ด้านนอกซากโบราณสถาน มีสองร่างปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบงัน
ทั้งสองมิใช่ใครอื่นนอกจากติงเอ๋อและดาราสวรรค์ที่ก่อนหน้าจากออกไป แต่ยามนี้พวกเขาเดินทางกลับมาแล้ว
หลังพักฟื้นอาการเป็นเวลาหลายเดือน อาการบาดเจ็บของดาราสวรรค์ก็ดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย
แต่ความเสียหายที่ไข่มุกสยบวิญญาณก่อขึ้นมันรุนแรงเกินไปยิ่ง อย่างน้อยที่สุดจำต้องใช้เวลากว่าสามถึงห้าสิบปีจึงจะฟื้นตัวกลับมาได้ดังเดิม
เหตุที่ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นที่นี่เป็นเพราะจู่ๆพวกเขาก็ขาดการติดต่อกับอวี่หานและคนอื่นๆไปโดยไร้สาเหตุ
เมื่อกลับขึ้นหุบเขาไปภาพฉากเบื้องหลังกลับเหลือแต่เพียงความว่างเปล่า ดวงตาทั้งสองโพล่งเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงสุดขีด
“ข้าไม่คิดเลยว่า กลับเป็นซากโบราณสถานแห่งนั้นที่เป็นมรดกล้ำค่าที่สุด!”
นัยน์ตาคู่นั้นของติงเอ๋อสาดสะท้อนความเสียใจเกินห้ามปราม
หากเขาทราบเช่นนี้ตั้งแต่แรก คงเป็นตัวติงเอ๋อเองที่อาสาเข้าที่นี่โดยไม่ขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว และไม่มีทางปล่อยให้นิกายบัลลังก์ม่วงชวดจากมือไป
มุมปากดาราสวรรค์พลันกะตุกไม่หยุด กัดฟันแน่นกรอดกรนคำรามขึ้นว่า
“ไม่รู้เลยว่าไอ้เด็กขอเหลือนั้นได้กำไรไปมหาศาลเพียงใด! ข้าอยากจะบดขยี้มันให้เป็นเนื้อบดเสีย!”
คนที่ประสบความสูญเสียที่สุดในครั้งนี้มิใช่ใครอื่น นอกจากดาราสวรรค์
คำสาปวิญญาณเลือดทำให้เขาต้องบาดเจ็บสาหัส กล่าวได้ว่ามีราคาที่ต้องเสียเป็นจำนวนมหาศาล แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับว่างเปล่า
เขาพลันนึกถึงหม้อหลอมมณีเหลืองพิสุทธิ์ที่มอบให้เย่หยวนตอนนั้นอย่างอดมิได้ แค้นอาฆาตนี้ยิ่งฝังใจเป็นหลายทวีเท่า
สุดท้ายนี้ พลังจิตวิญญาณของเขายังถูกไข่มุกสยบวิญญาณกลืนกินอย่างบ้าคลั่ง เจียนพินาศดับสูญ
ณ ปัจจุบัน เย่หยวนยังเคลื่อนย้ายซากโบราณสถานและสมบัติทั้งหมดออกไป เช่นนี้จะมิให้เขาโกรธเกรี้ยวได้อย่างไร?
“พร๊วดดด!”
เมื่อย้อนทบทวนเรื่องบัดซบทั้งหมดที่ประสบผ่านมา พลันทำให้อาการบาดเจ็บสาหัสของเขากำเริบหนัก จนท้ายที่สุดดาราสวรรค์ก็กระอักพ่นเลือดสดออกมาเต็มปากเต็มคำ
ติงเอ๋อเฝ้ามองดาราสวรรค์ด้วยความสงสารสุดหัวใจ เขากล่าวพลางถอนหายใจขึ้นว่า
“ตอนนี้มีปัญหาแล้ว! มิอาจทราบได้เลยว่าเด็กนั้นมีที่มาอย่างไร ที่แน่นอนคือนามขานบรรพกาลราตรีควรเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาเฉพาะกิจ กลับหาใช่นามจริงของมันไม่ ตอนนี้มันก็จากไปแล้ว จะไล่จับหัวหรือหางกลับไม่รู้ทิศไม่รู้ทางใดๆเลย”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของติงเอ๋อ ดาราสวรรค์แทบกระอักพ่นเลือดสดระลอกสอง
ไม่มีสิ่งใดน่าเศร้าไปกว่านี้แล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศัตรูของเขาคือใคร?ชื่ออะไร?!
