“บรรพชนต้นกำเนิดที่เจ้าเอ่ยกล่าวไปนั้นหมายถึง สัตว์เทวะผู้พิทักษ์ทั้งสี่แห่งดินแดนพฤกษานิรันดร์ และพวกเขาทั้งสี่ยังเป็นสหายที่สำคัญที่สุดกับจอมเทพนิรันดร์อีกด้วย และเมื่อจอมเทพนิรันดร์ล่วงลับจากไป สถานการณ์ของพวกเขาเองก็ดูจะไม่ค่อยสู้ดีนัก ส่วนที่พวกเขาหายไปไหน ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่ในตอนนั้นข้าได้ตกลงสู่ห้วงนิทราไปแล้ว และถูกส่งไปยังดินแดนย่อยโดยจอมเทพนิรันดร์ เหตุการณ์หลังจากนั้นข้ากลับไม่ทราบแล้ว”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ สีหน้าการแสดงออกของหวูเฉินก็ดูหดหู่อย่างมากเช่นกัน
เมื่อได้ชัดว่า เหตุการณ์ในตอนนั้นกลับหาใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไหร่นัก
“ท่านอาวุโสอย่าได้เป็นกังวล จักรพรรดิเทพสวรรค์จิวชาง ข้าไม่ปล่อยให้มันรอดแน่นอน!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมน้ำเสียงเคร่งขรึม
หวูเฉินมองไปที่เย่หยวน สีหน้าการแสดงออกของเขาดูคลายอ่อนลงและสีหน้าที่ดูสงบลงเล็กน้อย
เขาทราบดีว่า หากเย่หยวนยังคงเติบโตเช่นนี้ต่อไป การจะกลับไปล้างแค้นให้แก่จอมเทพนิรันดร์กลับหาใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ในเวลาต่อมา เย่หยวนทำการปรับสภาพร่างกายของเขาอีกครั้งตามวรยุทธกายพุทธะมังกรสวรรค์ ทันทีทันใดขีดกำจัดที่เคยรู้สึกในทีแรกราวกับถูกปลดออกเป็นอิสระในทันใด
ความรู้สึกอ่อนล้าก่อนหน้าพลันหายเป็นปลิดทิ้งเช่นกัน
นอกจากนี้ เย่หยวนยังค้นพบด้วยว่า กายพุทธะมังกรสวรรค์นี้ ยังเป็นวรยุทธบ่มเพาะกายเนื้อระดับสูงมาก และน่าประทับใจยิ่งกว่าเคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำนัก
เย่หยวนใช้เวลากว่าสามปีเต็มเพื่อควบคุมกายเนื้อของเขา คล้อยหลังเสร็จสิ้นการปรับสภาพร่างกาย เขาก็บรรลุขึ้นสู่ระดับสองชั้นต้นเป็นที่เรียบร้อย
เพียงก้าวเดียว เขาก็จะสามารถหยั่งถึงอาณาจักรปราณเทวะได้แล้ว
“อันที่จริงแล้ว วรยุทธบ่มเพาะของเผ่ามังกรเป็นอะไรที่ราบรื่นที่สุดแล้ว ตั้งแต่ฝึกปรือบ่มเพาะพลังมาก!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ก่อนหน้าที่จะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า เย่หยวนยังคงไม่รู้สึกถึงอะไรเท่าไหร่นัก เมื่อบ่มเพาะเคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำ
แต่หลังจากที่กายทองคำเก้าอรหันต์ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก เย่หยวนก็เริ่มรู้สึกทันทีว่า ความเร็วในการฝึกปรือกายเนื้อของเขากลับช้าลงและช้าลงเรื่อยๆ
หาใช่วรยุทธบ่มเพาะพลังที่เป็นสิ่งผิด แต่ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างจึงทำให้เขาไม่สามารถพัฒนาขึ้นไปมากกว่านี้ได้
แต่ตอนนี้ ความรู้สึกเหล่านั้นกลับอันตรธานหายไปโดยสมบูรณ์
สามปีภายในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ เท่ากับสามเดือนของโลกภายนอกเท่านั้น
เมื่อเย่หยวนออกจากการเก็บตัว ก็พบว่าหลี่จีกำลังยืนรอเขาอยู่นอกประตูนานแล้ว
“คุณหนูหลี่จี ท่าน…”
ยามนี้เขาพบว่า สายตาที่หลีจีมองมาทางเย่หยวนกลับเต็มไปด้วยไปด้วยความรักใคร่และอ่อนโยน เสมือนกับเหล่าสตรีเผ่าปีศาจที่หลงเสน่ห์ในตอนนั้น
แก้มเนียนขาวของหลี่จีพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ นางเอ่ยขึ้นด้วยความเขินอายว่า
“น้องบรรพกาลราตรีเพียรขยันฝึกปรือตลอดเวลา จึงไม่แปลกว่าไฉนเจ้าถึงแกร่งกล้าตั้งแต่อายุยังน้อย หลี่จียืนรอเจ้าเช่นนี้มาสองเดือนแล้ว”
เย่หยวนที่ได้ยินดังนั้น พลันแอบรู้สึกปวดเศียรอย่างยิ่ง หญิงสาวนางนี้ต่างตามตื๊อและดื้อรั้นจริงๆ!
