หลังจากสัญญาณถูกส่งเข้ามือเย่หยวน พลันปรากฏคลื่นพลังงานสั่นกระเพื่อมขึ้น ทำเอาเขาพลันตระหนกเล็กน้อย
ไม่ทราบว่าสัญญานี้มาจากมือใคร ทว่าความแข็งแกร่งของบุคคลนั้นน่าสะพรึงกลัวนัก
จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนที่จมลงสู่ภายใน ทันใดนั้น เนื้อหาสัญญาณก็เปิดขึ้นมาด้วยตัวเอง
เขาครุ่นคิดวิเคราะห์เนื้อหาสัญญาโดยละเอียด หลังจากตรวจสอบถึงความครอบคลุม ก่อนพบว่าไม่มีปัญหาอันใด จึงเอ่ยขึ้นว่า
“ไม่มีปัญหาอะไรในตอนนี้ ข้าต้องการทราบข้อมูล มิทราบว่าสามารถเอ่ยถามได้หรือยัง?”
อวี้หานยิ้มและกล่าวว่า
“แน่นอน ท่านสามารถทำได้! ท่านสามารถเอ่ยถามตัวสัญญาได้โดยตรงเพื่อกำหนดระดับข้อมูลของคำถาม จากนั้นก็หยดโลหิตลงบนสัญญา และข้อมูลที่ต้องการทราบจักปรากฏขึ้นมา”
เย่หยวนสูดหายใจเข้าลึกๆและเอ่ยถามกับตัวสัญญาว่า
“เมื่อหนึ่งล้านปีก่อน ณ เมืองหลวงคาโปน มีแม่ทัพปีศาจนามว่าข่านนั่ว ข้าอยากจะทราบว่าใครกันที่เป็นคนส่งเขาไปทำภารกิจสุดท้าย รวมไปถึงข้อมูลทั้งหมดที่เขาได้รับสั่งไป!”
หลังจากที่เอ่ยถามเรื่องนี้ออกไป ตัวสัญญาณก็มีปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว ทันทีทันใดคำหนึ่งก็ค่อยๆขยายใหญ่ปรากฏขึ้น
‘แปด’
ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเย่หยวนในทันที เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ระดับข้อมูลที่เขาอยากทราบจะสูงขนาดนี้!
เมื่อเห็นเลข‘แปด’ปรากฏขั้นมาในตัวสัญญา อวี้หานพลันคลี่ยิ้มเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“หุหุ คาดไม่ถึงมาก่อนเลยว่า ข้อมูลที่ท่านบรรพกาลราตรีต้องการทราบจะมีมูลค่าสูงขนาดนี้…หนี้บุญคุณกลับไม่เล็กเลย”
ตั้งแต่ระดับสี่จนถึงเก้า เนื้อหาความยากของสัญญานนั้นจะแตกต่างไปจากทั่วไปโดยธรรมชาติ
ระดับสี่ยังเป็นเนื้อหาสัญญารค่อนข้างง่าย ในขณะที่ระดับเก้าอาจนำผู้ตกลงสัญญาตกลงสู่ความตาย
หากใครไม่ยอมตรวจสอบข้อมูลให้ดี และความแข็งแกร่งของพวกเขากลับไม่ตรงกับเนื้อหน้าภารกิจสัญญา นั้นก็ไม่ต่างอะไรจากหนทางสู่ความตายจริงๆ
อวี้หานจับจ้องไปที่เย่หยวนด้วยความสนใจ และนางต้องการดูว่า เขาจะเลือกอย่างไร
อย่างไรก็ตาม นางกลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
นางมิอาจเห็นคลื่นความผันผวนลังเลใจใดๆในตัวเย่หยวนเลย ราวกับว่าสิ่งที่เขากำลังถืออยู่เป็นแค่กระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง
ทันใดนั้นแสงเย็นประกายวับเชือนผ่านนิ้วมือเย่หยวนเล็กน้อย รอยกรีดฉีกออกพร้อมหยดเลือดสีมองลงบนสัญญาโดยไม่มีลังเล
หยดเลือดสีทองหยดหายลงไปทันที ในไม่ช้าประโยคเนื้อหาร่ายยาวอัดแน่นพลันขึ้นปรากฏบนสัญญา ทั้งหมดนั้นคือข้อมูลที่เย่หยวนต้องการจะทราบ
เย่หยวนเร่งอ่านทันทีโดยไว แต่ทันทีทันใดสีหน้าของเขาพลันบิดเบี้ยวน่าเกลียด
แน่นอนว่า ผู้ที่ส่งข่านนั่วไปยังดินแดนพฤกษานิรันดร์เป็นเจ้าเมืองในยุคนั้นนามว่า ข่านสั่ว
มิใช่แค่ข่านสั่วผู้นี้ยังไม่ตายเท่านั้น แต่เขายังทะลวงผ่านจ้าวทัพปีศาจขึ้นกลายมาเป็นราชาปีศาจชั้นสวรรค์ระดับหนึ่งแล้วในปัจจุบัน หรือก็คืออาณาจักรนภาสวรรค์หนึ่งดาวของเผ่ามนุษย์!
