“สายตาข้ามีปัญหากระมัง? ท่านไควินพ่ายแพ้ได้อย่างไร?”
“บรรพกาลราตรีผู้นี้…ช่างแกร่งกล้ายิ่งนัก! แข็งแกร่งเกินไปจริงๆ!”
“เขาเป็นเพียงแม่ทัพปีศาจชั้นปลายมิใช่รึ? กลับสามารถเอาชนะจอมทัพปีศาจครึ่งขั้นอย่างท่านไคซินได้จริงๆ!”
“โดยปกติแล้ว ท่านไคซินมักข้าระดับสัประยุทธ์มาโดยตลอดสิบปีในลานประลองเลือดแห่งนี้! กลับนึกไม่ถึงเสีย วันนี้พลาดท่าให้กับคนที่ข้ามระดับสู้เช่นกัน นี่…นี่ช่างน่าเหลือเชื่อ!”
…
เสียงโห่ร้องแผดดั่งหลั่งไหลดุจน้ำขึ้นน้ำลง สิ่งที่เข้ามาแทนที่คำสรรเสริญคือเสียงอุทานแซ่ซ้อง
ทันทีทันใดฝ่ายที่สนับสนุนไคซินเริ่มรวนเรสับสน
สิ่งที่พวกเขาเห็นคือ วีรบุรุษของพวกเขาถูกโค่นลงในพริบตา
ในที่สุด พวกเขาก็ตระหนักได้ว่า เย่หยวนหาใช่พวกโง่เขลาแสวงหาความตายไม่ เขามีทุนรอนฝีมือแสนน่าประทับใจ!
“ฮ่าๆๆ ไคหลาน เมื่อครู่เจ้ามิได้เอ่ยกล่าวเอ้ยรึว่า ไคซินจะบดขยี้เขาเป็นเนื้อสับ? อ้าว ไฉนตอนนี้ไม่อยากคุยโม้กับข้าแล้ว? กล่าวมาเลยกล่าวมา ข้าพร้อมรับฟังอยู่!”
เมื่อฟางหลินเห็นภาพฉากนี้ เขาก็อดเอ่ยปากประชดประชันอีกฝ่ายมิได้
สีหน้าการแสดงออกของไคหลานน่าเกลียดถึงขีดสุด เขาก่นเสียงเย็นคำโตกล่าวว่า
“นี่ยังไม่จบ! เจ้าคิดว่าเด็กนั้นจะสำแดงใช้กระบวนท่านี้ได้กี่ครั้งเชียว?”
ฟานหลินยิ้มกล่าวว่า
“จุจุ ใช้อีกสักครั้งน่าจะเกินพอแล้ว! เจ้าดูสภาพของไคซินเสียก่อน จะทนอีกสักครั้งไหวหรือไม่?”
ในเวลานี้เอง พลังปีศาจอันน่าสะพรึงพลันที่ปะทุคลั่งออกมาจากร่างไคซิน้เริ่มเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด
กระบวนท่าดับเงาสยบมารของเย่หยวนเหี้ยมโหดเกินบรรยาย กระทั่งเทวรูปเทพอสูรเทวะช่วยลดทอนพลานุภาพไปโดยส่วนใหญ่แล้ว ทว่าสุดท้ายนี้ก็ยังทำให้ไคซินได้รับบาดเจ็บสาหัส
เมื่อเทียบกับอาการบาดเจ็บของเย่หยวนก่อนหน้าแล้ว อาการของเขา ณ ปัจจุบันสาหัสกว่ามาก
จนถึงตอนนี้ไคซินยังไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง แค่หนึ่งปี เย่หยวนเติบโตพัฒนาขนาดนี้ได้อย่างไร?
ก่อนหน้านี้ ไคซินยังหยามเหยียดเย่หยวนไปหมาดๆ เมื่อพินิจมองรูปการณ์ณืในปัจจุบันเกรงว่าจะไม่ใช่แล้ว!