แม้หลี่จีจะมิได้หลงใหลจนบ้าคลั่งเหมือนกับสตรีเผ่าปีศาจนางอื่นๆ แต่เมื่อนางชอบพอใครสักคน กลับติดตามเขาคนนั้นอย่างไม่ลดละ
และนี่…นางก็กำลังเปิดฉากรุกใส่เขาอย่างหนัก!
ไคซินนับเป็นหนึ่งในบุรุษชายที่สมบูรณ์แบบที่สุดในบรรดาเยาว์ชนหนุ่มสาวทั้งหมดของเมืองหลวงคาโปน
แต่นางกลับไม่ชอบเขา
สำหรับเย่หยวนกลับค่อนข้างแตกต่างกัน เขาเป็นคนพิถีพิถันและละเอียดอ่อน แข็งแกร่งแต่ไม่ป่าเถื่อนเลือดเย็น เขาแตกต่างไปจากบุรุษเผ่าปีศาจทั่วไป
เดิมที นางรู้สึกเพียงว่า เย่หยวนเป็นคนมีรูปลักษณ์หล่อเหลาดูดี ทว่าก็หาให้รู้สึกกับอีกฝ่ายมากเกินไป
แต่ฝีไม้ลายมือของเย่หยวนก่อนหน้ากลับสะดุดตาสะดุดใจเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดักเงาสยบมารที่เย่หยวนปลดปล่อยออกไปก่อนหน้า ก็ทำให้หลี่จีใจเต้นแรงขึ้นในทันใด
“เอ่ออ… คุณหนูหลี่จีเดินทางมาหาบรรพกาลราตรีมีเรื่องอันใดหรือไม่?”
เย่หยวนเอ่ยถามขึ้น
ดวงเนตรคู่งามของหลีจีมองเย่หยวนด้วยหลงใหล นางยิ้มกล่าวว่า
“ทำไม? ข้ามาหาเจอเฉยๆมิได้งั้นรึ?”
เจอนางเปิดฉากรุกเช่นนี้ เย่หยวนเหงื่อแตกพลั่กทันที
“เอ่อ…มิใช่แบบนั้น มาหาได้แน่นอน!”
หลีจีกล่าวขึ้นอย่างเศร้าหมองว่า
“บรรพกาลราตรี ข้าในตอนนี้ค้นพบแล้วว่า เจ้าแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ! หากเป็นหญิงสาวคนอื่นที่ตามรุกอีกฝ่าย พวกเขาเหล่านั้นคงมิอาจหักห้ามใจได้ แต่ดูเจ้าสิ กลับพยายามหลบหน้าข้าราวกับโรคระบาด”
เย่หยวนครืนหัวเราะเสียงอ่อนและกล่าวว่า
“มิใช่คุณหนูหลี่จีเองก็ต่างจากคนอื่นหรอกรึ? ไคซินเป็นถึงหนึ่งในสุภาพบุรุษอันดับต้นๆของเมืองหลวง มีหญิงสาวมากมายหลงใหลเขา แต่ท่านกลับพูดจาไม่เหลียวแลเขาเลย”
หลี่จียิ้มและกล่าวตอบว่า
“เพราะเขา…หาได้ดูดีเท่ากับเจ้า!”
