“เทพบรรพชนโอสถ? เทพบรรพชนโอสถคือใครกัน? หรืออาจเป็นหนึ่งใน…เก้าบรรพกาลเต๋า?”
เมื่อเย่หยวนได้ยินชื่อนี้ขึ้นมา ภายในใจของเขาพลันปั่นป่วนไปหมดโดยมิตั้งใจ และเริ่มสื่อสารกับหวูเฉินทันทีผ่านห้วงความคิดของเขา
หวูเฉินกล่าวว่า
“เทพบรรพชนโอสถหาใช่นามขานของเก้าบรรพกาลเต๋า แต่เป็นสถานะศักดิ์ของเขาที่สูงมากบนมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ กล่าวกันว่าเขาผู้นั้นเป็นมหาบรรพชนนักหลอมโอสถผู้เก่าแก่ที่สุดบนมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ ทั้งสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่นักหลอมโอสถทุกคนมีติดบ้าน ล้วนแล้วมีรากฐานมาจากสิ่งประดิษฐ์ของเขาผู้นั้นทั้งสิ้น บางทีอาจมีป้ายบูชาของเขาโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ!”
เย่หยวนเอ่ยตอบด้วยความประหลาดใจว่า
“มีบุคคลเช่นนี้อยู่จริงๆ! เขาเรียกตัวเองว่าเทพบรรพชนโอสถเช่นนี้โดยมิได้รับอนุญาต แล้วเป็นไปได้ไหมว่า บรรพกาลเต๋าทั้งเก้าจะปล่อยผ่านไปโดยหาไม่ตรวจสอบอันใด?”
หวูเฉินยิ้มกล่าว
“ท่านบรรพกาลเต๋าทั้งเก้าผู้ยิ่งใหญ่อยู่เหนือขอบเขตของพวกเราไปแล้ว โดยปกติพวกเขาหาได้สนใจเรื่องราวบนมหาพิภพถงเทียนอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งของเทพบรรพชนโอสถยังพิเศษอย่างมาก บรรพกาลเต๋าทั้งเก้า แต่ละคนจะกระจายกันปกครองและควบตุมเต๋าในแต่ละพื้นที่ และสิ่งนี้มิอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ผู้ครอบครองเต๋าแห่งโอสถที่แข็งแกร่งที่สุดคือ เทพบรรพชนโอสถ ถึงจะควบคุมเต๋ามิได้ แต่ก็ต่างเป็นที่ยอมรับของบรรพกาลเต๋าทุกคน แน่นอน มิจำต้องกล่าวถึงเทพบรรพชนโอสถเลย แม้แค่จักรพรรดิเทพสวรรค์ฟ้าแห่งโอสถก็อยู่เหนือขอบเขตของพวกเราทุกคนแล้ว”
สิ่งที่เย่หยวนแสวงหามาตลอดชีวิตก็คือเต๋าแห่งโอสถอันไร้ขอบเขต
การดำรงอยู่อันยิ่งใหญ่ของเต๋าแห่งโอสถที่ว่า ทำให้เย่หยวนรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า บนมหาพิภพถงเทียนจะมีบุคคลเช่นนั้นดำรงอยู่จริงๆ! ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สักวันข้าจะได้นั่งสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับเขา!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมอารมณ์ที่ผันแปร
…
สีหน้าการแสดงออกของเมิ่งฉีพลันมืดขรึมลงเล็กน้อย ยามนี้เขามิอาจเข้าใจเย่หยวนได้อีกต่อไป
อยากจะบอกว่าเย่หยวนไม่มีทางหลอมกลั่นได้ แต่เขากลับสามารถแยกแยะองค์ประกอบจากเศษซากโอสถได้จริงๆ
แต่ท้ายที่สุดนี้ หากบอกว่าเย่หยวนสามารถหลอมกลั่นโอสถผนึกมังกรเพลิงปีศาจขึ้นมาได้ เขาไม่มีวันเชื่อแม้นต้องถูกทุบตัจนตาย
“หึ! ไปเตรียมสมุนไพรวิญญาณมา! ข้าอยากจะเห็นเสียเหลือเกินว่า เด็กเหลือขอคนนี้จะหลอมกลั่นอะไรได้บ้าง! เด็กน้อยอย่าตำหนิข้าว่าไม่ให้โอกาส ข้าจะเตรียมวัตถุดิบให้เจ้าสามชุด! หากหลอมกลั่นไม่สำเร็จก็จงรับผลที่ตามมาด้วยตัวเจ้าเอง!”
