แต่เย่หยวนกลับยิ้มและกล่าวว่า
“หากให้ข้าเดา คงสูงกว่าพวกท่านเล็กน้อย”
ประโยคเดียวทำเอาทุกคนแทบกลั้นใจตาย
ก่อนหน้านี้ว่าหน้าด้านแล้ว แต่ไม่ยักรู้ว่าเขาจะหน้าด้านขนาดนี้!
ทักษะการปีนเกลียวของเย่หยวนนับว่าสำเร็จถึงขั้นสุดแล้วจริงๆ!
“ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้มาโผล่มาจากไหน? ไฉนถึงกล้าหยิ่งผยองปานนี้?”
“ผู้อาวุโสทั้งห้าหมกมุ่นอยู่กับศาสตร์แห่งโอสถมาทั้งชีวิต ความแข็งแกร่งต่อศาสตร์แห่งโอสถของพวกท่านนับว่าประสบความสำเร็จถึงจุดสูงสุด พวกเขาจะปล่อยให้ไอ้เด็กเหลือขอนี่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงได้อย่างไร?”
“ท่านเมิ่งฉี ปล่อยให้เจ้าเด็กนี่อวดดีหยิ่งยโสเพื่ออันใด? ฆ่าทิ้งเลย!”
…
คำกล่าวของเย่หยวนได้สร้างความโกรธแค้นให้แก่สาธารณชนกันถ้วนหน้า
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์มันพัฒนาจนเกินว่าจะควบคุมได้แล้ว หลี่จีก็ขยิบตาใส่เย่หยวนด้วยความโกรธจัด เริ่มมองอีกฝ่ายด้วยความกังวล
นางแอบระบายความอัดอั้นภายในใจไม่รู้จบ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พี่สาวคนนี้กลับไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้แล้ว!
สายตาของเมิ่งฉีเริ่มทอประกายเยียบเย็น เขาเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นชาขึ้นว่า
“ไอ้เด็กเหลือขอ มาพล่ามวาจาก่อปัญหาถึงโถงโอสถปีศาจเช่นนี้ ต่อให้ตระกูลฟางก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น! ข้าจะโยนมันออกสวนสมุนไพรให้เหมือนกับปุ๋ย!”
ภายใต้คำสั่งของเมิ่งฉี ปรากฏชายร่างใหญ่กว่าสิบคนตรงเข้ามาในโถง สิ่งหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งคือ พวกเขามิได้อ่อนแอแน่นอน
สีหน้าการแสดงออกของหลี่จีเปลี่ยนไปอย่างมาก นางเร่งตรงเข้าไปดึงแขนของเมิ่งฉีและกล่าวว่า
“ท่านปู่เมิ่งฉี ท่านเฝ้าดูหลี่จีเติบใหญ่ตั้งแต่ยังเยาว์วัย เขา…เขาเป็นคนของข้า ข้าขอร้องเถิด โปรดให้ทางออกแก่เขาด้วย!”
น้ำเสียงของหลีจี่สั่นคลอนแทบน้ำตาไหล
นางตระหนักชัดแจ้งดีเยี่ยมเกี่ยวกับขุมพลังอำนาจของโถงโอสถปีศาจแห่งโถงโลหิตปรโลก แค่ตระกูลฟางไม่มีทางก่อศึกสงครามกับโถงโอสถปีศาจได้แน่นอน เพียงเพื่อแค่บรรพกาลราตรีตัวน้อยคนเดียว
ด้วยความโกรธแค้นของโถงโอสถปีศาจ มันก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้ตระกูลฟาง นี่หาใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
เมิ่งฉีเหลือบมองไปยังหลี่จี ก่อนจะกวาดสายตาใส่เย่หยวนอีกครั้ง เขาเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า
“ไอ้เด็กเหลือขอ อย่ามาตำหนิว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้า! หม้อหลอมทั้งห้านี้จงเลือกมาหนึ่ง และหากสามารถแยกองค์ประกอบของเศษโอสถภายในนั้นได้เกินสามในสิบส่วน ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
หลี่จีตื่นตะลึงหนักเมื่อได้ยินแบบนั้นและย้ำขึ้นว่า
“ท่านปู่เมิ่งฉี!”
