แม้จะกล้าเหยียบย่ำทับถมคนอื่น แต่กลับไม่ควรเหยียบย่ำยอดอัจฉริยะแห่งยุคแบบเขา!
นี่นับเป็นการถูกเหยียบย่ำทับถมโดยสมบูรณ์ ทั้งยังถูกกระทืบซ้ำให้จมดินอีกสองสามระลอก!
เจิ้งเจี้ยนรู้สึกราวกับโลกที่ตนเคยรู้จักกำลังจะพังทลายลงต่อหน้า
สภาวะตัดชั่วฟ้ากลายเป็นผักปลาจับจ่ายซื้อได้ง่ายดายตั้งแต่เมื่อใด?
ในตอนนั้น เพื่อที่จะฝึกปรือจนเพลงดาบตรัสรู้จนช่ำชอง เขาต้องผ่านประสบการณ์เฉียดตายไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่าระหว่างการฝึกที่ผ่านมากลับไม่เคยเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้ามาก่อนสักครั้ง
แต่เด็กคนนี้กลับเข้าเป็นครั้งที่สามแล้ว!
ตั้งสามครั้ง!
สภาวะไร้ตัวตน กล่าวได้ว่าบังเอิญเข้าเพียงครั้งเดียวก็นับเป็นรางวัลใหญ่ที่สุดในชั่วชีวิตแล้ว!
ทว่า…ทว่าหมอนี่กลับเข้าได้ถึงสามครั้ง!
นอกจากนี้ดูเหมือนว่า แต่ละครั้งที่เข้ายังมีแนวโน้มเข้าผ่านไปได้ง่ายดายขึ้นเรื่อยๆ!
นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน?
เจิ้งเจี้ยนรู้สึกราวกับเขาเป็นเพียงตัวตลก
ตัวตลกที่เดิมข้ามผ่านห้วงเวลา!
อัจฉริยะงั้นรึ?
ต่อหน้าเด็กหนุ่มคนนี้ยังกล้าเรียกตัวเองว่า‘อัจฉริยะ’ได้อีกงั้นรึ?
ช่างน่าขันยิ่งนัก!
คล้อยหลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าท่าทีอันหยิ่งผยองของเจิ้งเจี้ยนพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่อยู่เหนือขอบเขตความเข้าใจของเขาเช่นนี้ด้วยจริงๆ
“ดูท่าแล้วทัศนคติของข้าจะคับแคบไปจริงๆ! พรสวรรค์ของเจ้าอยู่เหนือประวัติศาสตร์ทั้งมวล! ข้าเป็นเพียงบุคคลที่จมอยู่ในธารน้ำแห่งประวัติศาสตร์และอดีตเท่านั้น ขณะที่เจ้าเกิดมาเพียงส่องไสวเปล่งประกายต่อไปในอนาคต! เอาล่ะไปต่อเถิด!”
ในตอนนี้เจิ้งเจี้ยนคลี่ยิ้มกว้างจากใจจริง
ใบหน้าของเขาค่อยๆแปรสภาพเหี่ยวแห้งดั่งศพนับหมื่นปี แต่นั้นก็ยังคงประดับประดาด้วยรอยยิ้มไม่จางหาย
นั้นคือรอยยิ้มแห่งความสุขที่ราวกับบางสิ่งอย่างได้ถูกปลดปล่อยลงเสียที ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
จากนั้นร่างของเขาก็สลายหายไปเหลือแค่เพียงความว่างเปล่า
ณ ปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้พลันผลัดเปลี่ยนภาพฉากออกไป ลานประลองทั้งหมดอันตรธานหายวับไป เหลือแค่โถงกว้างแสนว่างเปล่าเท่านั้น
“ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของเจ้าที่สามารถพิชิตยอดอัจฉริยะทั้งสิบแปดแห่งนิกายบัลลังก์ม่วงได้ เจ้าคือผู้สืบทอดของนิกายบัลลังก์ม่วง! รางวัลของเจ้าคือ…โถงแห่งนี้!”
สุ้มเสียงโบราณเปล่งดังออกมาอีกครั้ง ทำให้เย่หยวนประหลาดใจนัก
มิใช่ว่าทุกๆหกรอบที่มอบรางวัลให้ แล้วไฉนถึงกลายมาเป็นมอบโถงแห่งนี้แทน?
