ไม่มีใครชัดเจนไปกว่าปาถู่อีกแล้ว สำหรับความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ในรอบที่ห้า
หากเย่หยวนสามารถผ่านรอบนี้ไปได้ เขาก็อดที่จะสงสัยมิได้เลยว่าอาจมีบางอย่างผิดพลาดไปจริงๆ
ในเวลานี้เองติงฟานก็กำลังพักผ่อนอยู่ เพื่อเตรียมท้าทายในรอบต่อไป
หลังจากที่ผ่านแต่ละรอบมาได้ เหล่านักสู้จะได้เวลาประมาณหนึ่งส่วนสี่ของครึ่งชั่วยามเพื่อพักฟื้นพลังกลับถือสู่สภาวะสุดยอดอีกครั้ง ก่อนจะออกไปท้าทายในลำดับต่อไป
ขณะที่อีกสองคนจากหกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะกำลังสัประยุทธ์เดือดอยู่กับคู่ต่อสู้คนที่หก
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นรองค่อนข้างมาก
ในท้ายที่สุด พวกเขาทั้งสองก็พ่ายลงและถูกส่งกลับออกมา เมื่อเห็นว่าปาถู่พ่ายแพ้ก่อนพวกเขา ทั้งคู่ต่างอดประหลาดใจมิได้
“ปาถู่เจ้าพ่ายเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?”
หนึ่งในนั้นเอ่ยถามขึ้น
ความแข็งแกร่งของปาถู่อยู่ในลำดับชั้นกลางจากทั้งหก หากกล่าวตามหลักเหตุและผล เขาไม่ควรพลาดท่าแพ้เร็วขนาดนี้
ปาถู่พยักหน้ายอมรับแต่โดยดีว่า
“ข้าใจร้อนและอยากจะเอาชนะมากเกินไป จนประมาทส่งผลให้ข้าแพ้ลงในท้ายที่สุด ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ข้าจะระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่ผลที่ออกมาคงไม่ต่างกันนัก ข้าไม่สามารถผ่านรอบที่หกได้เลยแม้นจะใช้พลังทั้งหมดที่มี”
ทั้งสองพยักหน้าตอบเห็นด้วย
แต่ทันทีทันใด เมื่อทั้งสองเหลือบไปเห็นภาพฉาก ณ ด้านหนึ่ง พวกเขาต่างเผยสีหน้าประหลาดใจอย่างอดมิได้
“เด็กคนนั้นมาถึงรอบที่ห้าได้แล้วจริงรึ? มีอะไรผิดพลาดหรือไม่?”
ปาถู่กล่าวตอบว่า
“ข้ายังไม่ทันเห็นหัวหรือหางใดๆของเด็กนั่น ขณะที่ทุกคนกำลังเฝ้าดูติงฟาน เด็กนั่นก็ผ่านมาถึงรอบที่ห้าได้แล้วอย่างไม่เข้าใจเช่นกัน”
ทั้งสองที่ได้ฟังดังนั้นถึงกับพูดไม่ออก
นี่มิได้หมายความว่าความแกร่งกล้าของเด็กนั่นใกล้เคียงกับพวกเขามากแล้วงั้นรึ?
ในขณะนี้เอง เย่หยวนก็เข้าเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ในรอบที่ห้าแล้วเช่นกัน
ณ ปัจจุบัน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังลานประลองวงแหวนหมายเลขสามกันเป็นตาเดียว พวกเขาต้องการเห็นว่า เย่หยวนมีความสามาราถอะไรกันแน่ ถึงสามารถผ่านมาไกลถึงรอบที่ห้าได้
ท่าทีของเย่หยวนยังคงดูไม่เร่งรีบหรือร้อนรนเท่าไหร่นักกับการต่อสู้
ภายใต้กระบวนโจมตีกระหน่ำแสนรุนแรงของฝ่ายตรงข้าม คล้ายว่าเย่หยวนถูกกดดันไล่ต้อนอยู่
แต่เย่หยวนก็ค่อนข้างหนังเหนียวนัก ทุกครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เขามักจะรอดพ้นออกมาได้อย่างหวุดหวิด
“มีบางอย่างผิดแปลกไปจริงๆ! ข้าจำได้ว่า ตอนที่เด็กนั่นอยู่ในรอบแรก ราวกับว่าเขาย่างเท้าสู่ความตายไปแล้วข้างหนึ่ง แล้วไฉนตอนนี้เขาถึงมาได้ไกลถึงรอบที่ห้ากัน?”