เมิ่งฉีเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึม
เย่หยวนร่วนหัวเราะเล็กน้อย
“ผ่อนคลายเถิด โอสถระดับนี้มิอาจทำให้ข้าฉงนมึนงงได้ ไม่ต้องถึงสามหรอก แค่ชุดเดียวก็เกินพอ”
“ฮ่าๆ ช่างเป็นวาจาที่น่าฟังนัก! ชายหนุ่มเจ้าควรลดศีรษะลงมาบ้าง มิฉะนั้นลมเหนือรุนแรงอาจพัดเจ้าจนเสียศูนย์!”
เมิ่งฉีหัวเราะเยาะเจือโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก
เย่หยวนยิ้มแต่หาได้เอ่ยตอบไม่
ในไม่ช้าสมุนไพรวัตถุดิบสำหรับหลอมกลั่นโอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจก็พร้อมสรรพตรงหน้า
จู่ๆ เย่หยวนก็กล่าวกับเมิ่งฉีว่า
“ขอยืมไฟศักดิ์สิทธิ์ของท่านมาใช้ที!”
เมื่อวาจาคำกล่าวนี้ดังออกมา สีหน้าการแสดงออกของทุกคนพลันเผยความประหลาดใจขึ้นทันที
เป็นนักปรุงโอสถปีศาจแท้ๆ แต่กลับไม่มีไฟศักดิ์สิทธิ์เป็นของตัวเอง?
ชายหนุ่มคนนี้หลอมกลั่นโอสถเป็นจริงๆรึ?
ไฟศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าก็คือ ปราณแห่งไฟที่ทะลวงขึ้นสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์แล้วนั้นเอง
เพลงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวของเย่หยวนได้ทะลวงขึ้นสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์นานแล้ว และกลายมาเป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ แต่ทว่าหลังจากที่เย่หยวนสำเร็จขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า ไฟศักดิ์สิทธิ์ของเขากลับไม่สามารถพัฒนาต่อไปพร้อมกับเขาได้
ตอนนี้เย่หยวนเตรียมจะต้องหลอมกลั่นโอสถแล้ว แต่กลับไม่มีไฟศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงหายืมจากเมิ่งฉี
“ดูเหมือนว่าข้าจำต้องหาโอกาสให้เพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวยกระดับพัฒนาขึ้นแล้ว นี่คงหาใช่ปัญหาแน่นอน หากภูตเพลิงอยู่เคียงข้างข้า”
เย่หยวนถอนหายใจเล็กน้อยพลันหลากอารมณ์ ยามนี้หวนพินิจคิดถึงภูติเพลิงขึ้นมาโดยมิตั้งใจ
บนเส้นทางแห่งการอพยพครั้งนี้ เย่หยวนจำต้องประหยัดเงินให้ได้มากที่สุด เพื่อทำความคุ้นชินกับคุณสมบัติของสมุนไพรวิญญาณระดับสอง
เมื่อเขาออกมาจากเมืองหลวงหวูเมิ่ง เย่หยวนมีผลึกปราณเทวะติดตัวอยู่ประมาณแปดสิบล้าน
ศิลาปราณเทวะที่หอมหาสมบัติให้มาอีกสี่สิบล้าน
นอกจากนี้เย่หยวนยังสังหารฉินเทียน เช่นเดียวกันหลินซิ่ง ฉินเจิ่งและคนอื่นๆ แน่นอนว่าแหวนเก็บของทั้งหมดล้วนตกอยู่ในมือของเย่หยวนทั้งสิ้น
เมื่อนับรวมกันแล้ว คล้อยหลังที่เย่หยวนจากไป เขามีผลึกปราณเทวะติดตัวอยู่มากมาย
