หลังละจากเย่หยวน เมิ่งฉีก็มีสีหน้าขมขื่นยิ้มประดับโศกเศร้า
เขาทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าผลจะออกมาเช่นนี้
เพียงว่ามันเป็นคำสั่งของประมุขโถงที่ให้เขามา ดังนั้นเมิ่งฉีเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน นอกจากต้องลองมาเอ่ยถามดู
โถงโอสถปีศาจเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากชนิดสั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าดินภายใต้เงื้อมมือของเย่หยวนในช่วงครึ่งปีนี้
เมื่อเร็วๆนี้เมิ่งฉีรู้สึกได้ว่า ระดับชั้นที่ตนไม่สามารถคลายอ่อนลงมาได้นาน ยามนี้เริ่มปรากฏสัญญาณเลื่อนระดับแล้วในท้ายที่สุด
การค้นพบครั้งนี้ทำให้เขาตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
เพราะระดับชั้นของเมิ่งฉีหยุดนิ่งว่าเป็นเวลากว่าหมื่นปีได้แล้ว
เขาทราบดีว่าตนหมดศักยภาพที่จะพัฒนาต่อไปนานแล้ว โดยพื้นฐานชั่วชีวิตนี้เมิ่งฉีไม่น่าจะไปได้ไกลกว่านี้แล้ว
แต่ตอนนี้ปณิธานของเขาที่จะได้ขึ้นกลายเป็นนักปรุงโอสถปีศาจระดับสามในตำนานกำลังจะเป็นจริง ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกมีความสุขอย่างอดมิได้
เมิ่งฉีย่อมทราบตระหนักดี หากเขาสามารถเลื่อนระดับชั้นไปได้ ทั้งหมดย่อมเป็นความดีความชอบของเย่หยวนล้วนๆ
กลเม็ดเล็กน้อยที่เย่หยวนมอบให้แก่พวกเขา อาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวขัดเกลาทักษะการหลอมกลั่นโอสถของพวกเขาให้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด
เมิ่งฉีในปัจจุบัน เมื่อหลอมกลั่นโอสถผลึกมังกรเพลิงปีศาจขั้นต่ำล้วนเป็นขั้นกลางทั้งหมด และมีโอกาสูงมากที่จะได้ขั้นสูง
เพื่อที่จะปรับปรุงฝีมือให้ได้ขนาดนี้ภายในครึ่งปี กล่าวได้ว่า ยิ่งกว่าปีนบันไดลัดทางเสียอีก
หากเป็นเมื่อก่อน เมิ่งฉียังไม่กล่าจินตนาการเลยว่า ตนจะสามารถขัดเกลาฝีมือหลอมกลั่นโอสถได้อย่างรวดเร็วปานนี้!
เขาและผู้อาวุโสอีกสี่คนทราบดีว่า ทั้งหมดต้องขอบคุณบรรพกาลราตรี
ปัจจุบัน พวกเขาเคารพเย่หยวนราวกับเทพเจ้า!
โถงปีศาจเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างมาก แต่เย่หยวนก็ไม่เคยปริปากอ้างขอความดีความชอบแต่อย่างใด
แม้ว่าเขาจะอาสาตัวเสนอหลอมกลั่นโอสถให้ผู้คน แต่ก็ยังมีฝูงชนจำนสนมากที่เตรียมสมุนไพรที่จำเป็นมารอต่อแถวยาว โดยที่งานนี้มิได้ลำบากไปถึงโถงโอสถปีศาจแต่อย่างใด
กล่าวได้ว่าโถงโอสถปีศาจติดหนี้บุญคุณเย่หยวนไว้เยอะมาก
ตอนนี้มีผู้คนจากเมืองหลวงอื่นๆกำลังเดินทางเข้ามา เพื่อแสวงหาประสบการณ์ นับเป็นการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนชนชั้นสูงอย่างชัดเจน
โถงโลหิตปรโลกฏิบัติต่อปรมาจารย์บรรพชนราตรีชนิดที่ว่า ราวกับต้องการบีบให้แห้งเช่นนี้ คงแปลกหากเขายังมีความสุข
คงเซียวเป็นประมุขโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองมรกตทมิฬ เขาได้ฟังว่ามีคนมาบรรยายให้นักปรุงโอสถชนชั้นบนอยู่ ณ ขณะนี้ ทว่าเขากลับรู้สึกดูถูกหยามเหยียดภายในใจ
นักปรุงโอสถปีศาจทุกคนล้วนมีความภาคภูมิอยู่ในใจ เขาเป็นถึงนักปรุงโอสถระดับสาม ดังนั้นแล้วสถานะของเขานับว่าน่ายกย่องเพียงใดกัน? แค่นักปรุงโอสถทั่วไปกลับมิได้อยู่ในสายตาเขาเลย
ความกล้าแกร่งของเขาเหนือชั้นแทบทุกคนในบหมู่ประมุขโถงโอสถปีศาจในระดับชั้นเดียวกัน
สิ่งที่ทำให้เขาขมขื่นใจยิ่งกว่าคือ เขาได้ยินมาว่า นักปรุงโอสถที่มาบรรยายให้ทุกคนฟังยังเป็นเพียงนักปรุงโอสถปีศาจระดับสองเท่านั้น
แล้วนี่จะทำให้เขายอมรับได้อย่างไร?
“อวี้โม่คนนี้มาถึงที่นี่ แม้แต่เจ้าที่เป็นประมุขโถงก็ยังไม่สามารถเชิญเขามาได้รึ?”
คงเซียวเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างไม่มีความสุขนัก
ประมุขโถงโอสถปีศาจที่เดินทางมาพบนักปรุงโอสถระดับสองคนหนึ่ง จำต้องส่งสาสน์เชื้อเชิญกันเลย นี่หาใช่เรื่องตลกกระมัง?
อวี้โม่เป็นประมุขโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองหลวงคาโปน เนื่องด้วยกลัวเสียหน้าเขาจึงสั่งการให้เมิ่งฉีออกไปเชื้อเชิญเย่หยวน
โดยที่เขาเองก็ตระหนักทราบเป็นอย่างดีว่า เย่หยวนไม่มีทางเห็นด้วยที่จะพบกับคนเหล่านี้แน่นอน
“คงเซียว สถานที่แห่งนี้หาใช่เมืองหลวงมรกตทมิฬไม่ หากเจ้าไม่สนใจก็จงออกไป ข้ามิได้เชิญเจ้ามา!”
ทันทีที่คงเซียวได้ยินดังนั้นเขาพลันแสยะยิ้มกว้างกล่าวว่า
“อวี้โม่ เจ้าเป็นคนใจกล้าตั้งแต่เมื่อใดกัน?! หากมิใช่เพราะประมุขโถงขอให้ข้ามา คิดหรือว่าข้าจะมาหาเห็บเหาที่นี่? ไร้สาระสิ้นดี! ไอ้เด็กเหลือขอระดับสองยังกล้าอวดอ้าง! ทั้งหมดเป็นเพราะมาตรฐานของพวกเจ้าไม่ดีต่างหาก เช่นนั้นเด็กน้อยนั้นจึงขี่หัวสั่งสอนเจ้าได้! ฟังว่าเรียกเขาว่าท่านปรมาจารย์ เจ้าลืมสถานะของตนแล้วกระมัง?”
ประมุขโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองหลวงคาโปนถูกจัดให้อยู่ในอันดับล่างๆของเมืองหลวงใกล้เคียงทั้งหมด
เมื่อดูจากอันดับตัวเลขแล้ว ดูเหมือนว่าฝีมือของอวี้โม่จะอ่อนด้อยกว่าเมืองหลวงอื่นๆ
อวี้โม้กล่าวขึ้นด้วยความโกรธว่า
“ดี! ดี! ดีมาก! ในเมืองเจ้าไม่สนใจฟังการบรรยายของท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรี เช่นนั้นก็จงกลับไป!”
