บนกำแพงเมือง เหล่าทหารนับหลายหมื่นนายเงยหน้ามองไปยังหอประตูหอคอย ฉากภาพสุดแสนจะยิ่งใหญ่นัก
กัวชางหมิงกวาดสายตาสำรวจสภาพแวดล้อม พร้อมเอ่ยกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า
“ในศึกสัประยุทธ์ครั้งนี้ พวกเราเสียสละพวกพ้องไปมากเพื่อขับไล่ศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าเราหลายสิบเท่า ข้าผู้นี้ภาคภูมิใจในตัวพวกเจ้าอย่างยิ่ง!”
“ท่านผู้บัญชาการจงเจริญ!”
“ท่านผู้บัญชาการจงเจริญ!”
“ท่านผู้บัญชาการจงเจริญ!”
เหล่าทหารทั้งหลายต่างแผดเสียงตะโกนโหร้องลั่นโดยพร้อมเพรียงลั่นทั่วนภา
สิ่งหนึ่งที่สามารถบอกได้ทันทีว่า แต่ละคนต่างรู้สึกสรรเสริญและเคารพในตัวกัวชางหมิงอย่างมาก
ในศึกสมรภูมิครั้งนี้ มีเดิมพันเป็นชีวิตและความตาย พลาดพลั้งเพียงก้าวเดียว อาจส่งผลเลวร้ายเกินจินตนาการ ค่ายขบวนรบแตกพ่าย เมืองถูกยึดครองในพริบตา
กัวชางหมิงยิ้มและกล่าวว่า
“พวกเราทุกคนจงเจริญ! ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเราสามเหล่าทัพจะได้รับรางวัลความดีความชอบ อย่างไรก็ตาม วีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศึกคราวนี้ กลับยืนอยู่ข้างกายข้า! หลายคนอาจรู้จักหรือไม่รู้ประปราย แต่ทุกคนควรทราบตระหนักว่า เขาเป็นคนแรกที่ตรวจพบความผิดปกติของเผ่าปีศาจ และพวกมันที่รอบเร้นอยู่ในหุบเขาอัญเชิญปีศาจ นอกจากนี้เขายังเป็นผู้เสี่ยงตายเดินทางไปเรียกกำลังเสริมจากเมืองคังติง จึงเป็นเหตุให้สถานการณ์พลิกกลับมาได้เปรียบ และเป็นฝ่ายมนุษย์ที่คว้าชัยชนะ นามผู้นั้นคือ เหลียงเฟิง!”
ข้างกายกัวชางหมิง เหลียงเฟิงดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก
ภาพฉากที่ผู้คนนับหมื่นจับจ้องเขาเป็นตาเดียว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังไม่ค่อยคุ้นชิน
“เรียนท่านบัญชาการ ความดีความชอบเช่นนี้ ผู้น้อยไม่กล้ารับไว้! วีรบุรุษที่แท้จริงในศึกคราวนี้กลับมิใช่ข้า!”
ทันใดนั้นเองเหลียงเฟิงรวบรวมความกล้าโพล่งกล่าวออกมาทันที
กังชางหมิงที่ได้ยินเช่นนั้น พลันนึกไปว่าเหลียงเฟิงผู้นี้ขี้เกรงใจ รักความสันโดษเสียมากกว่า เขาจึงตบไหล่พลางรวนหัวเราะกล่าวว่า
“หุหุ หากมิใช่ความดีความชอบของเจ้า แล้วใครกันที่ควรรับไป? หากมิใช่เพราะเจ้าส่งคนมาแจ้งข่าวให้พวกเราล่วงรู้เตรียมการล่วงหน้า ปานนี้กำแพงทางตอนเหนือของเมืองคนถูกทำลายจนสิ้นซากไปแล้ว แม้ตาผู้บัญชาการคนนี้ยังอาจถูกกลบฝังลงดินเช่นกัน! ในขั้นต้น เจ้าได้ช่วยเหลือชีวิตพวกเราเอาไว้อยู่เบื้องหลัง!”
