“หลบไป!”
สีหน้าของเย่หยวนทมิฬมืดลงทันทีขณะตะโกนไล่เหล่าอิสตรีเผ่าปีศาจเหล่านั้นอย่างเย็นชา
จิตสังหารสีเย็นแผ่ซ่านออกมาจนล้นปรี่ เหล่าสตรีเผ่าปีศาจพวกนั้นล้วนหน้าถอดสีซีดขาวอย่างหนักราวกับแผ่นกระดาษบาง และร่นถอยออกมาทันทีอย่างไม่สมัครใจนัก
หากเป็นก่อนหน้า พวกนางคงไม่ถือสาเย่หยวนแน่นอน ในทางตรงข้ามเห็นอารมณ์ดุดันเช่นนี้ คงตรงปรี่เข้าไปจีบแทน
ทว่าตอนนี้ เย่หยวนที่สังหารหลางเก๋อได้ภายในสองกระบวนกาย ใครยังกล้าขัดขืนเขาอีก?
เหล่าอิสตรีเร่งปิดทางให้เย่หยวนเดินผ่ากลางออกไปทันทีมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง
บนดินแดนของเผ่าปีศาจการฆ่าฟันกันบนท้องถนนนับเป็นเรื่องปกติมาก เหล่าผู้คุมเมืองต่างไม่มีเวลามาเหลียวมองหรือใส่ใจ
ดินแดนของเผ่าปีศาจย่อมเป็นสถานที่เช่นนี้ ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง นี่คือกฎการมีชีวิตรอด
ตราบใดที่แข็งแกร่งพอก็จะได้รับความเคารพยอมรับจากคนอื่นๆ
แต่หากอ่อนแอผลลัพธ์สุดท้ายไม่ยอมแพ้ก็ยอมตาย ง่ายดายเรียบง่ายเท่านี้
ดังนั้นเย่หยวนจึงไม่เก็บเรื่องนี้มาคิดมากแต่อย่างใดสำหรับที่ฆ่าหลางเก๋อไป
เย่หยวนที่กำลังเดินทางเข้าเมืองอยู่นั้นเอง จู่ๆก็มีชายชราคนหนึ่งตรงออกมาขวางทางเดินของเขาไว้
“สหายน้อย ประมุขตระกูลของเราเล็งเห็นว่า เจ้ามีทักษะฝีมือค่อนข้างดี และอยากจะเชิญให้เจ้าเข้าร่วมตระกูลฟาง ข้าสงสัยว่าเจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
ชายชราเอ่ยถามเข้าประเด็นในทันที
เย่หยวนกวาดสายตาจับจ้องอีกฝ่ายและกล่าวเสียงเรียบขึ้นมา
“โอ้? มีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง?”
ภายในเมืองของเผ่าปีศาจ พวกเขาต้องการปีศาจที่มีความแข็งแกร่งและความสามารถเข้าร่วมฝักฝ่ายตนเอง มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกกลุ่มอำนาจอื่นกลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
พอเดินเข้าเมืองมาในวันนี้ คนที่เห็นพบหน้าคุ้นตาอาจกลายเป็นศพได้ในวันต่อมา
สองหมัดมิอาจต่อกรสี่มือ ไม่ว่าความแกร่งกล้าจะไร้เทียมทานเพียงใด แต่ก็มิอาจสู้กับจำนวนที่มากกว่าได้เช่นกัน
ในเมืองหลวงแห่งนี้มิได้ขาดแคลนเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า ยามใดที่เย่หยวนบังเอิญวิ่งชนกับพวกเขา นั้นอาจชะตาขาดได้แน่นอน
ชายชรายิ้มและกล่าวว่า
“ความแข็งแกร่งของสหายน้อยโดดเด่นเป็นอย่างมาก สามารถสังหารแม่ทัพปีศาจสองดาวขั้นสุดได้ ในขณะที่เจ้าอยู่แค่สองดาวชั้นกลาง นับได้ว่าโดดเด่นกว่าอาคันตุกะคนอื่นๆ ตราบใดที่เจ้ายอมเข้าร่วมกับตระกูลฟาง ทางเราขอสัญญาจะตอบแทนรางวัลมากกว่าเป็นสองเท่าของอาคันตุกะสองดาวขั้นสุดทั่วไป!”
