“เหอะ ความแข็งแกร่งของเจ้านับว่าไม่เลว ไม่ถึงขั้นทำให้ข้าเบื่อเกินไป แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องส่งเจ้ากลับบ้านเก่าแล้ว!”
สุ้มเสียงเย่หยวนเปล่งดังขึ้นประหนึ่งระฆังงานศพถูกตีกึกก้อง
ปรากฏเห็นเป็นร่างของเย่หยวนกระตุกวูบเป็นเงาซ้อน พวกมันไม่มีใครสามารถตรวจจับร่องรอยของเย่หยวนได้แม้สักนิด!
เร็วเกินไป!
เย่หยวนที่ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลางแล้ว ส่งผลให้ความแกร่งกล้าของเขาเพิ่มทวีสูงขึ้นไปอีกระดับ
เดิมทีพวกทหารปีศาจเหล่านี้ยังพอสู้รบปรบมือได้บ้างเล็กน้อย ทว่าตอนนี้พวกมันกลับอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถทานทนได้ไหวแม้ต้านรับการโจมตีเพียงกระบวนเดียว
หัวหน้าปีศาจตนนั้นเผยท่าทีเริ่มหวาดกลัวขึ้นมา ยามนี้ยังมาคอยเป็นห่วงเหล่าลูกน้องได้อย่างไร มันเร่งขยับร่างไสววูบหนีตายออกไปทันที
“หึหึ คิดหนี?”
เย่หยวนเค้นเสียงหัวร่อเย็นเอ่ยดัง ร่างของเขาแปรสภาพกลายเป็นควันไฟเข้าแผดเผาร่างของหัวหน้าปีศาจตนนั้น ไม่แม้แต่จะมีโอกาสได้ส่งเสียงกรีดร้อง มันถูกฆ่าทิ้งในบัดดล
ส่วนที่เหลือต่างหนีเตลิดไปคนละทิศละทาง ทว่าเย่หยวนหรือจะให้โอกาสพวกมัน ส่งคมดาบวาดลวดลายออกไปราวกับสายลมพัดชำระล้าง พวกมันนับร้อยรวมไปถึงระดับหัวหน้าถูกฆ่าตายสิ้น
จากนั้นก็มีเรือเหาะลำหนึ่งค่อยๆแล่นเข้ามา
บนเรือเหาะนั้นมีปีศาจบางตนบังเอิญเห็นภาพฉากเย่หยวนสังหารหมู่พอดี เช่นนั้นมันกู่ร้องตะโกนลั่นว่า
“ไอ้บัดซบนั้นกำลังทำบ้าอันใด! รนหาที่ตายแล้ว!”
กลิ่นอายแรงกดดันของปีศาจที่เพิ่งมาถึงตนนี้ทรงพลังไร้เทียมทานยิ่ง แท้จริงแล้วมันเป็นถึงปีศาจระดับชั้นอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า! ดูท่าจะเป็นแม่ทัพกองระดับสูง
เย่หยวนซ่อนสายตาจับจ้องอีกฝ่ายจากทางไกล ทันทีทันใดรอยยิ้มสุดเย้ยหยันพลันปรากฏขึ้นบนมุมปาก
“พวกรนหาที่ตาย…กลับเป็นพวกเจ้า!”
ภายใต้ทุกสายตาบนเรือเหาะนั้น ปีศาจแต่ละตนจับจ้องเย่หยวนด้วยความตกตะลึง ขณะที่เย่หยวนย่างสามขุมก้าวตรงออกไป
เย่หยวน ณ ตอนนี้ยืนอยู่บนหน้าขอบผา หากก้าวออกไปอีกเพียงก้าวเดียว เขาจะตกเหวลึกลงไปแน่นอน
“มันกำลังทำบ้าอันใดอยู่? พอตระหนักได้ว่าตนเองมิอาจหนีไปได้อีกต่อไป จึงคิดจะฆ่าตัวตาย?”
“มนุษย์ตัวน้อยคนนี้มันหาใช่คนโง่กระมัง? ถึงคิดที่จะกระโดดเหวตาย!?”
