น่าหงุดหงิดจริงๆ!
โถงโลหิตปรโลกเจียดเนื้อและมอบทรัพยากรมีค่าเลี้ยงดูไปนับไม่ถ้วน ทว่าทั้งหมดกลับทำไปเพื่อมนุษย์คนหนึ่งจริงๆ!
ติงเอ๋อและดาราสวรรค์เหลียวมองสบตากันทันที แทบลมจับหมดสติกันทั้งคู่
ทันใดนั้น ดาราสวรรค์หันขวับจับจ้องไปที่ติงฟานและเค้นเสียงเย็นเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าบอกว่า มันกำลังเลื่อนระดับชั้นอยู่ใช่ไหม?”
ติงฟานพยักหน้ากล่าวตอบว่า
“ถูกต้องแล้วท่าน! เขาเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าและทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าของเผ่ามนุษย์โดยตรง! ดังนั้นร่องรอยความผิดปกติจึงปรากฏ”
เมื่อดาราสวรรค์ได้ยินเช่นนั้น จิตสังหารขุมใหญ่พลันล้นทะลักออกมาทันใด
“ช่างเป็นมนุษย์ตัวน้อยที่น่าประทับใจนัก! หาญกล้าเล่นลิ้นกับเราชายชราผู้นี้จริงๆ! เช่นนั้นข้าจะแสดงความน่ากลัวให้เจ้าเห็นเอง!”
ยามเอ่ยจบ ด่าราสวรรค์ก็หยิบตะเกียงหลอมวิญญาณจำนวนนับสิบออกมา ก่อนจะเริ่มร่ายคำสาปใส่โดยตรง
ทันทีทันใด ภายในซากโบราณสถาน หวูเฉินพลันสัมผัสได้ถึงบางสิ่งในทันใด เขาแสยะยิ้มเย้ยหยันฉีกกว้างบนมุมปากขึ้นทันที
ไข่มุกสยบวิญญาณลอยขึ้นอยู่เหนือศีรษะเย่หยวนอีกครั้งพร้อมเปล่งแสงสีแดงเข้มจรัสจ้าออกมา
“เหอะ ดูเหมือนว่าปีศาจพวกนั้นจะล่วงรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเย่หยวนแล้ว ตาแก่นั้นยังกล้าร่ายคำสาปวิญญาณเลือดอีกงั้นรึ? เช่นนั้นก็แสวงหาความตายแล้ว! คราวนี้ข้าไม่มียั้งมืออีกต่อไป เจ้าเตรียมตัวถูกสูบจนตัวแห้งได้เลย!”
หวูเฉินเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้ม
ขณะนี้เย่หยวนยังคงมุ่งความสนใจกับการเลื่อนระดับชั้นอยู่ ดังนั้นจึงหลงลืมเรื่องเหล่านี้ไปโดยสิ้นเชิง
เหนือศีรษะเย่หยวน ไข่มุกสยบวิญญาณที่ลอยเคว้งเริ่มเปล่งแสงสีแดงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เกลียวคลื่นกระแสวิญญาณเริ่มก่อตัวขึ้นเป็นวังวนพายุดูดกลืนพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง
ก่อนหน้านี้ที่หวูเฉินจงใจยั้งมือไว้เพราะกลัวว่าดาราสวรรค์อาจตรวจจับความผิดปกติได้
แต่ตอนนี้ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ตัวแล้ว เช่นนั้นหวูเฉินก็ไม่จำต้องยั้งมือใดๆอีกต่อไป
ดาราสวรรค์เร่งร่ายคำสาปวิญญาณเลือดใส่เย่หยวนทันที เนื่องด้วยความโกรธจัด เขาจึงอัดพลังวิญญาณที่มีทั้งหมดหวังฆ่าเย่หยวนในตายในอึดใจ
แต่ชั่วอึดใจต่อมา ดาราสวรรค์พลันค้นพบสิ่งผิดแปลกได้อย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณของเขากลับไหลบ่าออกไปไม่หยุดหย่อน ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังสูบน้ำอย่างหิวกระหายยิ่ง
ดาราสวรรค์ตื่นตกใจอย่างมาก และต้องการจะหยุดร่ายคำสาปวิญญาณเลือดนี้ทันที
แต่เขากลับค้นพบว่ายามนี้ตนไม่สามารถควบคุมอะไรได้อีกแล้ว!