ขณะที่คงเซียวกำลังจะเอ่ยกล่าว เมิ่งฉีก็ออกมาพอดีและกล่าวกับอวี้โม่ว่า
“ท่านประมุขโถง ท่านอาจารย์บรรพการาตรีกล่าวว่า พวกเขามาทางให้ก็ให้พวกเขากลับทางนั้น”
การสนทนาเมื่อครู่นี้ของทั้งสอง เมิ่งฉีได้ยินทั้งหมด
เดิมทีเขาย่อมกล่าวรายงานพร้อมวาจาสุภาพมีชั้นเชิง แต่ตอนนี้ได้ยินวาจาดูถูกของอีกฝ่ายเช่นนั้น เ ขาจึงกล่าวตอบตามตรงที่เย่หยวนย้ำกล่าวเอาไว้
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคงเซียวก็ล้มทั้งยืน และลั่นวาจาด้วยความโกรธขึ้นว่า
“ฮ่าๆ วาจาช่างอึงโขใหญ่โตนัก! นักปรุงโอสถระดับสองตัวน้อยแสนขี้กลัวกำลังกล่าวกับท่านประมุขโถงด้วยวาจาเช่นนี้จริงๆ! ข้าจะเข้าพบประมุขโถงใหญ่เดี๋ยวนี้! ข้าอยากจะเห็นเสียว่านางจะกล่าวอันใดบ้าง! หวู่ห่าว ฤทัยเหล็ก พวกเรากำลังถูกปั่นหัว ไปหาท่านประมุขโถงใหญ่ด้วยกันเถอะ!”
หวู่ห่าวและฤทัยเหล็กมาจากโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองหลวงหลงปิงและเมืองหลวงราตรีม่วงตามลำดับ
เมื่อกงเซียวกล่าวจบก็หันหลังกลับกำลังจะจากไปนั้นเอง
ทว่ายามเขาก้าวย่างเดินออกไป เขากลับพบว่าพวกหวู่ห่าวทั้งสองกลับไม่เดินตามหลังมาด้วย
คงเซียวอดมุ่นคิ้วมิได้และกล่าวขึ้นว่า
“พวกเจ้าสองคนไม่ได้ยินรึ? พวกเขากำลังไล่เรากลับไป? แล้วพวกเจ้ายังยืนให้เสียอีกเพื่ออันใด?”
แต่หวู่ห่าวหัวเราะเล็กน้อยกล่าวว่า
“เจ้าไปก่อนเถอะ เมืองหลวงหลงปิงของเราต้องการมาที่นี่เพื่อเรียนรู้เสียมากกว่า เช่นนั้นจะหักหน้าเจ้าบ้านได้อย่างไร? เนื่องจากเขาเป็นปรมาจารย์ย่อมมีความภาคภูมิใจโดยธรรมชาติ ดังนั้นเราควรแสดงความจริงใจออกมาเป็นดีที่สุด”
ฤทัยเหล็กยิ้มและกล่าวว่า
“แล้วทำไมพี่คงเซียวถึงไม่ไปหาท่านประมุขโถงใหญ่ บางทีเราอาจจะได้พบเจอกับท่านปรมาจารย์บรรพกาลราตรี”
คงเซียวขมวดมคิ้วแน่น พร้อมคำถามแสนฉงนใจนับไม่ถ้วน
เจ้าสองคนนี้มันเป็นบ้าอะไรกัน?