ระหว่างทางที่อพยพหนีจากมา เย่หยวนมักจะเข้าเมืองและกวาดสินค้าทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องหลอมกลั่นโอสถ รวมไปถึงซื้อสมุนไพรวิญญาณมา
ปัจจุบันเย่หยวนมีเงินเหลือเฟือสำหรับหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสอง
แต่สำหรับโอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจนี้กลับเป็นครั้งแรกของเย่หยวนจริงๆ
จอมเทพนิรันดร์เคยศึกษาโอสถปีศาจมาไม่น้อย ซึ่งเย่หยวนเองก็ได้เรียนรู้มาจากหวูเฉินอีกที ทว่าสำหรับรายละเอียดปลีกย่อย เขาไม่เคยทดลองหลอมกลั่นมาก่อน
แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเย่หยวน การหลอมกลั่นโอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจกลับหาใช่เรื่อยากอยู่ดี
เมิ่งฉีกรนเสียงเย็นเจือรำคาญก่อนยื่นฝ่ามือออกมา พลันปรากฏต้นกล้าเพลิงสีขาวขึ้นมาบนมือของเขา
“นักปรุงโอสถปีศาจที่ไม่มีแท้แต่ไฟศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง แต่กลับพูดจาอึงโขใหญ่โตนัก! ข้าอยากจะเห็นเสียจริงว่า เจ้าจะหลอมกลั่นโอสถได้อย่างไร! หึ!”
เมิ่งฉีเค้นเสียงเย็นใส่คำโต
ต้นกล้าเพลิงค่อยๆลอยไปหาเย่หยวน ส่วนเขาเองก็ยื่นมือกวักเรียกเข้ามา เพียงขยับปลายนิ้วเล็กน้อย ต้นกล้าเพลิงก็เริ่มเจริญพันธุ์เติบโตขึ้นเป็นต้นไฟเพลิงทันที
ความประณีตของนักปีปรุงโอสถปีศาจมิอาจมองผ่านอ่านออกกันได้ง่ายๆ!
“เพลิงปีศาจกระดูกขาว อืม…ไม่เลว เช่นนั้นข้าขอยืมไปใช้ก่อน”
เย่หยวนกล่าวขึ้น
แต่เมื่อเมิ่งฉีเห็นภาพฉากนี้ เขาพลันตื่นตะลึงหนักเป็นคำรบสอง
โดยไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นใด เพียงทักษะการควบคุมไฟของเย่หยวนก็เหนือชั้นกว่าเขามากแล้ว!
แท้ที่จริงไฟศักดิ์สิทธิ์มักคุ้นชินกับเจ้าของมากที่สุด แต่เมื่อมันสามารถเชื่อมต่อกับเย่หยวนได้โดยตรงเช่นนั้น พลันก่อเกิดคลื่นยักษ์ในใจเขาทันใด
นี่…นี่ทำให้เขาชักจะเสียขวัญแล้ว
อย่างไรก็ตามแต่ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
เมื่อเย่หยวนเริ่มหลอมกลั่นโอสถ ความมั่นใจของเมิ่งฉีก็เริ่มถูกกัดเซาะเข้าเรื่อยๆ ดั่งคลื่นทะเลกลืนชายฝั่ง
“ช่างเป็นทักษะการควบคุมไฟที่น่าประทับใจนัก! ปรากฏว่าเด็กคนนี้รู้จักวิธีหลอมกลั่นจริงๆ! นอกจากนี้…ทักษะยังอยู่ในระดับสูง!”
“นี่มันวิธีหลอมกลั่นแบบใดกัน? ไฉนข้าไม่เคยเห็นมาก่อน!”
“ถูกต้อง! วิธีหลอมกลั่นกลับแตกต่างจากพวกเราโดยสิ้นเชิง! แต่ไยข้ารู้สึกว่าวรยุทธที่เขาสำแดงใช้มันอยู่เหนือกว่าพวกเราหลายขุมเพียงนี้!”
“เจ้าโง่! นั้นคือเต๋า! วรยุทธที่เขาสำแดงใช้มีเต๋าอยู่ด้วย! เขาได้รับความช่วยเหลือจากเต๋าเหล่านั้น!”