“ใจกล้าเด็ดเดี่ยวดี! เช่นนั้นข้าขอดูอยู่ตรง! กระโดดลงไป! หากแน่จริงจงกระโดดลงไป!”
…
ทว่าอย่างไร ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นอย่างที่พวกมันคิดไว้เลย!
เย่หยวนก้าวย่างออกไปอย่างมั่นคงคล้ายกำลังเดินอยู่บนพื้นราบ!
เขาในตอนนี้กำลังเดินแช่มอยู่กลางอากาศได้จริงๆโดยไม่ตกลงมา!
เหล่าทหารปีศาจลูกตาแทบถลนทะลักออกมา จับจ้องภาพฉากนี้ด้วยความเหลือเชื่อ
มนุษย์คนนี้สามารถเดินบนอากาศได้ หรือเขากำลังบินอยู่หรืออย่างไร?
นี่ต้องล้อเล่นกันไปแล้ว!
ภายใต้สนามแม่เหล็กรุนแรง กลับมีใครบางคนสามารถลอยอยู่บนอากาศได้จริงๆ!
“แย่แล้ว! มัน…มันกำลังจะทำอะไร?”
แม่ทัพกองชนชั้นอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าสะดุ้งเฮือกในทันที ก่อนจะพบว่านี่มิใช่เวลามายืนตกใจมอง
เย่หยวนที่สามารถเดินบนอากาศได้ มันคิดจะทำอะไรต่อกันแน่?
“ฆ่ามัน! อย่าให้มันเข้าใกล้เรือเหาะได้! ห้ามให้มันเข้าใกล้เรือเหาะเด็ดขาด!”
สุ่มเสี่ยงของแม่ทัพกองเอ่ยดังลั่น น้ำเสียงสั่นคลอนเผยถึงความหวาดกลัวสุดหัวใจ!
เขารีดเร้นพลังทั้งหมดและตบฝ่ามือเข้าหาเย่หยวนทะลวงฉีกห้วงอากาศออกไป
อานุภาพฝ่ามือของขุมพลังแห่งอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า ย่อมน่าสะพรึงกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่
วูบบบ!
ร่างของเย่หยวนดิ่งพสุธาร่วงลงในเสี้ยวอึดใจ แต่นี่ก็สามารถหลบเลี่ยงฝ่ามือของอีกฝ่ายได้โดยตรง
“มันอยู่ไหน? มันอยู่ไหนแล้ว?!”
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า มันตกไปตายแล้ว?”
“ฮ่าๆๆ ท่านแม่ทัพกองหลี่คงช่างทรงพลังนัก! อยากจะเห็นเสียจริงว่าไอ้เด็กนั้นยังจะเล่นกลได้อย่างไร!”
บูมมม!
สุ้มเสียงเย้ยเยาะยังไม่ทันจางหายไป จู่ๆทั่วทั้งตัวเรือเกินแรงสั่นสะเทือนรุนแรง และเริ่มเอียงเล็กน้อย เหล่าปีศาจทั้งหมดยืนโซซัดโซเซราวกับถูกของแข็งฟาดเข้าใส่
“ห่ะ! เกิดอะไรขึ้น ไฉนเรือเหาะถึงเอียง!?”
“ไอ้เด็กนั้นมัน…มันกำลังจะคว่ำเรือเหาะ!”
“เป็นไปไม่ได้! เรือเหาะลำนี้ถูกสร้างขึ้นจากโลหะทองคำทมิฬ แม้แต่เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าก็ยังไม่สามารถผลักมันให้ขยับได้! แล้วเด็กน้อยอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าจะทำได้อย่างไร?!”
“ชะ-ช่วยข้าด้วย! ข้า…ข้ายังไม่อยากตาย!”
…
บนเรือเหาะ เสียงกรีดร้องแห่งความสิ้นหวังดังระงมลั่นทั่วทุกหนแห่ง
สำหรับเหล่ามารปีศาจ นี่นับเป็นจุดจบของชีวิตพวกมันแล้ว
เนื่องด้านพวกมันอยู่ด้านบนตัวเรือ จึงไม่เห็นรัศมีสีทองที่เปล่งประกายออกมาจากร่างเย่หยวน ในเวลาเดียวกันนั้นเองเรือเหาะก็เริ่มพลิกคว่ำเอียงมากขึ้นเรื่อยๆ
เรือเหาะลำหนักกำลังจะจมลงแล้ว
“ย๊ากกก!”