เย่หยวนยังยิ้มคลี่ยิ้มบางกล่าวตอบว่า
“หุหุ นั้นเป็นความจริง!”
ตอนนี้เย่หยวนยังคงอาศัยภายใต้หลังคาเดียวกับคนอื่น และมิอาจแสดงท่าทีต่อต้านใดๆได้ มิฉะนั้นอาจทำให้คนอื่นระแวงสงสัยได้
หลี่จีหัวเราะลั่นจนตัวสั่นเทา เห็นได้ชัดว่าเย่หยวนคนนี้มีอารมณ์ขันมิใช่น้อยเลย
“หุหุ ข้าว่ามันคงน่าเบื่อมิใช่น้อยที่ต้องเพียรฝึกปรือเช่นนี้อยู่ทุกวัน ไฉน…เราไม่ออกไปเดินเล่นรอบๆเมืองหลวงกันหน่อยล่ะ?”
หลี่จีเอ่ยถามขึ้นทันทีพร้อมนวลแก้มแดงอย่างสงสัย
เย่หยวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนกล่าวว่า
“เป็นความคิดที่ดี ข้าอยากไปที่โถงโลหิตปรโลกสักเที่ยว ไฉนคุณหนูหลีจีไม่พาข้าไปที่นั่น?”
หลี่จีเผยแววสงสัยเล็กน้อย นึกเอ่ยถามขึ้นว่า
“เจ้าจะไปที่โถงโลหิตปรโลกเพื่ออันใด?”
เย่หยวนกล่าวตอบว่า
“บรรพกาลราตรีคนนี้มีญาติที่พลัดหลงหายตัวไป ข้าต้องการเดินทางไปยังโถงโลหิตปรโลกเพื่อการณ์นี้”
หลี่จีเข้าใจได้ในทันทีและกล่าวว่า
“เช่นนี้นี่เอง งั้นคุณหนูคนนี้จะพาเจ้าไปเอง”
…
โถงโลหิตปรโลกเป็นองค์กรใต้ดินที่ทรงอำนาจอย่างยิ่งในเมืองหลวงคาโปน
และองค์กรแห่งนี้ก็มิได้มีอยู่แค่ในเมืองหลวงคาโปนเท่านั้น เครือข่ายและอิทธิพลอำนาจขจรไกลไปทั่วทั้งเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะ
ขุมพลังอำนาจใหญ่โตและแข็งแกร่งเกินจินตนาการ แม้แต่ตำหนักเจ้าเมืองยังไม่กล้าเจรจาตกลงได้โดยง่าย
แตกต่างจากตำหนักเจ้า เป้าหมายของโถงโลหิตปรโลกที่ตั้งขึ้น ณ เมืองหลวงแห่งนี้ก็เพื่อ หารายได้เข้ามา
เพียงว่าวิธีหาเงินของพวกมันแตกต่างไปจากวิธีการของคนทั่วไป
โถงโลหิตปรโลกถูกแบ่งออกเป็นโถงย่อยดังนี้ โถงลานประลองเลือด โถงนักฆ่า โถงร้อยปัญญา โถงโอสถปีศาจ
โดยสรุปแล้ว วิธีหาเงินของพวกมันโดยส่วนใหญ่ เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและมิอาจเปิดเผยต่อสาธารณะได้
เมื่อทุกคนได้ยินนาม โถงโลหิตปรโลกก็ย่อมมีทั้งคนที่รักและคนที่เกลียด
ตัวอย่างเช่น โถงโอสถปีศาจ สถานที่แห่งนี้ตรงตามชื่อเหมือนกับโถงนักฆ่า มันเป็นสถานที่เฉพาะ สำหรับหลอมกลั่นโอสถโดยเฉพาะ
นักหลอมโอสถของเผ่าปีศาจจะถูกเรียกว่า นักปรุงโอสถปีศาจ ชื่อหรือคำเรียกอาจดูแตกต่างกัน แต่ความจริงแล้วก็เหมือนกันกับนักหลอมโอสถของเผ่ามนุษย์