หลังจากที่บรรลุเต๋าทะลวงผ่านอาณาจักรราชันพระเจ้าไปได้ พวกเขาจะเข้าสู่อาณาจักรพลังใหม่ และแต่ละดาวล้วนยากแสนเข็ญจากการเลื่อนระดับ
แต่ละอาณาจักรหลักจะแบ่งออกมาเก้าสวรรค์หรือก็คือเก้าดาว
การจะเลื่อนระดับในแต่ละดาวยากเหลือ เกินพรรณนานัก อย่างน้อยต้องใช้เวลากว่าหนึ่งแสนปีเป็นขั้นต่ำ
ปัจจุบันวันเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งล้านปี ความแข็งแกร่งของข่านสั่วเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ จนได้บรรลุมาถึงระดับชั้นราชาปีศาจแล้ว!
ดูเหมือนว่าสำหรับข่านสั่วผู้นี้ ข้ายังต้องเก็บหนี้แค้นรอสะสางในภายภาคหน้า เย่หยวนลอบถอนหายใจอย่างลับๆ
ข่านสั่วผู้นี้เดินทางออกจากเมืองหลวงคาโปนเมื่อนานมาแล้ว และตอนนี้เขาก็กำลังดำรงอาศัยออยู่ในเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะซึ่งเป็นขุมกำลังมหาศาล
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับข่านสั่วผู้นี้ ทั้งหมดล้วนเป็นข้อมูลอันมีค่าอย่างยิ่ง มากซะจนควรได้จะเป็นสัญญาระดับแปด
อย่างไรก็ตามแต่ เย่หยวนก็แอบตกใจเช่นกัน และเริ่มเข้าใจชัดแจ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับขุมพลังอำนาจของโถงโลหิตปรโลก
แม้แต่ข้อมูลของเซียนราชาปีศาจยังมีบันทึกได้โดยละเอียด สิ่งนี้หาใช่แค่กลุ่มอิทธิพลอำนาจทั่วไปที่จะสามารถจัดหาข้อมูลเหล่านี้ได้
หลังจากที่เย่หยวนจดบันทึกข้อมูลของข่านสั่วเรียบร้อยเสร็จ ประโยคเนื้อหาบนสัญญาก็ค่อยๆจางหายไป
เย่หยวนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตัวเขากับสัญญาได้เกิดการเชื่อมต่อที่แสนลึกล้ำขึ้นแล้ว
เย่หยวนคืนตัวสัญญาให้แก่อวี้หานและเอ่ยกล่าวอย่างเฉยเมยว่า
“ผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็มิได้แย่นัก”
เขาหาได้สนใจแม้แต่น้อย สักวันหนึ่งเขาจะก้าวขึ้นสู่อาณาจักรนภาสวรรค์และแสวงหาความเป็นธรรมให้แก่ดินแดพฤกษานิรันดร์
“หุหุ ท่านบรรพกาลราตรีหาได้สนใจ แต่อวี้หานคนนี้กลับรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก! ข้ารู้สึกได้เลยว่า บุญคุณที่ท่านบรรพกาลราตรีได้รับไปมีมูลค่าจำนวนมหาศาล! สำหรับเรื่องผลึกปราณปีศาจ ให้อวี้หานคนนี้ได้เป็นสหายท่าน เรื่องนี้ก็ขอให้ลืมไปได้เลย”
อวี้หานกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง
เย่หยวนเหลือบมองไปที่นางและเอ่ยขึ้นเสียงเย็นว่า
“การได้เป็นสหายกับแม่นางอวี้หาน ข้าจำต้องระวังตัวให้มากขึ้น”
อวี้หานหัวเราะคิกคักพลางกล่าวว่า
“ท่านกล่าวชมอวี้หานใช่หรือไม่?”