เย่หยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่สายตาของเขากลับมองไปทางหลี่จีที่อยู่บนหลังม้า
หลี่จีนางนี้ดูเหมือนจะให้ความสนใจกับเหตุวุ่นวายก่อนหน้ามาโดยตลอด เมื่อเห็นเย่หยวนเงยหน้าขึ้นมอง พลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นประดับบนใบหน้าของนาง
ความงดงามของนางนี้ดูจัดจ้านและดุกัน ทว่าใครเห็นต่างปฏิเสธไม่ลง!
“หุหุ สตรีเผ่าปีศาจนางนี้ช่างมีเสน่ห์เสียจริงในตอนที่นางยิ้ม!”
เย่หยวนถอนหายใจเล็กน้อยพร้อมความหวั่นไหวภายในใจ
เย่หยวนต้องยอมรับตามตรงเลยว่า หลี่จีนางนี้มีความงามที่มิได้ด้อยไปกว่าสตรีงามของเผ่ามนุษย์เลย
เย่หยวนครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ากล่าวว่า
“ตกลง! แต่ข้ามีข้อแม้!”
ชายชรายิ้มตอบว่า
“ข้อแม้อย่างไร อย่าได้ลังเลที่จะกล่าว?”
เย่หยวนเอ่ยปากขึ้นว่า
“ข้าต้องการทาสห้าคน!”
ขณะที่ชายชราได้ยินแบบนั้น เขาก็หัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ทีแรกข้าก็สงสัยว่าเป็นข้อแม้แบบใด ในเรื่องนี้ต่อให้เจ้าไม่กล่าว ทางเราก็มีจัดเตรียมไว้ให้อยู่แล้วสำหรับอาคันตุกะตระกูลฟาง โดยปกติจะมอบทาสให้คนละสาม แต่ของเจ้าขอเป็นห้าย่อมไม่มีปัญหา!”
เย่หยวนพยักหน้าและชี้นิ้วไปที่ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในกลุ่มคนของหลี่จี
“เข้าใจแล้ว แต่…ข้าต้องการชายคนนี้!”
ชายชราเหลียวหลังกลับไปมอง ก่อนจะเผยสีหน้าลำบากใจขึ้นทันใด
“เอ่อ…แม้เขาจะเป็นทาส แต่เขาก็เป็นหนึ่งในองครักษ์ของคุณหนูหลี่จี และเขาคนนี้เองก็ได้รับความไว้วางใจจากคุณหนูมาก นี่…นี่คงไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง?”
เย่หยวนแสยะยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า
“เฮ้ออ…นี่หรือความจริงใจที่ท่านมีให้? ข้าทราบดีว่าตระกูลฟางมีขุมกำลังแข็งแกร่งดีอยู้แล้ว แต่ข้าคนเดียวคงไม่สำคัญขนาดนั้น! มิอาจยอมรับเงื่อนไขเล็กน้อยได้ เช่นนั้นขอลา!”