เว้นเสียแต่ว่าโอสถของเผ่าปีศาจกลับแตกต่างไปจากของเผ่ามนุษย์ ดั่งสองแนวทางที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
สถานะของนักปรุงโอสถปีศาจนับว่าสูงส่งอย่างมาก และล้วนได้รับความเคารพนับถือจากบรรดาปีศาจโดยทั่วกัน เพราะเผ่าปีศาจค่อนข้างด้อยพัฒนาในด้านนี้
เผ่าปีศาจนั้นดิบเถื่อนและกระหายศึก แต่เรื่องหลอมกลั่นโอสถกับเป็นงานละเอียดอ่อน มีเพียงปีศาจจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ใจเย็นพอจะทำเรื่องเหล่านี้ได้
สรุปได้ว่า เผ่าปีศาจหาได้ขาดแคลนยอดฝีมืออันไร้เทียมทาน แต่ขาดนักปรุงโอสถปีศาจที่ทรงพลัง
ดังนั้นทุกคนจึงชอบโถงโอสถปีศาจอย่างมาก ในขณะที่พวกเขาต่างหวาดกลัวโถงนักฆ่า
สำหรับโถงโลหิตสัประยุทธ์ คือทุ่งสังหารชั้นยอดสำหรับเหล่าขุนนางชั้นสูงที่ชื่นชอบการพนัน และบ้าเลือดโดยเฉพาะ
ส่วนโถงร้อยปัญญา เป็นสถานที่ที่รวบรวมข้อมูลไว้มากมาย รอให้เหล่าผู้คนได้เข้ามาสอบถามใช้บริการ
ขณะที่เย่หยวนและหลี่จีกำลังจะออกไป พวกเขากลับถูกใครบางคนเพ่งเล็งไว้จากระยะไกล
ฮ่าวเอ๋อร์เป็นนักฆ่าระดับแม่ทัพปีศาจแห่งโถงนักฆ่า ความแข็งแกร่งของเขานับเป็นที่สุดของบรรดานักฆ่าปีศาจชั้นแม่ทัพในโถงนักฆ่า
เขามีหน้าที่เฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของตระกูลฟางมาตลอดสามเดือน และในที่สุดเขาก็พบเย่หยวนจนได้ แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ เขาจะออกมาพร้อมกับหลี่จี
โถงนักฆ่ามีกฎเหล็กระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามกระทำการณ์เคลื่อนไหวต่อผู้คนที่มีสายเลือดของสี่ตระกูลใหญ่
แน่นอนว่าพวกเขาอาจได้เงินในจำนวนมหาศาล แต่ท้ายที่สุดก็มิอาจพ้นโทษอยู่ดี
อำนาจอิทธิพลของสี่ตระกูลใหญ่มากมายมหาศาลยิ่งในเมืองหลวงแห่งนี้ เพียงกระตุกเส้นผมแค่เส้นเดียว อาจกระทบทั้งตัว
แม้แต่กลุ่มอิทธิพลใหญ่อย่างโถงโลหิตปรโลกเองก็ยังไม่ค่อยเต็มใจที่จะรุกรานยั่วยุมากนัก
“ไม่น่าแปลกใจที่ไฉนไคซินถึงต้องการฆ่าเจ้าเด็กนี่มากนัก เขาสามารถเอาชนะใจของบุปผาน้ำแข็งที่งดงามที่สุดแห่งเมืองหลวงคาโปนได้นี่เอง จงคิดไปเสียว่าตนเองยังโชคดีได้อีกสักพัก! หื้ม? พวกเขากำลังเดินทางไปที่โถงโลหิตปรโลก?”
คู่คิ้วของฮ่าวเอ๋อร์กระตุกขึ้นทันที พร้อมแสยะยิ้มกว้าง
…………………………………………………..