เมิ่งฉีกรนเสียงเย็นกล่าวว่า
“แม่หนู หากข้าไม่เห็นแก่หน้าเจ้า เราชายชราย่อมไม่มอบโอกาสเช่นนี้ให้แน่นอน! หากเขายังพอมีทักษะในศาสตร์แห่งโอสถ ก็ลืมเรื่องนี้ไปซะ แต่หากเขาแสร้งทำเป็นรู้ และยังมากล่าวหาทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของเราชายชรา เช่นนั้นเป็นไปได้ไหมว่า เราชายชราจะยอมปล่อยไปง่ายๆ?”
การแยกองค์ประกอบของเศษโอสถเหล่านี้ ต่อให้เป็นปรมาจารย์ปรุงโอสถปีศาจ พวกเขายังไม่สามารถเอ่ยกล่าวได้ถูกต้องทั้งหมด
แยกองค์ประกอบของเศษโอสถแตกต่างจากการแยกองค์ประกอบของหัวเชื้อโอสถโดยสิ้นเชิง
เพราะส่วนประกอบต่างๆได้ถูกหลอมรวมเข้าหากันและผ่านกระบวนการหลอมกลั่นภายในหม้อหลอมเรียบร้อย กล่าวได้ว่าแทบแยกแยะไม่ออก
หากต้องการแยกว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง เกรงว่าเป็นเรื่องยากลำบากครั้งใหญ่หลวง
แม้แต่เมิ่งฉีเอง หากอยู่ภายใต้สถานการณ์เดียวกันโดยที่เขาไม่รู้สูตรโอสถอยู่ก่อน เขาคงแยกแยะได้มากสุดแค่เจ็ดในสิบส่วนเท่านั้น
คำร้องขอของเย่หยวนในคราวนี้ไม่ถือว่ามากเกินไป นี่เป็นการให้หน้าหลี่จีมากแล้ว
แต่เขาเอายังต้องถนอมใบหน้าตัวเองเช่นกัน
สุดท้ายนี้…สามในสิบส่วนก็หาใช่น้อยๆไม่!
แต่เย่หยวนกลับยิ้มและกล่าวว่า
“แค่แยกองค์ประกอบ ง่ายดายนัก”
“ง่ายงั้นรึ? เกรงว่าเจ้าจะเอ่ยวาจาโอ้อวดเกินไป! แม่หนูเจ้าไม่ไว้หน้าแม้แต่ไคซิน แต่กลับเลือกไอ้เด็กสร้างปัญหาเช่นนี้รึ?”
เมิ่งฉีจับจ้องนางพร้อมสายตาสุดเคร้งขรึม
ใบหน้าของหลี่จีแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นทันที และอดเหลียวมองเย่หยวนมิได้
เย่หยวนมิเอ่ยกล่าวอันให้มากความ เขาเดินตรงมาที่หม้อหลอมโอสถใบหนึ่ง และตบฝ่ามือใส่ยังฝาหม้อ พลันปรากฏเถ้าตะโกสีดำลูกหนึ่งพุ่งออกมา
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ร่องรอยความประหลาดพลันยปรากฏขึ้นประดับใบหน้าของเมิ่งฉีชั่วครู่
ไม่ว่าจริงแท้หรือเท็จปลอม หากผู้เชี่ยวชาญเคลื่อนไหวออกโรงจะมองออกในพริบตา
ความเข้าใจของเย่หยวนต่อหม้อหลอมโอสถสำแดงออกมาชัดแจ้ง ลงมือคล่องแคล่วราวกับอยู่ติดมือ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนมีประสบการณ์อย่างมาก
ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ
เพียงว่า หากจะบอกว่าเย่หยวนสามารถแยกแยะองค์ประกอบได้จริงๆ เรื่องนี้กลับยากเกินจะเชื่อลง
เย่หยวนเพียงสังเกตเล็กน้อยพลางสูดดมกลิ่น เขาก็เอ่ยกล่าวขึ้นทันที