เมื่อเหลียงเฟิงได้ฟังดังนั้น เขาก็รีบกล่าวขึ้นทันทีว่า
“เรียนท่านผู้บัญชาการ ศึกคราวนี้มิอาจยกความดีความชอบให้ข้าคนเดียว แต่…แต่ยังมีใครคนอื่นที่อยู่เบื้องหลัง! หากมิใช่เพราะเขาคนนั้น บางทีกลุ่มของข้าอาจถูกทัพปีศาจที่แฝงตัวอยู่ในหุบเขาอัญเชิญปีศาจจัดการสิ้นไปแล้ว และตอนนั้นคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะส่งคนกลับมารายงาน”
กัวชางหมิงฉายแววประหลาดใจเมื่อได้ยิน จึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“ยังมีใครอีกรึ?”
เหลียงเฟิงกล่าวตอบ
“เขามีนามว่า เย่หยวน เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่เดินทางผ่านหุบเขาอัญเชิญปีศาจ จากนั้น…”
เหลียงเฟิงเอ่ยกล่าวเล่าความทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้จัดเหน็ดไม่รู้จักเหนื่อย ช่วงเวลานั้นเองต่างทำให้ทุกคนต่างถอนหายใจต่อเนื่องไม่หยุด
ทำลายพลหน้าไม้และพลหอกอสูรมังกรที่อยู่แนวหลังโดยสิ้น ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็เปรียบดั่งตำนานอย่างใดอย่างนั้น
“เดิมทีข้าคิดว่า คงเป็นยอดเซียนของฝ่ายมนุษย์ที่เจตนาไม่เผยตัวช่วยเหลือเอาไว้ แต่ต่อมายิ่งคิดเท่าไหร่กลับยิ่งเป็นไปไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น! แท้ที่จริงแล้วคนที่สังหารหัวหน้าปีศาจทั้งห้าในตอนแรกก็คือ ชายหนุ่มที่ชื่อเย่หยวน! จากนั้นตอนที่เขาเอ่ยกล่าวว่าให้ข้าไปขอกำลังเสริมมา ทีแรกข้ายังคิดว่าสายเกินไปแล้ว แต่เขากลับพูดและย้ำกับข้าว่า กำลังเสริมจักต้องมาทันท่วงทีแน่นอน!”
เหลียงเฟิงเอ่ยอธิบายคำสันนิษฐานของเขาไป
กัวชางหมิงก่อนหน้ายังคงฉงนงุนงง ว่าเหตุใดกองกำลังของเผ่าปีศาจจากหนึ่งแสน กลับเหลือเพียงสามหมื่นนายได้?
พอได้ฟังเหลียงเฟิงเอ่ยอธิบายเช่นนั้น เขาก็รู้ตัวทันที
ในเวลานั้นเอง หวังเฟิงอี้เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงกล่าวเสริมไปว่า
“ที่เหลียงเฟิงกล่าวไปข้ารู้สึกว่ามันแปลกมาก! อันที่จริงแล้ว ตอนที่ทัพปีศาจบุกขึ้นมาทางตอนเหนือ พวกมันปีนไต่ขึ้นกำแพงเมืองหลายต่อหลายคน แต่ทหารปีศาจเหล่านั้นกลับอ่อนแอจนผิดปกติ ไม่สามารถต้านรับพวกเราได้เลยแม้แต่กระบวนโจมตีเดียว นี่เป็นสาเหตุหลักที่ทางเหนือ พวกปีศาจแตกพ่ายออกไป! ต่อมาซิ่วเหล่ยออกโรงขึ้นรุกด้วยตนเอง ทว่าจู่ๆคล้ายว่าทัพหลังของพวกปีศาจเกิดความโกลาหลขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุจนทำให้ ซิ่วเหล่ยไม่สามารถระดมกำลังทหารได้เต็มที่ จนกลายเป็นช่องโหว่ให้พวกเราตอบโต้สวนกลับไปได้!”
