจ้าเมืองและสถานศึกษาหวูเมิ่งก้าวออกมาอยู่ตรงข้ามกันเขาอย่างพร้อมเพรียง นี่เกินพอแล้วสำหรับทัศนคติของท่านเจ้าเมืองว่าอยู่ฝ่ายใด
การปรากฏคตัวของจ่าวอี้และเหวินอี้หยาง ทำให้โซ่ตรวณเส้นสุดท้ายระหว่างเย่หยวนและสถานศึกษาหวูเมิ่งขาดสะบั้นลง
เขาทำเพื่อสถานศึกษาหวูเมิ่งมามากพอแล้ว
เขามิได้ติดหนี้อะไรกับสถานศึกษาหวูเมิ่งอีกต่อไป
ในทางตรงกันข้าม แต่ละสิ่งที่สถานศึกษาหวูเมิ่งทำกลับทำให้เขาผิดหวังอย่างที่สุด
“ปรากฏว่าสิ่งที่ตระกูลฉินลงมือต่อเย่หยวนกลับชั่วช้าเกินไป ไม่น่าแปลกที่เย่หยวนจะขุ่นเคืองและไล่ฆ่าศิษย์สาวกคนอื่นเช่นนี้ ทั้งหมดที่ทำไปก็เพื่อล้างแค้นให้แก่สหายเขา!”
“ตอนนั้นเป็นฉินหยวนหลงที่ออกไปคุมกลุ่มศิษย์ที่ไปงานชุมนุมร้อยเมืองมิใช่รึ? แต่กลับซุ่มโจมตีกลุ่มเยาวชนอาณาจักรปฐมพระเจ้า? ช่างไร้ยางอายเกินไปจริงๆ!”
“ก่อนหน้านี้เย่หยวนต้องทนกับพวกเขาที่ทำเรื่องชั่วๆไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ครั้งนี้ที่ออกโรงเป็นเพราะล้างแค้นในสหาย ปรากฏว่าเย่หยวนเป็นคนรักมิตรสหายถือคุณธรรมนำชีวิต!”
“ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เย่หยวนเป็นคนที่มีพรสวรรค์อันน่าวิปลาสขนาดนี้ แต่ไฉนท่านเจ้าเมืองยังเอาแต่เข้าข้างตระกูลฉิน! ไม่น่าแปลกว่าทำไมตระกูลฉินถึงได้ใจเรื่อยๆในช่วงหลายปีมานี้ ปรากฏว่ามีท่านเจ้าเมืองอยู่เบื้องหลัง!”
…
คำกล่าวของเย่หยวนเข้ากระตุ้นให้ทุกคนรู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นในทันใด
ตระกูลฉินและตำหนักเจ้าเมืองบีบบังคับชายหนุ่มคนหนึ่งเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายจนตรอกจนเลือกที่จะทำเรื่องรุนแรงออกไป
สำหรับเย่หยวนที่อดทนได้ถึงขั้นนี้นับว่าน่าเหลือเชื่อยิ่งแล้ว
ฉินจ่าวหยุนเห็นว่าสถานการณ์ยามนี้ไม่ถูกต้อง เขาจึงเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นว่า
“วาจาดั่งมีดโกนคมคายดีนัก! เจ้าเองได้มีคนอยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนเช่นกัน! ตอนนี้เจ้ากล้าปลุกปั่นฝูงชนนับว่ามีความผิด! ห่านเทียน เราชายชราคนนี้ขอถามเจ้า! จะถอยหรือไม่ถอย?!”
ขณะที่ห่านเทียนกำลังจะเอ่ยตอบ เย่หยวนกล่าวแทรกขึ้นเสียงดังฟังชัด
“เรื่องในวันนี้ข้า เย่หยวนขอแบกรับไว้คนเดียว! ท่านอาวุโสห่าน ต้องขอบพระคุณอย่างมากในช่วงหลายปี เย่คนนี้โชคดีนักที่ได้พบเจอคนอย่างท่าน! หากวันนี้ข้า เย่หยวนริกลับไปได้จะตอบแทนอย่างไม่มีตระหนี่ แต่หากเป็นอะไรไป ฝากดูแลเซี่ยะจิ้งอวี้กับแม่นางหวางหรูด้วยในอนาคต!”
ห่านเทียนเปิดปากค้างแต่พูดไม่ออก
แม้ว่าเขาจะต่อสู้กับทั้งสามจนชีวาย แต่ห่านเทียนก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเย่หยวนได้เช่นกัน
ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นถึงสามคน หาใช่สิ่งที่เขาคนเดียวจะสามารถต่อกรได้
ฉินจ้าวหยุนคลี่ยิ้มอย่างเยือกเย็นและกล่าวว่า
“คิดว่าตัวเองจะโชคดีปานนั้น? เด็กน้อยอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นต้นกล้าอวดดีนัก! วันนี้หากเจ้าไม่ตาย ฉินคนนี้คงไม่มีหน้าพบใครอีกแล้ว!”
เย่หยวนเงยหน้ามองฉินจ้าวหยุนพลางหัวเราะเยาะคำหนึ่งและกล่าวเย้ยว่า
“ตาแก่ เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้คงมิอาจพานพบหน้าใครได้อีก! แต่เจ้ามั่นใจเสียเถอะ สักวันข้าจะลบตระกูลฉินออกจากหน้าประวัติศาสตร์!”