มิเพียงแต่เย่หยวนจะทะลวงขึ้นกลายเป็นแม่ทัพปีศาจชั้นปลายได้ แต่เขายังสั่งสมพลังปราณรวบรวมอาณาจักรจนรากฐานพลังมั่นคงแน่นหนา โดยปราศจากร่องรอยไร้เสถียรภาพแม้นสักนิด
“ดี! ดี! ดีมาก! บรรพกาลราตรี เจ้าสามารถบังคับเรานายน้อยได้ถึงขั้นนี้ จงภูมิใจในตัวเองเสีย! หากกว่าคาดเดาของข้าถูกต้อง เจ้าคงต้องการสำแดงใช้กระบวนท่านี้เป็นคำรบสองกระมัง?”
ไคซินเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าสุดมืดทมิฬเข้ม
เย่หยวนเหลียบมองอีกฝ่ายดั่งว่าไม่แยแสนัก เอ่ยกล่าวเสียงเรียบเย็นว่า
“หากใช่ก็ใช่ ถ้ามิใช่คงมิใช่?”
ไคซินกรนเสียงเย็นตอกกลับว่า
“จะใช่หรือไม่ เจ้าก็หนีความตายไม่พ้น! ไอเทพอสูรจงแผ่ซ่าน เทพมารสวรรค์ฟ้า!”
ตึงงง!
ร่างภูตมารสวรรค์ฟ้าขนาดมหึมาผนึกควบแน่นขึ้นจากไอปีศาจทมิฬแสนน่าสะพรึง ก่อตัวขึ้นเหนือศีรษะของไคซิน
พลังวิญญาณทั่วฟ้าดินเข้าระดมเสริมสร้างความแกร่งกล้าให้แก่ร่างภูตมารสวรรค์ฟ้าเพิ่มทวี
แรงกดดันปีศาจอันน่าสะพรึงเข้าครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณจนทุกคนแทบหยุดหายใจ
“นั้นมันวิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้า! สวรรค์! ท่านไคซินสามารถอัญเชิญวิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้าออกมาได้แล้ว!”
“วิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้า! เมื่ออัญเชิญขึ้นมา ไม่เพียงจะช่วยฟื้นฟูพลังงานกลับคืนได้ทันที แต่มันยังสามารถร่ายเวทย์ต้องห้ามโบราณเพพื่อเร่งพลังจำนวนมหาศาลออกมาได้! ความน่ากลัวของมันสุดจะพรรณนาเกินไป!”
“พรสวรรค์ของบรรพกาลราตรีผู้นี้ช่างน่าทึ่งก็จริง แต่ไคซินกลับน่ากลัวเสียยิ่งกว่า! น่ากลัวเกินขอบเขตนึกคิดจินตนาการได้ สุดท้ายนี้บรรพกาลราตรีก็ยากที่จะรอดพ้นจากความตาย!”
…
ณ ช่วงเวลานี้เอง กระบวนเคลื่อนไหวของไคซินถูกปลดปล่อย ทุกคนต่างสะท้านขวัญยิ่งด้วยความครั่นคร้าม
การอัญเชิญวิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้า เป็นศาสตร์วิชาลับเฉพาะของเผ่าปีศาจ และยากเกินจะฝึกปรือ
ผู้ที่สามารถเรียกวิญญาณเทพมารสววรรค์ฟ้าออกมาได้ ล้วนแต่เป็นยอดอัจฉริยะแห่งเผ่าปีศาจทั้งสิ้น
เมื่อพบเห็นฉากนี้ อินทรีโลหิตสีหน้าดูไม่สู้ดีเท่าใดนัก
“มันจบแล้ว! นี่ยังคงเป็นอีกฝ่ายที่คว้าชัยไป! ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ไคซินจะสามารถอัญเชิญวิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้าออกมาได้แล้ว!”
คุนหมิงขมวดคิ้วแน่น
“ดูเหมือนว่าใครแพ้ชนะกลับถูกตัดสินแล้ว!”