เย่หยวนเอ่ยตอบว่า
“แม่นางจะเข้าใจเช่นนั้นก็ได้”
ความแกร่งกล้าของอวี้หานเกินหยั่งรู้ได้ โถงโลหิตปรโลกแห่งนี้ลึกลับและยากเกินเข้าใจ การได้เป็นมิตรสหายกับคนภายในนี้ กลับไม่รู้เลยว่าตนจะถูกขายให้คนอื่นเมื่อใด
…
เมื่อกลับมายังตระกูลฟาง ฟางอวี้ก็รู้สึกขอบคุณเย่หยวนอย่างมากเช่นกัน
ตระกูลฟางที่ทราบว่าในภายหลังว่า ในตระกูลมีนักปรุงโอสถปีศาจสุดแกร่งกล้าปรากฏตัวขึ้น พวกเขาต่างระเบิดความโกลาหลขึ้นในทันที
สมาชิกตระกูลฟางเรียกระดมพลเปิดองค์ประชุมระดับผู้อาวุโสเป็นการใหญ่ และตัดสินใจยกให้เย่หยวนกลายมาเป็นอาคันตุกะระดับพิเศษ
สิ่งที่เย่หยวนกระทำลงไปล้วนสร้างความสุขให้แก่ตระกูลฟาง ยามนี้เขามีศักดิ์เทียบเทียมได้กับผู้อาวุโสระดับจอมทัพปีศาจได้แล้ว
ส่วนพวกคนที่นินทากันว่า เย่หยวนเกาะผู้หญิงกินเพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะศักดิ์เหล่านี้ ยามนี้กลับร้อนๆหนาวๆกันทุกคน
การยั่วยุอาคันตุกะนักปรุงโอสถปีศาจกลับหาใช่เรื่องฉลาดไม่
เม็ดโอสถเหล่านี้ไม่มีใครไม่ต้องการ
มิอาจตำหนิตระกูลฟางได้ว่ากำลังชักนำปัญหามากมายเข้าตัว ในความเป็นจริงนักปรุงโอสถปีศาจเป็นที่ต้องการอย่างมากภายในเผ่าปีศาจทั้งหมด
ด้วยสถานะของนักปรุงโอสถปีศาจ พวกเขาจึงสามารถเดินตรงเข้าไปยังประตูของตระกูลใหญ่ๆเพื่อขอกลายมาเป็นแขกอาคันตุกะได้อย่างไม่ยาก
ไม่เช่นนั้นตระกูลฟางคงไม่เร่งประชุมใหญ่โดยมิให้ปล่อยผ่านไปได้
ข่าวของนักปรุงโอสถปีศาจที่ปรากฏตัวขึ้นในตระกูลฟางจึงถูกเผยแพร่ออกไปทั่วทั้งเมืองอย่างรวดเร็วราวกับสายลม
อีกสามตระกูลที่เหลือรวมไปถึงฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองต่างอิจฉาตาร้อนกันอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
แน่นอน ผู้ใดอิจฉาผู้นั้นย่อมไม่มีความสุข
เมื่อไคซินได้ฟังข่าวนี้ ในหัวของเขาก็พลันว่างเปล่าในทันใด
“ไอ้เด็กเหลือขอนั้นจะเป็นนักปรุงโอสถปีศาจระดับสองได้อย่างไร? หรือแขกคนสำคัญของท่านเมิ่งฉีในวันนั้นจะเป็นมันจริงๆ! นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร?”