เย่หยวนเผยท่าทีฉงนใจพลางเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“โถงแห่งนี้ข้าไม่สามารถเคลื่อนย้ายมันออกไปไหนได้ แล้วจะมอบให้ข้าได้อย่างไร?”
“ใครบอกว่าไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้? โถงแห่งนี้แท้จริงแล้วเป็นสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำแขนงเหินหาว จะขยายหรือย่อก็ได้ตามต้องการ เมื่อขยายมันจะกลายเป็นพระราชวังอันกว้างใหญ่ไพศาล หากย่อให้เล็กเทียบเท่าได้กับเม็ดฝุ่น สามารถใช้มันเหาะเหินเดินทางนับร้อยล้านลี้ได้ภายในหนึ่งวัน แน่นอนว่าย่อมทำได้หากเจ้ามีผลึกปราณเทวะมากพอ!”
ชายชราร่างผอมแห้งติดกระดูกปรากฏตัวขึ้นพร้อมกล่าวอธิบาย
ดวงตาเย่หยวนสว่างวับขึ้นในทันใด เขาเอ่ยถามอย่างประหลาดใจยิ่งว่า
“มันน่าเหลือเชื่อปานนั้น?”
ชายชราตะคอกตอบน้ำเสียงเยียบเย็น
“น่าเหลือเชื่อกว่าที่เจ้าจินตนาการนัก! หากน้อยกลับไปในยุคนั้น นิกายบัลลังก์ม่วงของข้าอุทิศพลังทั้งหมดเพื่อหลอมสร้างสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำขึ้นมา หวังจะทำให้มันกลายมาเป็นมรดกตกทอดของพวกเราต่อไป ตราบใดที่เจ้ามีผลึกปราณเทวะมากพอ การจะพิชิตยอดเซียนอาณาจักรเทพถ่องแท้ก็หาใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!”
จากที่ฟังมาสิ่งนี้…ช่างน่าประทับใจยิ่ง!
การจะพิชิตยอดเซียนอาณาจักรเทพถ่องแท้ ใครฟังต่างรู้สึกขนลุกขนพองยิ่ง
“หุหุ ดูเหมือนว่าเจ้าจะบังเอิญชนเข้ากับมหาสมบัติเข้าแล้ว!”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น
ชายชรากล่าวต่อว่า
“ข้าหมดเวลาแล้ว ยามนี้ข้าจะบอกให้เจ้าฟัง ที่นี่มีวรยุทธบ่มเพาะพลังขั้นสูงสุดแห่งนิกายบัลลังก์ม่วง เจ้าจำต้องบ่มเพาะฝึกปรือให้ดีและทำให้นิกายบัลลังก์ม่วงของข้าทะยานขึ้นสู่สวรรค์อีกครั้ง!”
เย่หยวนชะงักแข็งค้างไปชั่วครู่และกล่าวว่า
“วรยุทธบ่มเพาะพลัง? ไม่จำเป็น วรยุทธบ่มเพาะพลังของข้าตอนนี้ค่อนข้างประทับใจยิ่งแล้ว คงไม่เปลี่ยนวรยุทธบ่มเพาะพลังแน่นอน”
นี่ต้องล้อเล่นแล้วกระมัง นั้นเป็นถึงวรยุทธบ่มเพาะพลังขั้นสูงสุด?
ทว่าต่อหน้าบัญญัติเทพแห่งถงเทียน สิ่งนี้กลับไม่นับเป็นอันใดเลย!
เมื่อชายชราได้ฟังดังนั้น สีหน้าของเขาพลันบูดบึ้งโกรธเกรี้ยวอย่างมาก
“เจ้าเป็นผู้สืบทอดมรดกแห่งนิกายบัลลังก์ม่วงของข้า ดังนั้นเจ้าจำต้องฝึกปรือวรยุทธบ่มเพาะพลังของนิกายด้วย! มิเช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้าลบหลู่!”
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนเยียบเย็นขึ้นโดยพลัน ตาแก่คนนี้ไม่ไร้เหตุผลเกินไปหน่อยรึ?