เขาเองก็ทราบว่า ทั้งสองคนนี้เองก็มิได้มีทัศนคติที่ดีเท่าไหร่นักกับโถงโอสถปีศาจสาขาเมืองหลวงคาโปนแห่งนี้
พวกเขาทั้งสามเพิ่งสนทนาพบกัน และปล่อยให้อวี้โม่มัวเมาอวดอ้างถึงความสำเร็จไม่หยุดหย่อน ดังนั้นจับต้องดับหน้าศักดิ์ศรีเหล่านั้นเป็นการสั่งสอน
แล้วไฉนทัศนคติของพวกเขาทั้งคู่ถึงพลิกตลบจากหน้าเป็นหลังขนาดนี้ได้?
หรือมีบางอย่างที่เขาไม่รู้ในระหว่างที่เอ่ยกล่าว?!
สีหน้าของเขามืดลงเล็กน้อยและกล่าวว่า
“พวกเจ้าหมายความอย่างไร?”
หวูห่าวยิ้มและกล่าวว่า
“ไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น เรามาถึงเมืองหลวงคาโป โดยมิต้องใส่ใจเรื่องระยะทาง พวกเราย่อมต้องการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับพี่อวี้โม่มากกว่าปกติ พี่อวี้โม่ หวู่คนนี้มีข้อสงสัยเล็กน้อย…รบกวนสอบถามได้หรือไม่?”
อวี้โม่ยังไม่ทันกล่าว ฤทัยเหล็กเอ่ยขึ้นต่อทันทีว่า
“พี่อวี้โม่ ข้าพาผู้คนจำนวนหนึ่งมาด้วยในคราวนี้ พวกเราเองก็เปรียบดั่งพี่น้อง เช่นนั้นสมควรสนทนาพูดคุยกันเพื่อสานสัมพันธ์กันมากขึ้น!”
อวี้โม่เองรู้สึกสับสนไม่น้อยเช่นกัน แต่ก็ยังยิ้มกล่าวออกไปพร้อมประสานมือว่า
“ย่อมได้แน่นอน”
คู่ดวงตาของคงเซียวหรี่แคบลงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเยียบเย็นกล่าวขึ้นว่า
“หึ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่านักปรุงโอสถปีศาจระดับสองจะมีฝีมือท้าทายสวรรค์ปานนั้นจริงๆ? เขามิได้มาพบเรามากกว่ารึ? เช่นนั้นข้าจะทำให้มันคลานออกมาหาข้าเอง!”
ในเวลานั้นเอง เย่หยวนค่อยๆย่างก้าวตรงออกมาและได้ยินประโยชน์นั้นพอดี เขากล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า
“เช่นนั้นรึ? ขอแสดงความยินดีด้วย เจ้าขึ้นบัญชีดำเรียบร้อย เชิญกลับไปได้”
คงเซียวเหลียวหลังกลับมาพร้อมเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาลั่นขึ้นว่า
“นี่น่ะรึท่านปรมาจารย์บัดซบของพวกเจ้า? เหอะ ข้าก็สงสัยเหลือเกินว่าเป็นใคร สุดท้ายก็แค่เด็กน้อยขี้เปียกหลังหู! อวี้โม่ เวลาผ่านไปเจ้ายิ่งจะเลอะเลือนขึ้นมาก! เจ้ามั่นใจเถอะ ข้าจะกลับแน่นอน! แต่เจ้าต้องคุกเข่าโขกศีรษะให้ข้าก่อนสามที!”
แต่เย่หยวนกลับมิได้สนใจฟังอีกฝ่ายแม้แต่น้อย และกล่าวกับอวี้โม่ว่า
“ท่านประมุขโถงอวี้โม่ ครึ่งเดือนนี้ ข้าต้องการกลับไปยังตระกูลฟางเพื่อเก็บตัว ระหว่างนั้นห้ามส่งใครมารบกวนข้าเด็ดขาด”
กล่าวจบ เขาไม่รออวี้โม่เอ่ยตอบใดๆเช่นกัน พร้อมเดินผ่านคงเซียวและออกไปโถงโอสถปีศาจไปทั้งแบบนั้น
…………………………………