“ข้างในนี้มีรากเครามังกร ผลึกเพลิงปีศาจ หญ้ากระเรียนไม้กุหลาบ…”
เย่หยวนยังคงเอ่ยอธิบายแยกแยะองค์ประกอบต่อไป อย่างละเอียดรายตัว
เมื่อได้ยินชื่อส่วนประกอบเหล่านั้น สีหน้าการแสดงออกของแต่ละคนพลันเปลี่ยนไปอย่างมาก ตะลึงงันอย่างยิ่ง
คล้อยหลังอธิบายองค์ประกอบทั้งหมดเสร็จสิ้น เย่หยวนก็เม้มริมฝีปากเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า
“น่าเสียดาย ที่ทักษะการควบคุมไฟของท่านยังไม่เสถียรพอ ในขั้นตอนแรกแบ่งไฟร้อนเกินสามส่วน ในขั้นตอนที่สามอ่อนเกินไปสองส่วน แถมขั้นที่สี่… นอกจากนี้แล้ว สมาธิระหว่างหลอมกลั่นยังกระจัดกระจายไม่มุ่งรวมเป็นจุดเดียว จึงมิอาจระดมเต๋าได้สมบูรณ์แบบ แม้ว่าในท้ายที่สุดท่านจะบังเอิญหลอมกลั่นสำเร็จ แต่อย่างมากคงได้เพียงขั้นต่ำเท่านั้น”
ทุกคนต่างเหลียวสายตาจับจ้องไปที่เมิ่งฉี พวกเขาโดยรอบไม่สามารถกล่าวได้ว่าสิ่งที่เย่หยวนพูดออกไปผิดหรือถูก จึงจำต้องรอฟังมุมมองของเมิ่งฉี
ไม่ปรากฏสีหน้าใดบนใบหน้าของเมิ่งฉี ดูเหมือนว่าเขาจะถูกเย่หยวนจูงจมูกไปเสียแล้ว
ซึ่งในความเป็นจริง คลื่นความกังขาของเขาที่มีต่อเย่หยวนได้ถูกทำลายลงไปนานแล้ว
เด็กคนนี้น่าเกรงขามยิ่งนัก! สามารถแยกแยะสิ่งต่างๆมากมายได้โดยละเอียดจากก้อนตะโกดำๆก้อนนี้!
ส่วนเรื่องระหว่างหลอมกลั่นนับเป็นเรื่องส่วนตัว แม้ว่ามาตรฐานของเมิ่งฉีจะไม่ค่อยดีนัก แต่เขาเองก็มีประสบการณ์เจนจัดด้านการหลอมกลั่นมามากเช่นกัน ดังนั้นเขาจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าตนผิดพลาดตรงไหนบ้าง?
แต่การที่รู้เช่นนี้ก็หาใช่ว่าจะแก้ไขกันได้ง่ายๆ
ขีดความแข็งแกร่งของแต่ละคนมีจำกัด และเมื่อพยายามต่อไปอย่างไรจุดหมาย บางครั้งไม่ว่าจะทำงานหนักเพียงใด แต่ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาเหล่านั้นก็ยังมิอาสจฝ่าฟันก้าวข้ามปัญหาได้
การหลอมกลั่นโอสถเป็นงานละเอียดอ่อน และไม่สามารถผิดพลาดได้แม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามแต่ เมิ่งฉีนับเป็นบุคคลผู้ทรงอำนาจในบรรดานักปรุงโอสถปีศาจชั้นนำ โดนเด็กน้อยเทศน์ซะหูชาเช่นนี้ เขาจะไปเอาหน้าไปไว้ที่ใด?
เขาเกาศีรษะเล็กน้อยและเอ่ยแถตอบไปว่า
“เหอะ! เจ้ารู้หรือไม่ว่า โอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจมันหลอมกลั่นยากเย็นเพียงใด สิ่งที่เจ้าถกเถียงไปนับว่ามีเหตุมีผล แต่หากเจ้ามีความสามารถจริง เช่นนั้นไม่ลองหลอมกลั่นให้ข้าดูล่ะ?”
โอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจเป็นโอสถปราบเซียนระดับสองดาว ในบรรดานักปรุงโอสถปีศาจทั้งหมดในเมืองหลวงคาโปน มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถหลอมกลั่นขึ้นมาได้สำเร็จ
แม้แต่คนอื่นๆ ในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถหลอมกลั่นได้เลย
ดังนั้นเขาจึงแถใช้ประโยคนี้เพื่อปิดปากของเย่หยวน กล่าวให้ฟังโดยง่ายคือ เขาแถ‘วาจาไร้สาระ’เพื่อมิให้ตัวเองหน้าแตก
อย่างไรก็ตาม คำตอบของเย่หยวนกลับจำต้องให้เขาผิดหวัง
เย่หยวนช้อนสายตามองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านต้องการให้ข้าหลอมกลั่นให้ดูจริงๆ หรือ?”
เมิ่งฉีตกตะลึงอย่างมากเมื่อได้ยิน สีหน้าของเขาพลันบูดบึ้งยิ่งยวด
“ไร้สาระ! ใครมันกล้าพล่ามไร้สาระ หากกล่าวราวกับว่าทุกคนสามารถหลอมกลั่นได้จริงๆ เช่นนั้นก็จงทำให้ดูเป็นขวัญตา! หากทำไม่ได้ก็รีบๆไสหัวไปซะ!”
เขาไม่เชื่อว่า ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้จะสามารถหลอมกลั่นโอสถผนึกมังกรเพลิงปีศาจได้จริงๆ!
แม้คำกล่าวเหล่านี้ฟังดูยากเพียงพื้นผิว แต่แท้จริงแล้วนัยแฝงกลับหมายถึง เมิ่งฉีได้ยอมรับเย่หยวนในระดับหนึ่งแล้ว
องค์ประกอบที่เย่หยวนกล่าวไปล้วนถูกต้องครบถ้วน ไม่มีจุดผิดพลาดแม้แต่น้อย
เมิ่งฉีคิดว่า เบื้องหลังของเย่หยวนควรจะมีปรมาจารย์สุดน่าเกรงขามคอยสั่งสอน จึงทำให้รากฐานการหลอมกลั่นโอสถของเขามั่นคงขนาดนี้
แต่หากจะให้บอกว่า เย่หยวนสามารถหลอมกลั่นโอสถผนึกมังกรเพลิงปีศาจได้จริงๆ ต่อให้ตายเขาก็ไม่มีทางเชื่อ
หากปราศจากการบ่มเพาะฝึกปรือนับพันปี การจะหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองดาวมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย!
เย่หยวนยิ้มกล่าวว่า
“โอสถผนึกมังกรเพลิงปีศาจ ข้าเองก็ไม่เคยหลอมกลั่นมาก่อนเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ภายในใจของเมิ่งฉีที่บีบตัวแน่น ยามนี้พลันผ่อนคลายลงทันที ในที่สุดไอ้เด็กบ้านี่ก็ยอมแพ้เสียที
แต่ในขณะที่เขากำลังจะกล่าว จู่ๆ เย่หยวนก็กล่าวแทรกขึ้นว่า
“แต่หากยืนกรานเช่นนี้ ข้าจะลองหลอมกลั่นดูสักรอบก็ได้”
เมิ่งฉีแทบกระอักพ่นเลือดสดออกมา ถ้ายังจะกล่าวต่อ ก็อย่าเว้นช่วงนานปานนี้!
เดี๋ยวก่อน หลอมกลั่นครั้งแรก?
“เจ้าเด็กคนนี้กินยาลืมเขย่าขวดกระมัง? หรือคิดว่าตัวเองเป็นเทพบรรพชนโอสถ? หรือเป็นไปได้ไหมว่า ไม่ว่าโอสถชนิดใดล้วนถูกผลิตขึ้นจากหัวของเจ้า?”
“เจ้าไม่เคยหลอมกลั่นโอสถผนึกมังกรเพลิงปีศาจมาก่อน? หรือนี่เห็นเราเป็นของเล่นกระมัง?”
“ท่านเมิ่งฉีอุตส่าห์ไว้ชีวิตเจ้าแล้ว ไฉนยังผลักดันผู้คนไปไกลปานนี้?”
คำกล่าวของเย่หยวนได้ก่อให้เกิดคลื่นเสียงเหยียดหยั่นดูถูกขึ้นมาทันใด
……………………………………………………