หลังจากเงียบลงชั่วขณะ ชายชราก็กล่าวต่อขึ้นว่า
“นอกจากนี้เจ้ายังต้องฝึกปรือพุทธะสูตรฤทัยม่วงอีกด้วย! ยามนี้มีพวกจ้าวทัพปีศาจดักรอเจ้าอยู่ข้างนอกถึงสามตน หากเจ้าไม่ฝึกปรือพุทธะสูตรฤทัยม่วง เจ้าจะไม่สามารถควบคุมโถงบัลลังก์ม่วงแห่งนี้ได้! หากชายชราผู้นี้ตายลง ผนึกค่ายกลที่ปกป้องที่นี่อยู่ก็จะคลายลงด้วยเช่นกัน และพวกมันจะบุกมาฆ่าเจ้าทันที!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนพลันใจหายวาบ หน้าถอดสีในทันที
“เช่นนั้นยังมัวรออันใดอีก? ให้ไวเลย!”
ชายชราคลี่ยิ้มเล็กน้อยและอธิบายขึ้นว่า
“พุทธะสูตรฤทัยม่วงสามารถแบ่งออกได้ทั้งหมดหกระดับ มันจะช่วยผลักดันเจ้าให้พัฒนาขึ้นสู่อาณาจักรเทพถ่องแท้เก้าดาว หรือแม้แต่สามารถทะยานขึ้นเป็นเทพสวรรค์ครึ่งขั้น นี่คือสุดยอดวรยุทธบ่มเพาะจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาวรยุทธบ่มเพาะเต๋าสวรรค์ระดับหก! ตราบใดที่เจ้าบ่มเพาะวรยุทธนี้จนสำเร็จระดับแรกได้ เจ้าก็จะสามารถควบคุมแกนมณีวิญญาณได้ เว้นเสียว่าความเร็วจะค่อนข้างช้ามาก ตราบใดที่เจ้าควบคุมเจ้าสิ่งนี้ได้เพียงส่วนหนึ่ง ย่อมสามารถควบคุมผนึกค่ายกลที่แห่งนี้ได้เช่นกัน และสามารถหยุดจ้าวทัพปีศาจไม่ให้เข้ามาได้!”
ในขณะที่สนทนากันอยู่ พลันปรากฏอัญมณีสีขาวน้ำนมขึ้นต่อหน้าเย่หยวน
เย่หยวนกล่าวว่า
“กล่าวได้ว่า หากข้าสามารถฝึกปรือจนสำเร็จพุทธะสูตรฤทัยม่วงได้ไกลเท่าไหร่ ความเร็วในการควบคุมเจ้าสิ่งนี้ก็ยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น?”
ชายชรากล่าวว่า
“ถูกต้องแล้ว แต่พุทธะสูตรฤทัยม่วงทั้งกว้างใหญ่และลึกล้ำ ภายในเวลาอันสั้นไม่สามารถ…”
ชายชรายังไม่ทันกล่าวจบ เย่หยวนก็เอ่ยแทรกตัดบททันที
“เช่นนั้นยังรออะไรอีก? นำสามระดับแรกออกมาให้ข้าเลย!”
ชายชราชะงักไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“พ่อหนุ่ม อย่ากัดเกินกว่าที่เคี้ยวได้ รากฐานของเจ้าในตอนนี้ยังไม่มั่นคงพอ…”
เย่หยวนเอ่ยสบถขึ้นทันที
“ท่านอาวุโสข้ามีเวลามากมายปานนั้น? กว่าจะอธิบายจบกลัวว่าท่านจะด่วนจากลาไปเสียก่อน?”
ชายชราสำลักทันทีที่ได้ยิน แต่คราวนี้เขายังคงนำพุทธะสูตรฤทัยม่วงออกมาให้โดยดี เพียงว่า…มันเป็นเพียงระดับแรกเท่านั้น
ศิลาจารึกศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นต่อหน้าเย่หยวนจนตาลาย
อย่างไรก็ตาม เย่หยวนเพียงกวาดสายตาอย่างลวกๆและเอ่ยถามขึ้นว่า
“แล้ววรยุทธบ่มเพาะระดับสองอยู่ที่ใด?”
ชายชรายังคงเอ่ยตอบอย่างดื้อรั้นไปว่า
“พ่อหนุ่ม เจ้าเพียงกวาดตามองแค่ครั้งเดียว กลับต้องการฝึกปรือระดับสองแล้ว? ทางที่ดีเจ้าค่อยๆศึกษาไปเสีย!”