ไคซินในยามนี้ทั้งขุ่นเคืองทั้งไม่เข้าใจอะไรด้าสักนิด เขาไม่สามารถเข้าใจได้แม้แต่น้อยว่า ชายหนุ่มที่มีฝืมือและวรยุทธต่อสู้ที่ลึกล้ำขนาดนั้น จะกลายมาเป็นนักปรุงโอสถปีศาจที่แม้แต่เมิ่งฉียอมกเมศีรษะให้ได้อย่างไร?!
สีหน้าการแสดงออกมาของเหลียนฮวาเองก็เปี่ยมล้นไปด้วยความตกใจเช่นกัน นางไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เย่หยวนจะเป็นนักปรุงโอสถปีศาจด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น แม้กระทั่งห้าอาวุโสแห่งโถงโอสถปีศาจยังต้องเชื่อฟังรับคำชี้แนะจากเขา!
เดิมทีนางเพียงครุ่นคิดพลางเอ่ยอิจฉาแกล้งหลี่จีไปตามโอกาส นั้นจึงเป็นเหตุว่าทำไมนางจึงทำแบบนั้นกับเย่หยวน
แต่พอมาตอนนี้ เขากลับรู้สึกอิจฉาหลี่จีแทบขาดใจ!
หากนางรู้แบบนี้ตั้งแต่แรก เหลียนฮวาคงทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งบรรพกาลราตรีมาจากหลี่จีแล้ว
ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับสายเกินจะพูดอะไรแล้ว บรรพกาลราตรีกับไคซินเปรียบเสมือนน้ำกับไฟ มันเป็นไปไม่เลยที่จะทำเรื่องขวานผ่าซากเช่นนั้น
นางถอนหายใจพลางกล่าวว่า
“เรื่องนี้ปราศจากข้อสงสัยอันใดทั้งสิ้น! จากเงินไปมาขนาดนั้นให้กับโถงนักฆ่าเพื่อลอบสังหารบรรพกาลราตรี แต่กลับถูกห้าอาวุโสแห่งโถงโอสถปีศาจหยุดไว้ และนี่เป็นต้นเหตุที่ทำให้โถงโอสถปีศาจก่อสงครามกับโถงนักฆ่า โดยการคว่ำบาตรไม่สนับสนุนเรื่องโอสถให้แก่พวกเขาอีกต่อไป เรื่องนี้เป็นการบีบให้โถงนักฆ่าต้องออกมาเคลื่อนไหวแน่นอน แน่นอนว่าเมิ่งฉีคนเดียวไม่มีอำนาจมากพอที่จะทำเรื่องแบบนั้น แสดงว่าพวกเขาทั้งห้าได้รับการอนุมัติจากประมุขโถงโอสถปีศาจแล้วอย่างแน่นอน! ก่อสงครามกับตระกูลพวกนั้นเพื่อจัดการคนนอก ผลที่ได้กลับไม่เป็นดั่งที่ขาด ทั้งยังสร้างผลเสียให้กับพวกเราอีก”
สีหนเของไคซินซีดเขียวสลับดำ ตอนนี้เขามิทราบเลยว่าตนควรกล่าวอย่างไรดี
ยามนี้ค้นพบถึงความผิดหวังและโศกเศร้าทั่วเต็มลำไส้ ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะเตะชนเข้ากับแผ่นเหล็กจริงๆ!
เหลียนฮวาชะงักเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า
“ในกรณีที่แม้แต่ท่านประมุขโถงโอสถปีศาจออกโรงอนุมัติด้วยตนเอง นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าทักษะในศาสตร์แห่งโอสถของบรรพกาลราตรีน่าทึ่งเพียงใด! ครั้งนี้ตระกูลฟางได้รับขุมสมบัติไปเต็มๆ!”
……………………………………………………..