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เราจะปล่อยให้มันหนีไปเช่นนี้?”
ดาราสวรรค์เอ่ยกล่าวน้ำเสียงขมขื่นใจยิ่ง
ติงเอ๋อแสยะยิ้มเย็นกล่าวว่า
“ปล่อยมันไป? จะเป็นไปได้อย่างไร! ประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ปานนี้ เจ้าคิดว่าท่านประมุขโถงยังกล้าปล่อยไปได้หรือไม่? สบายใจเถิด แม้ขณะนี้ยังไม่มีข่าวคราวของมัน แต่ยอดอัจฉริยะเฉกเช่นมันมีหรือจะหลบซ่อนตัวได้ตลอด! นักหลอมโอสถที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าได้มีหรือจะถูกเศษฝุ่นกลบมิด?”
…
ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองจักรพรรดิห่างไกลเกินกว่าที่เมืองหลวงจะเทียบเคียงได้ และน้อยคนนักที่จะมีคุณสมบัติเข้าอาศัยได้
ดังนั้นหากต้องการเข้ามาในเมืองจักรพรรดิ จำต้องจ่ายด้วยผลึกปราณเทวะจำนวนมหาศาล
เย่หยวนเงยมองไปบนแผ่นป้ายราคาที่ระบุอย่างชัดเจน เห็นแบบนั้นมุมปากของเขาพลันกระตุกขึ้นทันทีทัน
ป้ายตราอาศัยชั่วคราวสิบวัน ราคาห้าสิบผลึกปราณเทวะระดับต่ำ
ป้ายตราอาศัยชั่วคราวหนึ่งปี ราคาห้าพันผลึกปราณเทวะระดับต่ำ
ป้ายตราอาศัยชั่วคราวสิบปี ราคาห้าหมื่นผลึกปราณเทวะระดับต่ำ
ป้ายตราอาศัยชั่วคราวร้อยปี ราคาห้าแสนผลึกปราณเทวะระดับต่ำ
ป้ายตราอาศัยถาวร ราคาห้าสิบล้านผลึกปราณเทวะระดับต่ำ
ภายในเมืองจักรพรรดิแห่งนี้ หากไม่มีป้ายตราอาศัยติดตัวจะถูกกำจัดทิ้งโดยตรง
เมื่อป้ายตราอาศัยหมดอายุในภายหลัง ก็จะถูกกำจัดทิ้งไปโดยตรงเช่นกัน
และราคามหาโหดปานนี้ นักสู้ธรรมดาทั่วไปกลับไม่มีทางหามาจ่ายได้เลย!
ทรัพย์สินทั้งหมดของเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าทั่วไป ทั้งตัวมีแค่ประมาณหนึ่งล้านผลึกปราณเทวะระดับต่ำเท่านั้น
กล่าวได้ว่าเซียนระดับชั้นบรรพกาลพระเจ้า สามารถใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจักรพรรดิได้แค่ร้อยปีเท่านั้น
ซึ่งเวลาแค่ร้อยปีนับว่าพริบตาเดียวสำหรับเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า
นอกจากนี้นี่เป็นแค่ค่าซื้อป้ายตราอาศัยเท่านั้นแต่กลับต้องจ่ายด้วยผลึกปราณเทวะเป็นจำนวนมากโขแล้ว
ไหนจะค่าที่พักอาศัย ค่าเบ็ดเตล็ดอีกต่างๆ นานา
ดังนั้นแล้ว หากต้องการอยู่ในเมืองจักรพรรดิจำต้องมีเงินใช้ไม่ขาดมือ!
แม้ราคาค่าใช้จ่ายจะสูงมาก แต่ก็ยังมีเหล่าเซียนจำนวนมากมายแห่แหนกันเข้ามาราวกับฝูงเป็ด
เมืองจักรพรรดิและเมืองหลวงทั่วไป เป็นสองสถานที่ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ในช่วงเริ่มก่อตัวเมืองจักรพรรดิ แต่ละแห่งจะรวบรวมผลึกปราณเทวะจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างค่ายกลระดมวิญญาณยักษ์ภายใต้พื้นดิน
ดังนั้นแล้วพลังวิญญาณภายในเมืองจักรพรรดิจึงหนาแน่นกว่าอย่างหาที่เปรียบไม่ แม้จะไม่ตั้งใจฝึกปรือ แต่พัฒนาการกลับสูงเท่ากับคนที่ตั้งใจฝึกปรืออย่างหนักใจเมืองหลวง
ดังนั้น แม้ว่าป้ายตราอาศัยจะมีราคาแพงมาก แต่เหล่าผู้คนต่างก็ยังโหยหาต้องการเข้ามาที่นี่
“ต่อไป!”