จู่ๆปู่เจ้อก็เอ่ยขึ้นมา
เขาค้นพบว่าท่าทางการต่อสู้ของเย่หยวนในปัจจุบันแทบไม่แตกต่างอะไรไปจากรอบแรกเลย
ราวกับว่าเขาตกเป็นรองอยู่ตลอด
เมื่อค้นพบความผิดแปลกเช่นนี้ เหล่าฝูงชนด้านนอกก็เริ่มสนทนาเจือแจวขึ้นอีกครั้ง
“ใช่แล้ว เขาดูท่าไม่ดีตั้งแต่รอบแรก หลังจากผ่านไปสักห้าถึงหกร้อยกระบวน จู่ๆเขาก็พลิกกลับมาชนะได้อย่างไรเหตุผล”
“รอบที่สองเองก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น! หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เขากำลังโกงอยู่?”
“ไร้สาระ! ซากโบราณสถานแห่งนี้ ต่างเป็นครั้งแรกที่ทุกคนเข้ามา แล้วจะโกงกันได้อย่างไร?”
………………
ขณะที่ทุกคนกำลังจับกลุ่มสนทนากันอยู่นั้นเอง คมดาบของเย่หยวนก็ทะลวงกลางอกของคู่ต่อสู้ได้อย่างน่าประหลาด
เย่หยวนชนะ!
ทั่วทั้งโถงกว้างพลันเงียบสงัดลงทันใด ทุกคนต่างเฝ้ามองภาพฉากนี้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อสายตา
นี่เป็นไปได้อย่างไร?
หรือเป็นไปได้ไหมว่า ความแข็งแกร่งของเย่หยวนอยู่เหนือไปกว่าหกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะไปแล้ว?
นี่…นี่เป็นเรื่องโกหกใช่ไหม?
“บัดซบ! นี่ต้องมีอะไรผิดดปกติแน่นอน! คู่ต่อสู้ของเจ้าเด็กนั่นมิได้แข็งแกร่งเท่ากับที่พวกเราพบเจอแน่นอน!”
ปาถู่ลั่นวาจากล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจ
อีกสองคนมีสีหน้าไม่แตกต่างกันนัก พลางเอ่ยลั่นอย่างไม่อยากเชื่อว่า
“ที่แห่งนี้ต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน! ผู้คนเหล่านี้ยังบอกเลยว่า เด็กนี่ดูท่าไม่ดีตั้งแต่รอบแรกแล้ว! แต่ไฉนถึงชนะมาถึงตรงนี้ได้กัน? ข้าว่าสถานที่แห่งนี้ลำเอียงแล้ว!”
ฟุบบ!
ริ้วแสงสีเย็นปราดพุ่งเข้าใส่ หนึ่งในหกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะ ศีรษะสะบั้นขาดออกไป แกนวิญญาณปีศาจถูกบดขยี้แหลกเละไปโดยตรง
“นิกายบัลลังก์ม่วงปฏิบัติต่อผู้ท้าทายทุกคนอย่างเท่าเทียม! ใครกังขาตาย!”