ฉินจ้าวหยุนหัวเราะเยาะด้วยความโกรธจัด
“อวดดี! เจ้าเด็กน้อยไร้ยางอาย! เราชายชราขอดูหน่อยเสียว่า วันนี้เจ้าจะลบตระกูลฉินออกไปได้อย่างไร?!”
ในขณะเดียวกัน เหวินอี้หยางถอนหายใจไม่รู้จบ เขาหันมากล่าวกับเย่หยวนด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนยิ่ง
“เย่หยวน เจ้าเป็นคนที่มีศักยภาพสูงส่ง ไฉนไม่ยอมแพ้อย่าได้ขัดขืน เราชายชราคนนี้จะช่วยขอร้องกับท่านเจ้าเมืองให้ผ่อนปรนลดโทษแก่เจ้า ข้าหาทางออกให้เจ้าได้แน่นอน!”
เย่หยวนช้อนสายตามองไปยังอีกฝ่าย พร้อมแสยะยิ้มเย็นกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ใหญ่ เห็นเย่คนนี้เป็นเด็กสามขวบกระมัง? แม้ว่าเย่คนนี้จะไม่เคยพบเจอกับท่านเจ้าเมืองมาก่อน แต่ย่อมทราบดีว่าเขากับตระกูลฉินร่วมมือกัน สมรู้ร่วมคิดกันขนาดนี้ ท่านยังมีอะไรมาปกป้องข้าได้?”
เหวินอี้หยางเปิดปากกว้างแต่ไม่รู้จะเอ่ยกล่าวอันใดออกไป
แท้ที่จริงแล้ว กระทั่งเขาเองก็ยังมิทราบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฉินกับท่านเจ้าเมืองเป็นอย่างไร แต่จากการกระทำต่างๆเห็นได้ชัดว่าระหว่างทั้งสองมีสานสัมพันธ์ค่อนข้างใกล้ชิด
ที่เหวินอี้หยางออกโรงในครั้งนี้ก็เป็นเพราะท่านเจ้าเมืองส่งมาเช่นกัน เพื่อเกลี้ยกล่อมเย่หยวนให้ยอมแพ้ถอนกำลังแต่โดยดี
เห็นได้ชัดว่า มิใช่เรื่องง่ายที่จะหลอกเย่หยวน เขาเห็นสัญญาณความผิดปกติได้นานแล้ว
“หึ! กล่าวต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เราชายชราจะฆ่ามันเองในวันนี้!”
เย่หยวนแสยะยิ้มกว้างอย่างเยือกเย็น ร่างของฉินจ้าวหยุนหายวับไปจากจุดที่ยืนอยู่ทันที
“เร็วมาก!”
ทุกคนยังไม่ทันตอบสนอง ร่างของเย่หยวนกลายเป็นจุดดำเล็กๆทะยานหนีสุดขอบฟ้าทันที
ความเร็วของวิชาขี่ดาบในปัจจุบันเหนือกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าทวีนัก!
สีหน้าการแสดงออกของฉินจ้าวหยุนเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาเร่งโคจรพลังปราณเทวะในร่างไล่ล่าเย่หยวนตามไปทันที
สีหน้าของจ่าวอี้และเหวินอี้หยางเผยถึงความตื่นตะลึงยิ่ง พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่า เย่หยวนจะเร็วได้ขนาดนี้
ร่างของเย่หยวนแปรเปลี่ยนเป็นประกายแสงสายหนึ่งผ่านโฉบดุจดาวหางบนท้องนภาเปล่งประกายวิบวับหลายพันลี้
“บัดซบ! ดาบของเจ้าเด็กนี่มันเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?”
ฉินจ้าวเทียนเอ่ยกล่าวอย่างขุ่นเคือง
สีหน้าการแสดงออกของจ่าวอี้แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน เขากล่าวน้ำเสียงขรึมว่า
“ไม่มีทาง เราไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายหลุดมือแน่นอน!”
เหวินอี้หยางมิได้เอ่ยกล่าวอันใด ดูเหมือนว่าหัวใจของเขาในยามนี้คล้ายถูกมีดกรีดแทง
ยอดอัจฉริยะอย่างเย่หยวนควรจะกลายมาเป็นดาวรุ่งที่เจิดจรัสที่สุดของสถานศึกษาหวูเมิ่ง แต่ใครจะไปคิดว่าผลที่ออกมากลับเป็นเช่นนี้
“ฮ่าๆๆ ไอ้สุนัขแก่ เจ้าคงไม่มีหน้าไปพบใครอื่นแล้วในอนาคต! จดจำสิ่งที่พูดไปให้ดี!”
สุ้มเสียงเย่หยวนเปล่งดังขึ้น เขาในยามนี้ปราศจากความกลัวหรือยำเกรงต่อยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นเลยแม้แต่น้อย
เย่หยวนที่ขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้แล้ว ทำให้ความเร็วของดาบขี่ของเขาเพิ่มทวีเป็นหลายเท่าตัว แค่ยอดเซียนครึ่งขั้นกลับไม่สามารถไล่กรวดได้ทัน
แต่ในขณะนั้นเอง สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนพลันเปลี่ยนไปทันที รัศมีแรงกดดันขุมใหญ่พุ่งปรากฏขึ้นทั่วน่านฟ้า
ทันใดนั้นราวกับเย่หยวนสะดุดหล่มโคลน และไม่สามารถควบคุมร่างกายตนเองได้แม้แต่น้อย!
……………………………………………………………