ภายในค่ายกล ดาราสวรรค์ดูน่าเกรงขามคู่กลิ่นอายพลังวิญญาณสุดน่าสะพรึงที่ปลดปล่อยออกมาไม่หยุดยั้ง มันยิ่งทวีความน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่
เหล่าจ้าวทัพปีศาจและเหล่าอัจฉริยะที่เฝ้าสังเกตอยู่ห่างๆต่างร้องอุทานลั่นต่อความทรงพลังของดาราสวรรค์ ชายชราคนนี้แกร่งกล้าอย่างไม่ต้องสงสัย
“ช่างเป็นพลังวิญญาณที่ทรงพลังนัก! ด้วยความแข็งแกร่งของท่าอาวุโสผู้นี้ น่าจะเป็นบุคคลระดับสูงของโถงโลหิตปรโลกกระมัง?”
“จุจุ ข้าสงสัยเสียจริงว่า ท่านผู้นั้นกำลังร่ายคำสาปชนิดใดอยู่ ตอนนี้เจ้าบรรพกาลราตรีคงกำลังทุกข์ทรมานอยู่เป็นแน่?”
“หึ! มันกล้าหลอกพวกเราทุกคนให้วิ่งเล่นบนฝ่ามือของมัน กรรมสนองแล้ว มันสมควรถูกทรมานให้ตายด้วยคำสาปแล้ว!”
…
ดาราสวรรค์ยามนี้กรีดร้องคร่ำครวญอย่างบ้าคลั่งภายในใจ แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถถอนพลังวิญญาณออกจากห้วงวังวนอันหิวกระหายนี้ได้เลย ทำอะไรไม่ได้แม้แต่จะตะโกนเรียกให้คนช่วย
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ คู่ต่อสู้ของเขาในยามนี้เป็นถึงสมบัติเวทย์สวรรค์!
สีหน้าของดาราสวรรค์ยามนี้มืดทมิฬดูน่ากลัวยิ่ง หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปพลังวิญญาณทั้งหมดในตัวเขาจะถูกสูบออกไปจนแห้งเหือดแน่นอน
“หื้ม?”
ติงเอ๋อขมวดคิ้วถักแน่นโดยไว ในที่สุดเขาก็ค้นพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องนัก
บูม! บูม! บูม!
ปลายนิ้วของติงเอ๋อโบกสะบัด ริ้วแสงพลังหลายสิบสายปราดพุ่งเข้าใส่ตะเกียงหลอมวิญญาณจนทั้งหมดแตกเป็นเสี่ยงโดยตรง
วูวววว…
เสียงโหยหวนคร่ำครวญร้องระงมดังลั่น ทั่วทุกมุมภายในหุบเขา ช่างเป็นสุ้มเสียงที่ดูสิ้นหวังและน่าสยดสยองอย่างหาที่เปรียบไม่
“หนวกหู!”
ติงเอ๋อสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง กวาดล้างร่างวิญญาณอาฆาตจำนวนนับไม่ถ้วนที่หลุดออกจากตะเกียงหลอมวิญญาณจนตายสิ้น
“พร๊วดดด!”
ดาราสวรรค์กระอักพ่นเลือดสดออกมาคำโตโดนตรง พินิจจากสภาพร่างกายของเขาขณะนี้ราวกับคนป่วยหนัก ไร้ซึ่งพลังอ่อนแอถึงขีดสุด
ติงเอ๋อจับจ้องไปยังดาราสวรรค์พลางเอ่ยถามขึ้นว่า
“นี่เกิดอะไรขึ้น?”
ดาราสวรรค์เอ่ยตอบอย่างอ่อนแรงว่า
“มะ-ไม่รู้! อีกฝ่ายดูดกลืนพลังวิญญาณข้าดั่งหลุดดำไร้สิ้นสุด!”
“มันกลืนกินพลังวิญญาณของข้าราวกับตายอดตายอยากมาช้านาน กระทั่งข้ายังไม่สามารถถอนพลังออกมาได้! ข้าควบคุมอะไรไม่ได้เลย! หากเมื่อครู่เจ้าไม่เคลื่อนไหว เกรงว่าข้าคงถูกสูบจนตัวแห้งแน่นอน!”
สีหน้าการแสดงออกของติงเอ๋อมืดลงทันที การที่จะสามารถดูดกลืนพลังวิญญาณของจ้าวทัพปีศาจเก้าดาวโดยที่เจ้าตัวไม่สามารถทำอะไรได้เลยเช่นนี้ อีกฝ่ายต้องแกร่งกร้าวจนน่าสะพรึงกลัวเพียงใดกัน?