เหลียงเฟิงยังกล่าวอีกว่า
“ข้าเองก็เห็นเช่นกัน ด้านหลังของกองทัพปีศาจมีศพพวกมันล้มตายกันเป็นจำนวนมาก พลหน้าไม้และพลหอกอสูรมังกรถูกทำลายไม่เหลือ แต่ข้ากลับไม่เห็นทหารของเมืองกระแสพิรุณสักคนในนั้น!”
ยิ่งพวกเขาสองคนพูดคุยกันมากเท่าไหร่ กัวชางหมิงก็ยิ่งตื่นตะลึงมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งหมดที่ได้ฟังมานี้เปรียบเสมือนนิยายยามค่ำคืนชัดๆ แต่การที่สถานการณ์พัฒนามาถึงจุดนี้ได้ คงไม่มีอะไรสมเหตุสมผลไปกว่าสิ่งที่พวกเขาเล่ากล่าวอีกแล้ว
อย่างไรก็ตามแต่ เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า สามารถต้านรับกองทัพปีศาจนับแสนได้อย่างไร?
นี่…นี่มันไม่เกินจริงไปหน่อยรึ?
“เย่หยวนคนนี้เป็นคนเช่นไรกัน? สามารถทำหลายสิ่งอย่างด้วยตัวคนเดียวได้จริงรึ?”
“สร้างเมฆขึ้นมาด้วยมือคนอื่น กลั่นเม็ดฝนด้วยมืออีกคน! เขาเพียงคนเดียวสามารถคุมชะตากรรมของสงครามได้! เรื่องแบบนี้แม้แต่ท่านกัวชางหมิงก็ยังไม่สามารถทำได้!”
“เย่หยวนผู้นี้อาจถูกสวรรค์ส่งมาเพื่อช่วยเหลือพวกเรา!”
“เหลียงเฟิงกล่าวว่า เย่หยวนเป็นเพียงเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า หรือเป็นไปได้ไหมว่า เขาจะบดขยี้กองทัพปีศาจได้ด้วยตัวคนเดียวจริงๆ? ชายคนนี้…มีสามหัวหกแขนกระมัง?”
…
เหล่าทหารตกตะลึงหนักจนปิดปากไม่อยู่ ไม่มีใครคิดใครฝันเลยว่า วีรบุรุษเบื้องหลังผู้นี้ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน จะช่วยเหลือพวกเขาทั้งหมดไว้จริงๆ
กัวชางหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆและกล่าวว่า
“เหลียงเฟิง มิใช่ว่าผู้บัญชาการคนนี้ไม่เชื่อเจ้า แต่ความจริงที่เจ้ากล่าวออกมามันไม่น่าเชื่อเกินไป! ในเมื่อสหายน้อยแซ่เย่ผู้นั้นมีจุดประสงค์เข้าร่วมกองทัพ เช่นนั้นตอนนี้เขาอยู่ไหนเสียแล้ว?”
เหลียงเฟิงคลี่ยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า
“หลังการต่อสู้จบลง ข้าเองก็คอยตามหาเขาอยู่เช่นกัน แต่จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่พบเขาเลย”
ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตกใจอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นพลันปรากฏเสียงลั่นดังสนั่นขึ้นทั่วน่านนภาว่า
“วีรบุรุษลาจากไปแล้ว จงคุกเข่าขอขมาสามทีไปทางทิศตะวันออก!”
เสียงนี้มิใช่ว่าดัง แต่กลับดังก้องอยู่ในหูทุกคน
“ใครกัน?! ใครกันที่พูด?!”
“วีรบุรุษลาจากไปแล้ว? หรือเป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นเย่หยวน?”
“ทางทิศตะวันออกงั้นรึ? นั้นมิได้เป็นทิศทางหุบเขาอัญเชิญปัศาจหรอกรึ? แล้วเขาสามารถข้ามผ่านช่องเหวได้อย่างไร?”
“นี่เจ้าหูหนวกรึไงกัน? เหลียงเฟิงเพิ่งกล่าวไปหมาดๆเองว่า วีรบุรุษท่านนี้สามารถเคลื่อนที่เหาะเหินได้อย่างอิสระเหนือช่องเหว! เดี๋ยวก่อน…หรือเขากำลังข้ามไปยังเผ่าปีศาจ?!”