ตาแก่นี่…ไฉนตาแก่คนนี้ถึงจู้จี้จุกจิกนัก?
เย่หยวนคร้านจะใส่ใจฟังอันใดอีกต่อไป และเริ่มโคจรบ่มเพาะตามวิธีของพุทธะสูตรฤทัยม่วงในทันที
ทันทีทันใดรัศมีสีม่วงแพรวพราวพลันเปล่งประกายออกมาจากร่างเย่หยวนทันที นี่คือจุดเด่นของวรยุทธบ่มเพาะระดับแรก
“จะ-จะ-เจ้า…เจ้าเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว?! นี่…เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าเคยฝึกปรือพุทธะสูตรฤทัยม่วงมาก่อน? นี่…นี่เป็นไปไม่ได้!!”
ชายชราร่างผอมใช้เวลาอยู่กับสิ่งนี้เนิ่นนานเกินคณานับ ทว่าทันทีที่เห็นแบบนั้นพลันรู้สึกตื่นตระหนกยิ่ง จนกล่าวตะกุกตะกักไม่เป็นภาษา
พุทธะสูตรฤทัยม่วงนี้ทรงพลังและลึกล้ำเพียงใด ชายชราผู้นี้ตระหนักชัดแจ้งดีเยี่ยม
แม้แต่ศิษย์ระดับกะทิที่มากไปด้วยพรสวรรค์ยังต้องใช้เวลากว่าหลายร้อยปี ถึงจะเข้าใจระดับแรกได้อย่างถ่องแท้
เย่หยวนที่เป็นเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าที่เคยบ่มเพาะวรยุทธชนิดอื่นมาก่อน แน่นอนว่ามีประสบการณ์ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบ ถึงแบบนั้น อย่างน้อยที่สุดเขายังต้องใช้เวลากว่าสองถึงสามปีกว่าจะเข้าใจในระดับแรกได้
แต่นี่…เขาสามารถเข้าใจได้ในหนึ่งอึดใจเดียว!
เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นเจือท่าทีไม่แยแสอันใดว่า
“ท่านอาวุโสยามนี้เป็นสถานการณ์เร่งด่วน อย่าให้ข้าเสียเวลาไปมากกว่านี้เลยจะได้หรือไม่ เร่งนำอีกสองระดับมาให้ข้าดูเร็ว!”
แม้เย่หยวนจะมีบัญญัติเทพแห่งถงเทียน แต่ตอนนี้เขาสามารถฝึกปรือบ่มเพาะได้เพียงสามระดับแรกเท่านั้น
เนื่องจากสามระดับท้ายหลัง ระดับพลังของเขายังคงไม่ถึงเกณฑ์จึงไม่สามาถเข้าใจได้โดยธรรมชาติ
หลังจากที่เย่หยวนกวาดสายตาศึกษาอีกสองระดับที่เหลือโดยไว เขาก็ก้าวตรงขึ้นต่อหน้าอัญมณีสีขาวน้ำนมและเริ่มทำการปรับแต่งเพื่อควบคุมทันที
เฝ้ามองเย่หยวนปรับแต่งแกนมณีวิญญาณโดยใช้พุทธะสูตรฆทัยม่วงทั้งสามระดับแรกชนิดที่ว่าตาไม่กะพริบ ใบหน้าของชายชราร่างผอมยามนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความตื่นตกใจ
นี่มัน…เรื่องบ้าอะไรกัน?
แค่กวาดสายตามองผ่านเพียงปราดเดียว ก็สามารถเข้าใจทั้งหมดแล้ว?!
พุทธะสูตรฤทัยม่วงกว้างใหญ่ไพศาลและลึกล้ำยิ่ง เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นสัตว์ประหลาดหรืออย่างไร?
เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ฮ่าๆๆๆ ปรากฏว่าสวรรค์ยังเห็นใจนิกายของข้าอยู่บ้าง! ไม่คิดไม่ฝัน หลายผ่านไปหลายสิบหมื่นทศวรรษ ในที่สุดนิกายบัลลังก์ม่วงก็เสาะพบผู้สืบทอดที่ท้าทายสวรรค์ปานนี้!”
ชายชรากล่าวลั่นพลางระเบิดหัวเราะดัง คู่ดวงตาที่ขุ่นของเขาสว่างไสวขึ้นทันที
……………………………………