“เจ้ามนุษย์น้อยคนนี้มันแปลกนัก! มีความลับไม่น้อยที่เก็บซ่อนอยู่เบื้องหลังของมัน ไม่แปลกใจเลยที่ไฉนมันถึงซ่อนตัวจากพวกเราทุกคนได้!”
ติงเอ๋อกล่าวขึ้น
ดาราสวรรค์เอ่ยกล่าวพร้อมท่าทีแสนอ่อนแรง
“ไอ้เด็กนี่มันต้มเราจนเปื่อย! เป็นไปได้ว่ามันมิได้รับผลจากคำสาปวิญญาณเลือดตั้งแต่แรกแล้ว! ไม่น่าแปลกใจเลย ไม่น่าแปลกใจ! ตอนนั้นข้าร่ายคำสาปใส่มันนับไม่ถ้วน แต่กลับทานทนได้ทุกครั้ง!”
ดาราสวรรค์นึกหวนกลับไปถึงสถานการณ์ในตอนนั้น ก่อนจะค้นพบว่าตนถูกหลอกมันตั้งแต่ต้นแล้ว
นึกถึงหม้อหลอมมณีเหลืองพิสุทธิ์ที่โดนเย่หยวนโกงไป ดาราสวรรค์แทบกระอักเลือดซ้ำ
ติงเอ๋อขมวดคิ้วป่าวประกาศเสียงดังฟังชัดว่า
“แยกย้ายได้แล้ว! อวี้หาน เจ้าอยู่ก่อน!”
อวี้หานเนื้อตัวสั่นเทาหนัก ยามนี้ทราบถึงภัยร้ายที่กำลังถาโถมเข้าใส่ และนางมิอาจหนีรอดออกไปได้เลย
เหล่าประมุขโถงคนอื่นๆ ทราบดีว่า พวกตนมิอาจแหย่หนวดเสือได้ในเวลานี้ คล้อยหลังที่รับสั่ง ทุกคนต่างแยกย้ายกันออกไปโดยทิ้งอวี้หานอยู่ตัวคนเดียว
“อวี้หาน เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้า เอาล่ะข้าจะให้โอกาสเจ้าได้แก้ไข หลังจากที่เด็กนั้นออกมา เจ้าจะต้องจับตัวเขาให้ได้เท่านั้น เข้าใจที่ข้ากล่าวหรือไม่?”
ติงเอ๋อเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึม
อวี้หานเร่งเอ่ยตอบทันทีว่า
“ท่านติงเอ๋อโปรดมั่นใจได้เลย! แม้นข้าต้องเฝ้าคอยจนมหาสมุทรแห้งเหือด ข้าก็จะจับตัวเขามาให้ได้!”
ติงเอ๋อพยักหน้าและหันไปกล่าวกับดาราสวรรค์ว่า
“กลับกันเถอะ ความลับที่ซุกซ่อนอยู่บนร่างของเจ้าเด็กนี่มีค่าเสียยิ่งกว่าสมบัติในซากโบราณสถานแห่งนี้มาก! ตราบที่พวกเราจับมันมาได้ย่อมต้องปริปากบอกกล่าวทุกเรื่อง! อวี้หาน ข้าจัดเตรียมการเผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่งคนมาช่วยเหลือเจ้าอีกแรงหลังจากนี้!”
อวี้หานโค้งคำนับรับสั่ง
“รับทราบ!”
…
การทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าของเย่หยวน ทำให้สัมผัสได้ถึงพลังอันไร้เทียมทานปราศจากขอบเขต
ในเวลานี้ ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเยน่หยวนขยายตัวกว่าร้อยเท่าจากเดิม เพียงว่าภายในห้วงสมุทรจุดตันเถียนนี้ ของเหลวกลับเหนียวข้นคลักและหนาแน่นผิดวิสัย ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนน้ำทะเลแม้แต่น้อย
แต่มันราวกับเป็น…ก้อนแป้ง!
เย่หยวนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางสื่อจิตสนทนากับหวูเฉินว่า
“ท่านอาวุโส ข้าบ่มเพาะพลังมาถูกทางหรือเปล่า? ไฉนภายในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของข้าที่ควรเป็นน้ำทะเลพลังปราณ กลับเหนียวข้นจนกลายเป็นก้อนแป้งไปแล้ว?”