ณ อัฒจันทร์ระดับสาม ชายที่นั่งข้างอวี้หานพลันขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะคลายอ่อนลงพร้อมรอยยิ้มจางๆ เขากล่าวว่า
“ดูเหมือนว่าเขายังหาใช่คู่มือของไคซินในท้ายที่สุด! เด็กหนุ่มมากพรสวรรค์เช่นนี้…น่าเสียดายนัก!”
สีหน้าการแสดงออกของอวี้หานเองก็เผยถึงความประหลาดใจไม่ต่าง ทว่านางยิ้มตอบว่า
“ยินดีด้วยท่านเจ้าเมืองไคหลง ท่านมีผู้สืบทอดที่คู่ควรแล้ว! บรรพกาลราตรีเป็นเด็กหนุ่มมากพรสวรรค์ แต่ดูเหมือนว่า…เขาจะรีบร้อนเกินไปเสียหน่อย”
ปรากฏว่าชายที่อยู่นั่งข้างๆอวี้หานก็คือ เจ้าเมืองหลวงคาโปน ไคหลง!
พินิจจากน้ำเสียงท่าทางการวางตัว คล้ายว่าพวกเขาสองคนนี้จะมีระดับสถานนะศักดิ์เท่าเทียมกัน
ไคหลงที่ได้ยินเช่นนั้นพลันคลี่ยิ้มและกล่าวว่า
“ดูเหมือนว่า เจ้าจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน!”
อวี้หานยิ้มแต่มิได้เอ่ยกล่าวอันใด
ในเวลานี้เอง วิญญาณเทพอสูรมารสวรรค์ฟ้าเหนือศีรษะของไคซินก็ค่อยๆลอยลงมา พร้อมเข้าหลอมรวมกับร่างกายของเขา!
ทันใดนั้นเองพลังปราณปีศาจพลันปะทุคลั่งออกมาจนล้นปรี่!
ไคซินค่อยๆลืมตาขึ้นพร้อมนัยน์ตาทั้งสองที่กลายเป็นสีดำสนิท
“ฮ่าๆๆ ช่างทรงพลังอะไรเยี่ยงนี้! นี่ทำให้ข้าเลือดร้อนขึ้นแล้ว! บรรพกาลราตรี ข้าขอยอมรับเลยว่า เจ้านั้นแข็งแกร่งจริงๆ! แต่สุดท้ายนี้ก็ยังต้องตาย! วิชาลับเทพมารสวรรค์ฟ้านี้ทรงพลังไร้ที่สิ้นสุด! เพลงหมัดเหล็กเทพอสูรคลั่ง!”
ไคซินกรีดร้องน้ำเสียงฉีกห้วงอากาศ ทันทีทันใดร่างของเขาพลันอันตรธานหายวับไป
ในขณะนั้นเอง ร่างเย่หยวนก็ไสววูบหายลับตาฝูงชนไปเช่นกัน
“ดับเงาสยบมาร!”
ณ เวลาเดียวกัน เย่หยวนก็กรีดร้องขึ้นเข้าประจัญบานทันทีล
บูมม! บูมม! บูมม!
บนลานประลอง เสียงปราดปะทุดังระงมไม่หยุดหย่อน
พลังแห่งแนวคิดของทั้งสองช่างน่าสะพรึงและลึกล้ำยิ่งแล้ว
อย่างไรก็ตามแต่ กลับไม่มีใครสามารถมองร่างของทั้งคู่ได้ทันเลย
คล้ายว่าพวกเขาทั้งสองหายลับไปกลางอากาศ ปรากฏเพียงเสียง
ลู่ลมต้านปะทะดังชัดเจนประจักษ์รูหู
แม้จะไม่มีใครมองเห็น ทว่าทุกคนก็รู้สึกระทึกใจแทบลืมหายใจ
“ใครเป็นรองใครอยู่? ข้ามองไม่เห็นเลย!”