เย่หยวนตะโกนลั่นรีดเร้นพละกำลังทั้งหมดเพื่อผลักมันออกไป เรือเหาะยามนี้งัดสูง
ทำมุมฉากพอดิบพอดี
“อ๊ากกก! ช่วยข้าด้วย! ช่วยข้าด้วย!”
เสียงกรีดร้องเริ่มดังระงมลั่นอีกครั้ง เหล่าทหารปีศาจต่างกรีดร้องขอความเมตตาอย่างแสนเวทนา
ในไม่ช้าเรือเหาะนั้นก็คว่ำลงเหล่าทหารปีศาจถูกสนามแม่เหล็กกระชากลงสู่เหวลึกลงไปนับหนึ่งแสนฟุต
แม้แต่แม่ทัพกองชนชั้นอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าเองยังดิ่งพสุธาร่วงลงไปอย่างรวดเร็ว
เย่หยวนยืนมองดูภาพฉากเหล่านี้อย่างเลือดเย็น
เหวลึกแห่งนี้สำหรับเย่หยวนเปรียบเสมือนลูกปลายน้อยแหวกว่ายใบสระน้ำ ในขณะที่พวกทหารปีศาจกลับเป็นเป็ดที่ไม่เคยลงบ่อน้ำอย่างไรอย่างนั้น
ไม่ว่าอาณาจักรพลังจะสูงส่งเพียงใด หรือพลังฝีมือจะน่ากลัวปานใด แต่สุดท้ายล้วนต้องจมน้ำตายเท่านั้น
เย่หยวนยังคงเฝ้ารอคอยไปอีกพักใหญ่ ทันใดนั้นเรือเหาะอีกลำก็แล่นเข้ามาอีกคำรบสอง
ทั้งสองท่าฝังอยู่ห่างกันมาก ด้วยความสามารถในการมองเห็นของระดับเซียนอาณาจักรพระเจ้าไม่มีวันมองเห็นฝั่งตรงข้ามได้เลย
เรือเหาะลำพวกนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นแบบเที่ยวเดียวจบ การจะเปิดค่ายกลเพื่อย้อนกลับคืนกล่าวได้ว่ามีความคล่องตัวที่แย่มาก
ตราบเท่าที่มันถูกดักซุ่มโจมตีกลางอากาศ มันเปรียบดั่งลูกแกะรอวันเชือด
คุณสมบัติการใช้งานของเรือเหาะประเภทนี้ค่อนข้างมีน้อยและเต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย หากไร้ซึ่งสนามแม่เหล็ก เรือเหาะเหล่านี้แทบใช้การอันใดไม่ได้เลย
นอกจากนี้เองเผ่าปีศาจยังกังวลเรื่องสมรภูมิเป็นหลัก จึงไม่มีเวลามานั่งพัฒนาต่อยอดเรือเหาะเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อเย่หยวน
เย่หยวนยังคงยืนรอพึงพาดต้นไม้ใหญ่ ณ มุมหนึ่ง เพื่อรอให้กระต่ายวิ่งเข้ามาหาเอง เวลาผ่านไปครึ่งวัน เขาพลิกเรือเหาะเบ็ดเสร็จไปทั้งหมดห้าลำ
ในจำนวนทหารปีศาจที่เดินทางผ่านเข้ามา มีปีศาจระดับชั้นอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ามากถึงสามตน
เมื่อพวกมันขึ้นเรือเหาะมา ไม่ว่าแกร่งกล้าเพียงใดกลับต้องกลายมาเป็นลูกแกะรอเชือดทุกรายไป พวกมันไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะตอบโต้ใดๆได้
ยามใดเรือเหาะเริ่มเสียสมดุลเอียงตัว ยามนั้นสนามแม่เหล็กอันรุนแรงก็ชุดเอาพวกมันลงสู่เหวลึกในพริบตา!