เย่หยวนค้นพบว่า ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาค่อนข้างมีความเหนียวข้นที่สูงมาก ชนิดที่ว่าจับตัวกันเป็นก้อนหนา แตกต่างจากของคนอื่นโดยสิ้นเชิงที่เสมือนกับน้ำทะเลในมหาสมุทร
หวูเฉินกล่าวขึ้นว่า
“เอ่อ…เจ้ากำลังก้าวเดินในเส้นทางที่เหล่าบรรพชนไม่เคยก้าวเดินมาก่อน นี่มิใช่เรื่องที่ข้าจะทราบเช่นกัน เพราะข้าไม่เคยเห็นใครเป็นแบบเจ้ามาก่อน อย่างไรก็ตาม เจ้าหลอมสร้างวรยุทธบ่มเพาะพลังที่สามารถเชื่อมต่อกับฟ้าดินและพลังแห่งหุบเขาถงเทียนได้ ข้าว่าเจ้าคงมาถูกทางแล้วกระมัง?”
เย่หยวนนึกไม่ออกบอกไม่ถูกเช่นกันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นยามนี้ ถึงจะใช้สมองอย่างหนักหน่วงเพียงใด ผลสุดท้ายก็ได้แต่นั่งหดหู่อยู่ตัวคนเดียวต่อไป
วรยุทธบ่มเพาะของเขาไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด เนื่องจากสามารถเชื่อมต่อกับหุบเขาถงเทียนได้ มันควรจะถูกต้องตามหลักแล้ว
อย่างน้อยก็เชิงทฤษฎีกระมัง?
แต่ท้ายที่สุดนี้ ไม่ว่าจะมองอีท่าไหน วรยุทธบ่มเพาะพลังของเย่หยวนก็แตกต่างไปจากของคนอื่นโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้ทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจมิใช่น้อย
จากมหาสมุทรพลังปราณเทวะที่ควรจะเป็น ตอนนี้กลับกลายเป็นมหาสมุทรก้อนแป้งยักษ์ไปเสียแล้ว?
วิธีที่จะพิสูจน์ได้ว่าวิธีบ่มเพาะพลังของเขามาถูกหรือผิดทาง คือหากเย่หยวนไม่สามารถสร้างโลกของตนเองขึ้นมาได้ นั้นหมายความว่าความพยายามทั้งหมดเท่ากับสูญเปล่า
นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่ง แม้แต่เย่หยวนเองยังเลี่ยงที่จะกังวลกับเรื่องนี้ไปมิได้
เย่หยวนถอนหายใจเสียงยาวกล่าวขึ้นว่า
“ลืมไปเถอะ ศรธนูที่ยิงไปแล้วมิอาจเรียกกลับคืนได้ หากข้าไม่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้ พวกเราค่อยว่ากันใหม่”
เย่หยวนลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอย่างแช่มช้า ก่อนพบว่าเจิ้งเจี้ยนยังคงยืนจ้องเขาด้วยความตกตะลึง
“เจ้าชนะ! ยินดีด้วย หลังจากนี้เจ้าจะได้รับสืบทอดมรดกที่แท้จริงแห่งนิกายบัลลังก์ม่วง!”
เจิ้งเจิ้งเอ่ยปากกล่าวขึ้นเจือน้ำเสียงเศร้าโศกเล็กน้อย
ความภาคภูมิใจทั้งหมดที่เขามี ยามนี้ถูกเหยียบย้ำโดยเย่หยวนไปแล้ว
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งท่านอาวุโสเจิ้ง!”
เจิ้นเจี้ยนดูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า
“เจ้าทำได้อย่างไรกัน?”
เย่หยวนตัวแข็งค้างไปชั่วขณะเมื่อได้ฟัง คล้อยหลังตระหนักได้ว่าเจิ้งเจี้ยนกำลังหมายถึง สภาวะตัดชั่วฟ้าก่อนหน้า จึงยิ้มตอบไปกว่า
“ไม่มีอะไรพิเศษเลย เพราะก่อนหน้านี้ข้าเคยเข้าถึงสภาวะได้แล้วสองครั้ง ดังนั้น…จึงพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง”
เจิ้งเจี้ยนที่ได้ฟังเช่นนั้นถึงกับพูดไม่ออก
…………………………………………