…
เสียงเอ่ยอุทานดังขึ้นไม่หยุดหย่อน เมิ่งฉีเองพลันตื่นตะลึงเป็นที่สุด
นี่คือผู้เชี่ยวชาญระดับปรมาจารย์ของจริง!
เพียงแค่วรยุทธหลอมกลั่นนี้ มันก็อยู่คนละระดับจากเมิ่งฉีโดยสิ้นเชิง!
ผู้อาวุโสทั้งห้าแห่งโถงโอสถปีศาจต่างจับจ้องเย่หยวนไม่วางตา เพราะกลัวว่าจะพลาดฉากสำคัญไป
ยิ่งไปกว่านั้นคือ…การหลอมกลั่นระดับปรมาจารย์เช่นนี้ มิได้มีโอกาสพบเห็นกันได้ง่ายๆ!
ริมฝีปากบางสีแดงหวานของหลี่จีเปิดขึ้นเล็กน้อย ยามนี้นางอ้าปากค้างอยู่แบบนั้นเป็นเวลานานแล้ว
เท่มาก!
เท่เกินไปแล้ว!
นางเฝ้ามองเย่หยวนหลอมกลั่นโอสถอยู่แบบนั้นด้วยความหลงใหล
ตั้งแต่เด็กจนโตขึ้นมา นางเองก็เห็นนักปรุงโอสถปีศาจของโถงโอสถปีศาจมาก็หาใช่น้อยๆ
แต่ไม่เคยมีใครเคยทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นและสุขใจเช่นนี้สะท้านขึ้นขั้ววิญญาณ
“ขึ้นรูป!”
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเพียงใด เพียงได้ยินเสียงเย็นตะโกนเบาๆ โอสถเม็ดนั้นก็เริ่มขึ้นรูปทันที!
เย่หยวนถอนหายใจกล่าวอย่างเสียอกเสียใจว่า
“เนื่องจากเป็นการหลอมกลั่นครั้งแรก การควบคุมไฟจึงไม่ดีเท่าที่ควร คุณภาพโอสถจึงออกมาไม่ดีนัก”
เมื่อกล่าวจบเย่หยวนก็ยกมือกวักเรียก มีโอสถเม็ดหนึ่งพุ่งวางลงในภาชนะหยก
“ขั้นยอดเยี่ยม! โอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจขั้นยอดเยี่ยม!”
ทุกคนต่างสูดไอเย็นจัดเข้าสุดขั้วปอด ก่อนเหลียวเข้าจับจ้องเย่หยวนราวกับเห็นผี
โอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจขั้นยอดเยี่ยม ยังถูกเย่หยวนกล่าวว่า คุณภาพโอสถไม่ดีนัก?
เมิ่งฉีเจียนจะตบหน้าตัวเองแรงๆ สักครั้ง นี่เป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่ สิ่งที่ทำให้เขาเสียขวัญเกินไป!
เขาหลอมกลั่นโอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจได้ดีที่สุดแค่ขั้นกลางเท่านั้น และเขาไม่เคยหลอมกลั่นได้ชั้นสูงมากก่อนเลย
ทว่าอีกคนกลับหลอมกลั่นคราวนี้เป็นครั้งแรก และก็ได้ขั้นยอดเยี่ยมอย่างน่าเหลือเชื่อ!
ความแตกต่างนี้…ช่างมากมายเกินไป!
เขาไม่สงสัยข้อแก้ตัวของเย่หยวนใดๆ เมิ่งฉีตระหนักดีว่านี่เป็นครั้งแรกของเย่หยวนจริงๆที่หลอมกลั่นโอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจ
แม้วรยุทธหลอมกลั่นของเย่หยวนจะลึกซึ้งอย่างมาก แต่ความอึดอัดเก้ๆกังๆและความไร้ประสบการณ์ของเขากลับไม่สามารถปิดบังได้
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ พวกเขาเคยเห็นกันนับครั้งไม่ถ้วนแล้วจากพวกมือใหม่
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เย่หยวนเริ่มปรับตัวให้คุ้นชินและเริ่มเข้าสู้สภาวะสมดุล ดังนั้นยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ การเคลื่อนไหวของเขาก็ยิ่งดูนุ่มนวลมากขึ้นเท่านั้น
…………………………………………..