สุ้มเสียงโบราณเอ่ยดังขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับเย็นสะท้านจับขั้วหัวใจ
ทุกคนต่างปิดปากเงียบกริบประดุจจักจั่นกลางฤดูหนาว จากนั้นไม่มีใครกล้าตั้งคำถามสงสัยอีกต่อไป
แต่สำหรับเย่หยวนที่สามารถผ่านรอบที่ห้ามาได้ ผลลัพธ์เช่นนี้ยังคงกังขาอยู่ในใจพวกเขาตลอดมา
พวกเขาไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสความแข็งแกร่งของเย่หยวนกับเพียงแค่มอง
กล่าวได้ว่า มีแค่ฝ่ายตรงข้ามที่ต่อกรอยู่เท่านั้น ที่จะสามารถสัมผัสถึงพลังของเย่หยวนได้อย่างชัดเจน
เย่หยวนในยามนี้เองก็ค้นพบได้ว่า เหล่าอัจฉริยะในยุคบรรพกาลเหล่านี้ล้วนแต่ทรงพลังหาที่เปรียบไม่
แนวคิดความเข้าใจของพวกเขาที่สำแดงใช้ออกมา เหนือจินตนาการของเย่หยวนมากมายนัก
คล้อยหลังที่ได้ต่อสู้กับพวกเขา เย่หยวนเริ่มเรียนรู้เข้าใจได้หลายสิ่งอย่าง
สิ่งที่ได้รับมาคล้ายกับตัวต่อเพิ่มเสริมเข้าไป เขาเริ่มอนุมานจากสิ่งที่เข้าใจนำมาปรับใช้เพื่อพัฒนาแนวคิดของเขาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
แนวคิดด้านมิตินับเป็นหนึ่งในแนวคิดระดับสูงสุด และยังเป็นหนึ่งในแนวคิดที่ทำความเข้าใจได้ยากที่สุดบนมหาพิภพถงเทียน
แนวคิดแห่งมิติขบนมหาพิภพถงเทียนแตกต่างไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เย่หยวนเคยอยู่โดยสิ้นเชิง
แม้แต่เซียนอาณาจักรบรรพกาลพระเจ้าขั้นสุดยังไม่สามารถเหาะเหินบนอากาศได้ สิ่งนี้บ่งบอกได้ถึงอะไรหลายสิ่งอย่าง
มีเพียงระดับชั้นอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถแตะถึงขอบประตูแห่งแนวคิดห้วงมิติ และสามารถเหาะเหินอากาศได้เป็นเวลาชั่วคราว
ทั้งจันทร์สลายและรุ่งเบิกอรุณของเย่หยวนล้วนเป็นการเคลื่อนไหวที่หลอมผสาจนขึ้นจากแนวคิดแห่งห้วงมิติทั้งสิ้น กระบวนดาบที่ดูเรียบง่ายนั้นกลับเปี่ยมล้นไปด้วยขุมพลังเหนือจินตนาการ
นี่ใช่ขุมพลังแห่งแนวคิดห้วงมิติทั้งหมด แต่เป็นแนวคิดห้วงมิติที่เย่หยวนเข้าใจผ่านศาสตร์แห่งดาบ เมื่อสองสิ่งนี้ผสานรวมเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ จึงก่อให้เกิดเพลงดาบเหล่านี้ขึ้นมา
ไม่มีใครรู้ว่าคมดาบของเย่หยวนจะปรากฏขึ้นที่ใดหรือเมื่อไหร่
“ขอแสดงความยินดีกับจ้าวสังเวียนหมายเลขสาม สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้รอบที่หกไปได้ รางวัลที่ได้รับคือสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำระดับต่ำ”
สุ้มเสียงโบราณดังกึกก้องไปทั่วจนกายาทุกคนสั่นสะท้าน
รอบที่หก…ผ่านง่ายดายปานนี้?
“นี่…นี่กำลังล้อเล่นกันหรืออย่างไร? หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เจ้าเด็กนั่นจะไร้ขีดจำกัด?”
“นี่เห็นผีอยู่รึไง! หรือเด็กนั้นใช้เล่ห์เหลี่ยมอันใดกัน!? ไฉนที่รู้สึกว่าด็กนั้นเข้าตาจนอยู่ตลอด แต่สุดท้ายก็พลิกกลับมาชนะไปได้!”