เมื่อกล่าวจบเย่หยวนพลันโบกมือลาจากออกไปทันที
ทันใดนั้นพลันปรากฏโฉมสะคราญร่างบางตรงเข้ามาขวางทางเย่หยวนเอาไว้ และแน่นอนนางก็คือ หลี่จี
ดวงเนตรคู่สวยของนางจับจ้องมาที่เย่หยวน และกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“เพียงทาสเผ่าอสูรตัวเดียว ไหนเลยจะมอบให้ไม่ได้? นี่ถือเป็นของขวัญที่ข้ามอบให้แก่เจ้า รับไปเถิด”
สำหรับเผ่าปีศาจแล้ว เผ่ามนุษย์และเผ่าอสูรไม่ว่าก่อนหน้าจะมีฝีมือเลิศล้ำเพียงใด แต่สุดท้ายก็ยังเป็นชนชั้นต่ำสุดอยู่ดีในดินแดนเผ่าปีศาจหรือก็คือเป็นทาสนั้นเอง
เย่หยวนรวนหัวเราะดังขึ้นและกล่าวว่า
“ยังคงเป็นคุณหนูหลี่จีที่จริงใจตรงไปตรงมา ข้า บรรพกาลราตรี จะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวัง! เพียงว่าตอนนี้ข้ามีธุระจำต้องไปทำ ชายคนนี้อยู่ภายใต้การปกครองของข้า และข้าเองก็ต้องการสหายที่มีประสบการณ์เช่นกัน ในการจัดการเรื่องต่างๆ”
บรรพกาลราตรีเป็นชื่อที่เย่หยวนตั้งขึ้นเองเมื่อมาถึงเผ่าปีศาจ
ชื่อเย่หยวนกลับดูผิดแปลกไปจากเผ่าปีศาจเกินไป
หลี่จียิ้มกล่าวว่า
“หลี่จีเข้าใจแล้ว! ความแข็งแกร่งของท่านช่างน่าทึ่งยิ่งนัก ในอนาคตต่อไป ข้าจำต้องเพิ่งพาท่านแล้ว”
เย่หยวนกวาดสายตามองไปโดยรอบ เอ่ยกล่าวรวนหัวเราะขึ้นว่า
“คุณหนูหลี่จี เห็นสีหน้าการแสดงออกของคนพวกนี้หรือไม่? การที่ข้าได้รับใช้คอยอยู่เคียงข้างคุณหนูหลี่จี ทำให้คนเหล่านี้รู้สึกอิจฉาไม่รู้จบ! เราบรรพกาลราตรีเองก็เป็นบุรุษเพศเช่นกัน ดังนั้นการได้เข้ามารับใช้คุณหนูหลี่จี นับเป็นเกียรติของข้าแล้ว!”
แต่หลี่จีที่ได้ยินเช่นนั้นกลับยิ้มกว้างและกล่าวว่า
“ท่านบรรพกาลราตรีรู้จักวิธีสนทนาเอ่ยวาจาเสียจริง เอาล่ะกลับไปยังตระกูลฟางกันเถอะ”
เผ่าปีศาจย่อมชื่นชมและยกย่องผู้ที่แข็งแกร่ง และความแข็งแกร่งของเย่หยวนเองก็เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งดีแล้วในสายตาของหลี่จี นอกจากนี้รูปลักษณ์ใบหน้าของเย่หยวนยังช่างหล่อเหลานัก อิสตรีเผ่าปีศาจอย่างนางเองพลันรู้สึกลุ่มหลงไปตามๆกัน
น้ำแข็งอันงดงามเปรียบเสมือนบุปผาแรกแย้มบานออกเช่นกันในเวลานี้
สายตาของผู้คนโดยรอบต่างมองเย่หยวนด้วยความอิจฉา
ภายในเมืองหลวงคาโปนแห่งนี้ ผู้ที่สามารถทำให้แม่นางหลี่จียิ้มหัวเราะได้อย่างมีความสุขกลับมีไม่มากนัก!
เห็นได้ชัดว่าเย่หยวนสามารถทำให้นางยิ้มได้
เพื่อสักคนที่จะมีโอกาสได้พูดคุยกับแม่นางหลี่จีอย่างสนุกสนานเช่นนี้ พวกเขาย่อมแลกชีวิตตัวเองกับความตาย!
หลี่จีนนำทาสคนนั้นออกมาและกล่าวอย่างเย็นชาว่า
“ในอนาคตต่อไป เจ้าต้องติดตามท่านบรรพกาลราตรี!”