“ยังจำต้องกล่าวอีกงั้นรึ? ก็ต้องเป็นท่านำคซินอยู่แล้ว! ยามนี้เขาเอาจริงโดยการสำแดงวิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้าออกมาแล้ว พลังปราณปีศาจระดมถาโถมเข้ามาได้ไม่ในสิ้นสุด นอกจากนี้ยังมีวิชาลับอื่นๆคอยเกื้อกูล เพียงเท่านี้ก็ไล่ตามความเร็วของบรรพกาลราตรีได้แล้ว!”
“โชคดี โชคดีจริงๆ! ข้าเดิมพันฝ่ายท่านไคซินด้วนทรัพย์สินทั้งหมดที่มี แต่ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า บรรพกาลราตรีจะเป็นม้ามืดเช่นนี้! ข้าเกือบเสียทุกอย่างไปแล้ว!”
“เหอะ มิใช่เลย! การเคลื่อนไหวของบรรพกาลราตรีแข็งแกร่งก็จริง แต่เขากลับรักษาเสถียรได้เป็นช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น”
…
ทุกคนได้ยินเพียงเสียงปะทุดังตูมตามจากมุมหนึ่งของลานประลอง สิ่งนี้ใช้เป็นตัวกำหนดตัวแหน่งของพวกเขาในปัจจุบันได้
ในเสี้ยวพริบตาต่อมา หลายสิบอึดใจก็ผ่านพ้นไป
ทั่วลานประลองเงียบลง
“รุ่งเบิกอรุณ!”
เสียงระเบิดดังขึ้นทั่วทั้งลานประลอง ควันฝุ่นและเศษหินเศษทรายกระจายไปทั่วสารทิศ
ในที่สุด สุ้มเสียงการต่อสู้อันแสนรุนแรงก็จบลง
ฝุ่นควันกระจายตัว ปรากฏร่างสภาพมอมแมมอยู่สองคนต่อหน้าทุกคน
เย่หยวนหอบหายใจถี่ตระหนี่ สีหน้าซัดขาวหนัก ไม่ทราบเลยว่ามีกี่ร้อยบาดแผลที่ถูกฟาดฟันบนร่างกาย พร้อมร่างที่ย้อมไปด้วยสีเลือดน่าสยดสยอง
อย่างไรก็ตาม สภาพของไคซินในตอนนี้กลับเลวร้ายเสียยิ่งกว่า!
วิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้าได้สูญสลายไปแล้วโดยถูกกายเนื้ออันแกร่งกร้าวของเย่หยวนซัดกระหน่ำไป
สายตาของไคซินจับจ้องเขม็งใส่เย่หยวน พลางกัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชังกล่าวว่า
“เจ้ายังมี…ไม้เด็ดอยู่อีก!”
ไม้เด็ดที่ว่าของเย่หยวนคือ เพลงดาบสวรรค์เบิกฟ้ารูปแบบที่สาม รุ่งเบิกอรุณ!
กระบวนเคลื่อนไหวนี้สามารถโค่นล้มสรรพสิ่งใต้สวรรค์ได้!
ภายใต้สภาวะของดับเงาสยบมารที่เย่หยวนเร่งความเร็วถึงขีดสุด เขาได้สำแดงใช้รุ่งเบิกอรุณเข้าบดขยี้วิญญาณเทพมารสวรรค์ฟ้าของไคซินจะเละเป็นผุยผง
เย่หยวนแสยะยิ้มกล่าวว่า
“ข้าเคยกล่าวไปแล้ว เจ้าเอาชนะข้าไม่ได้ นั้นเป็นเพราะ…เจ้ายังไม่เคยปะทะกับข้าเลย!”
“ฮ่าๆๆ…”
ทันใดนั้นเองไคซินก็ระเบิดหัวเราะดังลั่นอย่างเดือดดุ เขาจับจ้องไปที่เย่หยวนและเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยความสงสาร
“เจ้าคิดว่ามันจบแล้วรึ? ในเมื่อข้าไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ด้วยพลังระดับแม่ทัพปีศาจ เช่นนั้ข้าก็จักใช้ขุมพลังแห่งจอมทัพปีศาจเพื่อฆ่าเจ้า!”
…………………………………