ปาถู่ยามนี้เผยสีหน้าบูดบึ้งและกล่าวว่า
“ในเมื่อปัญหามิได้อยู่กับคู่ต่อสู้ตรงหน้า แสดงว่าก็เหลือเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้น!”
เมื่อได้ยินวาจาเอ่ยดังออกมาเช่นนี้ ทุกคนต่างหูผึ่งพร้อมตั้งใจฟังในทันใด
ปาถู่เว้นช่องไฟหยุดลงเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า
“เด็กนั่นเก็บซ่อนพลังที่แท้จริงมาตั้งแต่ต้น!”
“เก็บซ่อนพลังที่แท้จริง? แต่เห็นได้ชัดว่า เขาเป็นเพียงแม่ทัพปีศาจขั้นสุดเท่านั้น!”
“สำหรับอัจฉริยะอย่างพวกเรา ระดับพลังแสดงให้เห็นถึงอะไรได้? ตอนที่ข้าอยู่ในระดับชั้นจอมทัพปีศาจครึ่งขั้น ข้าสามารถทะลวงอกพวกเจ้าได้ในพริบตา!”
ปาถู่เอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมน้ำเสียงเยียบเย็น
ผู้คนโดยรอบมิได้กล่าวอันใดตอบ แต่ไม่สามารถหาเหตุผลให้เข้าหักล้างได้เช่นกัน
“นี่เป็นึคำอธิบายเดียวที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว ความแข็งแกร่งที่เดด็กนั่นสำแดงใช้บนลานประลองวงแหวนรอบแรก พวกเจ้าก็น่าจะประจักษ์ดีแล้ว บดขยี้ทุกคนได้ภายในหนึ่งกระบวนเคลื่อนไหว ความลึกล้ำนี้มิอาจมองผ่านอ่านออกได้โดยง่าย!”
หกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะอีกคนกล่าวเสริม
ปาถู่พยักหน้ากล่าวต่อว่า
“เขามิได้จงใจแสดงความแข็งแกร่งให้พวกเราเห็นอยู่แล้ว ข้าคิดว่า…ที่เขาจงใจรั้นรอนฝีมือไว้เช่นนี้เป็นเพราะ ต้องการที่จะศึกษาวรยุทธต่อสู้ของเหล่าอัจฉริยะบรรพกาลเหล่านั้น!”
“นี่…นี่ไม่แปลกเกินไปหน่อยรึ? คู่ต่อสุ้แข็งแกร่งปานนั้นยังมีอารมณ์มานั่งศึกษาวรยุทธของฝ่ายตรงข้าม?”
ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นต่างสูดหายใจแช่มลึก เจือประดับสีหน้าหวาดกลัวไม่เสื่อมคลาย
คนที่กล้าทำเรื่องบ้าๆเช่นนี้ ต้องทรงพลังขนาดไหน?
“ความเป็นไปได้นี้มีโอกาสสูงมาก! หากข้าไม่ออกมาเฝ้าสังเกตฉากต่อฉาก ข้าคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานการณ์ข้างในเป็นมาอย่างไรกันแน่! เขาจงใจปิดบังพลังที่แท้จริงไว้แน่นอน!”
หกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะอีกคนกล่าวเห็นด้วยกับการคาดเดานี้เช่นกัน
ในเวลานั้นเอง ติงฟานก็เอาชนะคู่ต่อสู้ในรอบที่เจ็ดไปได้
“ฮ่าๆๆ…ช่างเป็นความท้าทายที่น่าสนใจเสียจริง! ยังคงมีคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังมากมายรออยู่! นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าต้องเผชิญกับสถานการณ์กดดันขนาดนี้! รู้สึกดีจริงๆ! หลังจากเอาชนะทั้งเจ็ดมาได้ ข้าก็รู้สึกได้เลยว่ากำลังพัฒนาไปอีกขั้น! คู่ต่อสู้คนต่อไปจะทรงพลังแค่ไหนกัน ข้าเดือดร้อนเต็มทีแล้ว! น่าตื่นเต้นเกินไปแล้ว!!”
ติงฟานระเบิดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
……………………………………………………..