ทาสคนนั้นโค้งคำนับและกล่าวว่า
“รับทราบคุณหนูหลี่จี หลงซานคาราวะนายท่าน!”
คู่ดวงตาของเย่หยวนหรี่แคบลงเล็กน้อย รอยยิ้มบางที่ยากจะสังเกตเห็นพลันกระตุกขึ้นเล็กน้อยบนมุมปาก
หลี่จีคว้าเอาตราสัญลักษณ์ออกจากหว่างคิ้วของนาง และมอบให้แก่เย่หยวนและกล่าวว่า
“นี่คือตราประทับทาสของหลงซาน ในอนาคตต่อจากนี้ เขาเป็นของท่านแล้ว”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ขอบพระคุณอย่างมากสำหรับความเมตตาของคุณหนูหลี่จี เขาคนนี้ดูค่อนข้างฉลาด ข้าจึงตัดสินใจเลือกเขาทันทีที่แรกเห็น”
หลีจี่ยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านบรรพกาลราตรีมีสายตาที่เฉียบคมนัก ในบรรดาองครักษ์ทั้งหมดของข้า เขาฉลาดที่สุดแล้ว”
เย่หยวนดูพึงพอใจมากเช่นกันที่ได้ยินเช่นนั้นก่อนรับคำอย่างสุขใจ
ในเผ่าปีศาจการเจียมเนื้อเจียมตัวกลับไม่เคยถูกมองว่าเป็นมารยาท ในทางตรงข้ามมันกลับเป็นการดูถูกเสียมากกว่า
ด้วยความแข็งแกร่งที่ถือครอง คนเราจะสามารถหยิ่งผยองได้ตามต้องการ!
เพราะแข็งแกร่งจึงสามารถยืดอกรับคำชมของอีกฝ่ายได้อย่างภาคภูมิ
ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่ง!
หลักจรรยาบรรณและศีลธรรมทั้งหลายล้วนเป็นขยะในดินแดนเผ่าปีศาจ
“ท่านบรรพชนราตรี กลับไปหาตระกูลฟางกันเถอะ!”
หลี่จีควบทะยานม้านำกลุ่มคนกลับไปยังตระกูลฟางทันที
ตระกูลฟางเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองคาโปน ขุมกำลังความแกร่งกล้านับว่ายิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก
หลี่จีเป็นบุตรสาวสุดที่รักของตระกูลฟาง ความงดงามของนางนับเป็นระดับแนวหน้าของเมืองหลวงคาโปนแห่งนี้ ซึ่งชื่อเสียงในด้านนี้ต่างได้รับคำชื่นชมจากเหล่าปีศาจมากมาย
อย่างไรก็ตาม เย่หยวนกลับมิได้หลงเสน่ห์ของหลี่จีเลย นั้นมิใช่เหตุผลที่เขาย่อมเข้าร่วมกับตระกูลฟาง
ในความเป็นจริง ที่เย่หยวนฆ่าอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยมเช่นนั้น เพราะเขาจงใจสำแดงความแข็งแกร่งของตนให้หลี่จีได้เห็น
แน่นอน หลังจากที่หลี่จีเป็นสักขีพยานต่อความแข็งแกร่งของเขาแล้ว ดังนั้นนางจึงชักชวนเย่หยวนเข้ามา
และจุดประสงค์หลักที่เย่หยวนทำเช่นนี้ก็เพื่อทาสนามว่าหลงซาน!
เมื่อหลงซานเข้ามาใกล้เขา ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์กลับมีปฏิกิริยาตอบสนอง!
บนมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ ยังมีใครสามารถทำให้ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์มีปฏิกิริยาได้อีก?
คำตอบนั้นมันเป็นที่ชัดเจนอยู่แล้ว!
เย่หยวนไม่คิดไม่ฝันเลยว่า การมาเมืองหลวงคาโปนครั้งนี้ เขาจะพานพบเข้ากับบุคคลที่ทำให้ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์มีปฏิกิริยาได้จริงๆ!
…………………………………