ทันทีที่ทุกคนตระหนักได้เช่นนี้ สีหน้าการแสดงออกของทุกคนพลันเปลี่ยนไปทันที
สำหรับมนุษย์แล้ว การข้ามไปยังเขตแดนของเผ่าปีศาจเท่ากับความตาย นับเป็นสถานที่ต้องห้าม และไม่มีใครกล้าข้ามผ่านไปเลยสักคน
แต่สีหน้าการแสดงออกของกัวชางหมิงเปลี่ยนไปอย่างมาก พร้อมคุกเข่าโค้งขอขมาไปบนท้องนภาและกล่าวว่า
“เราต้องปฏิบัติตามคำสั่งของท่านเจิ่นเยียน!”
“ท่านเจิ่นเยียน? ท่านเจิ่นเยียนเป็นใครกัน?”
“ข้าเคยได้ยินมาว่า ในเมืองกระแสพิรุณแห่งนี้มียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าประจำการอยู่! แต่ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลย!”
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ในเมืองกระแสพิรุณจะมียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าอยู่จริงๆ?!”
“หากมีการดำรงอยู่ระดับชั้นในเมืองจริง ไฉนเขาถึงไม่ออกโรงลงมือ ก่อนที่เราจะได้รับบสดเจ็บสาหัสปานนี้กัน?”
“ใช่แล้ว พวกเราถูกกำจัดเกือบพินาศย่อยยับ แต่กลับไม่เห็นยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าเคลื่อนไหวออกมาเลย!”
…
สุ้มเสียงนี้กระตุ้นทุกคนจนเกิดความโกลาหลขึ้นฉับพลัน
ตำนานเล่ากล่าวไว้ว่า ภายในเมืองกระแสพิรุณแห่งนี้ยังมียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าคอยปกป้องอยู่
แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันกลับกลายมาเป็นเพียงตำนานเท่านั้น
แน่นอนว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกขุ่นเคืองใจอย่างมาก ที่ไฉนยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าไม่ออกโรงช่วยเหลือ ทั้งๆที่เป็นศึกใหญ่ขนาดนี้?
สีหน้าการแสดงออกของกัวชางหมิงทมิฬมืดลงทันที เขาโพ่ลงคำรามลั่นน้ำเสียงขรึมว่า
“ทั้งหมดหุบปากเดี๋ยวนี้!”
บารมีของเขาต่อกองทัพทหารทั้งหมดสูงส่งเหลือเกิน เพียงเสียงคำรามเดียวก็เพียงพอทที่จะทำให้ทุกคนเงียบลงทันใด แต่บนใบหน้าของเขายังคงเปี่ยมล้นไปด้วยความไม่พอใจ
กัวชางหมิงกวาดสายตามองทุกคนและกล่าวน้ำเสียงเย็นว่า
“เมืองกระแสพิรุณมีท่านเจิ่นเหยียนผู้ซึ่งเป็นยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าคอยปกป้องอยู่! แล้วเป็นไปได้ไหมว่าทางฝ่ายปีศาจเองจะไม่มียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าคุมอยู่เช่นกัน แล้วพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าอย่างไร? ยามใดที่การดำรงอยู่ในระดับชั้นนี้ออกโรง จะไม่มีใครสักคนเหลือรอด! เช่นนั้นท่านเจิ่งเหยียนจึงเปรียบเสมือนปราการด่านสุดท้าย จะอยู่หรือจะรอดท่านเจิ่งเหยียนก็ขอพักพินาศไปพร้อมกับเมือง!”
ในที่สุดเสียงตะโกนแซ่ซ้องของทุกคนก็พลันเงียบลง
“ในตอนนี้ก็จงเชื่อฟังคำสั่งของท่านเจิ่นเหยียน! พวกเจ้าทั้งหมดจงฟัง หันหน้าไปทางทิศตะวันออกและคุกเข่าขอขมาสามครั้ง!”
พรึบ!
เมื่อกล่าวจบกัวชางหมิงก็คุกเข่าลงทันที
…………………………………