…
สีหน้าการแสดงออกของซิ่วเหล่ยในยามนี้บิดเบี้ยวน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ ทั้งแลดูกระสับกระส่าย ไม่สบายใจอย่างยิ่ง
“พวกนั้นทำบ้าอะไรอยู่ ไฉนพวกที่ตามมายังมาไม่ถึง!”
ท่ามกลางป่าทึบซิ่วเหล่ยคำรามลั่นออกมาในทันใด
เบื้องหน้าของมันยามนี้คือประตูเมืองทางตอนเหนือของเมืองกระแสพิรุณ พวกมันนอนรออยู่ในป่าทึบเป็นเวลานานแล้ว เพื่อรอคอยโอกาสโจมตีเมือง
เว้นเสียแต่ว่า ตามที่พวกมันคาดคิดไว้ เมืองกระแสพิรุณได้เสริมกำลังป้องกันทางตอนเหนือเพิ่มเติมเข้ามา
ในเวลานี้เอง มีทหารปีศาจตนหนึ่งรีบวิ่งตรงเข้ามา พร้อมคุกเข่าผสานมือต่อหน้าซิ่วเหล่ยและกล่าวว่า
“เรียนแม่ทัพ ถงหุ้ยและอีกร้อยกองร้อยนามนี้หายสาบสูญ ผู้ใต้บัญชารอคอยอยู่ด้านขอบผา แต่ยังไม่เห็นมีเรือเหาะแล่นออกมาสักลำ!”
“เจ้ากล่าวอันใด?!”
สีหน้าการแสดงออกของซิ่วเหล่ยเปลี่ยนไปอย่างมาก ขณะคำรามลั่นน้ำเสียงเย็นชา
มิใช่เพียงซิ่วเหล่ยเท่านั้น แม้แต่เหล่าหัวหน้าปีศาจรอบข้างยังหน้าถอดสีเช่นกัน ถึงขั้นซีดขาวเป็นแผ่นกระดาษ
ข่าวที่เกิดขึ้นนี้ประดุจสายฟ้าฟาดสีครามลูกใหญ่กระหน่ำลงมาใส่พวกมัน
หากไม่มีเรือเหาะเทียบท่าเข้ามา ก็เท่ากับว่าไร้ซึ่งกำลังเสริมเข้าสมทบ
แม้ว่าพวกจะอยู่รอบภายในป่าทึบแห่งนี้ ทว่าที่นี่ก็ไม่ค่อยเหมาะนักสำหรับทัพใหญ่ที่จะรุกคืบเข้าไป
ภายในนั้นมีอสูรดุร้ายและทรงพลังอยู่มากมาย เมื่อใดที่พวกเขาทำให้ฝูงอสูรตกใจตื่นตัวขึ้น ต่อให้เป็นซิ่วเหล่ยและพวกพ้องเองก็ยากที่จะหนีรอดออกมาได้
ดังนั้นชูเหลียงจึงพากลุ่มของตนออกมาเพียงจำนวนหนึ่งเพื่อสะดวกแก่การเคลื่อนไหว สำหรับการเคลื่อนพลเป็นทัพใหญ่กลับไม่สามารถทำได้เลย
“สายลับของฝ่ายมนุษย์สองคนนั้นได้ตายลงไปแล้ว หรือเป็นไปได้ไหมว่า ยังมีเซียนของเผ่ามนุษย์ดักซุ่มโจมตีอยู่ใกล้ๆ แต่เป็นไปไม่ได้! รัศมีห้าสิบลี้ล้วนถูกตรวจสอบหมดแล้ว ไม่น่ามีใครหลุดรอดไปได้! พวกเราเองก็มีแม่ทัพอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าคุมชั้นเชิงอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะหายสูญไร้ร่องรอยขนาดนี้?”
ซิ่วเหล่ยใช้สมองครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆอย่างหนักหน่วง แต่ท้ายที่สุดนี้กลับไม่สามารถเข้าใจเลยว่า แท้ที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่
…………………………………