ทหารยามผู้จำหน่ายป้ายตราอาศัยเอ่ยกล่าวขึ้น พร้อมท่าทีเบื่อหน่ายเกียจคร้าน
“ป้ายตราอาศัยชั่วคราวสองร้อยปี”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้น
ทหารยามคนนั้นเลิกคิ้ว โพล่งตากว้างจับจ้องเย่หยวนด้วยความประหลาดใจยิ่ง
รวย!
คนส่วนใหญ่ที่เดินทางมาซื้อป้ายตราอาศัยอย่างมากจะซื้อแค่ไม่หนึ่งก็สิบปี ระยะร้อยปีกล่าวได้ว่าแพงเกินไป คนทั่วไปไม่มีปัญญาจ่ายได้ไหว
เย่หยวนสัมผัสได้ถึงความคึกคักและพลังวิญญาณอันหนาแน่นภายในเมืองจักรพรรดิแห่งนี้ได้อย่างชัดแจ้ง และนี่ทำให้เขาตื่นเต้นมิใช่น้อย
หากเป็นไปได้ เขาเองก็วางแผนที่จะปักหลักที่นี่เช่นกัน
หนึ่งล้านผลึกปราณเทวะเป็นแค่เศษเงินเท่านั้นสำหรับเย่หยวนผู้มีทรัพย์สินกว่าห้าพันล้าน
“จุจุ ไม่ว่านายน้อยผู้นี้มาจากเมืองหลวงแห่งใด ช่างร่ำรวยโดยแท้!”
“เฮ้ออ…ชีวิตคนรวยนี่มันน่าอิจฉาเสียจริง!”
“หากเปรียบกับคนอื่นกลับดูไร้ค่าไปเลย! หากข้ามีเงินมากมายปานนั้น มันจะดีแค่ไหนกัน!”
…
ทหารยามกวาดสายตาจับจ้องเย่หยวนมากอารมณ์เจือผสม ก่อนมอบป้ายตราอาศัยจำนวนสองชิ้นแก่เขา
เย่หยวนรับป้ายตราในมือไว้อย่างไม่แยแสและจากไปทันที
“เฮ้ออ…มีแกะโดนเชือดอีกคนแล้ว คิดว่าไม่กี่วันหลังจากนี้ เจ้าหนุ่มนี่คงถูกเล่นงานแน่นอน”
ทหารยามเอ่ยกล่าวขึ้นพลางหัวเราะขำขันกับสหายอีกคน
“ฮ่าๆ นั้นหาใช่สิ่งที่เราควรกังวล ตราบใดที่ไม่สร้างปัญหาใหญ่โตเกินไป ก็หาได้เดือดร้อนอะไรเรา”
สหายคนนั้นเอ่ยกล่าวขึ้นพรางหัวเราะ
ทั้งสองจ้องมองเย่หยวนที่เดินลับออกไปพร้อมคู่สายตาหัวเราะเยาะ
เย่หยวนเพิ่งย่างเท้าเข้าประตูเมืองมาไม่นาน ก็มีกลุ่มคนริมถนนตรงเข้ามาทักทายทันที
“นี่เจ้าหนุ่มดูหน้าตาไม่คุ้นเลย คงเข้าเมืองเป็นครั้งแรกกระมัง? ต้องการคนนำทางหรือไม่? ข้าชื่ออาซื่อ อย่าหาว่าข้าคุยโม แต่ทุกตรอกซอกซอยในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แห่งนี้ไม่มีที่ใดที่ข้าไม่รู้จัก! วันละสิบผลึกปราณเทวะเท่านั้น ราคานี้ซื่อสัตย์เท่าเทียมไม่ว่าคนแก่หรือเด็ก!”
“น้องชาย อย่าฟังไอ้พวกพูดจาไร้สาระ ข้าฮัวซาน รู้ทุกอย่างในเมืองแห่งนี้!”
“น้องชาย จ้างข้าเป็นคนนำทาง รับรองไม่ผิดหวัง!”
…
กลุ่มผู้คนต่างส่งเสียงโหกเหวกโวยวาย แห่ตรงเข้าหาเย่หยวน
เมืองจักรพรรดิมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเกินไป นี่หาใช่สิ่งที่จะเดินได้คล่องภายในวันสองวัน
บางคนคุ้นเคยแค่บริเวณเล็กๆภายในเมืองแม้นจะอยู่อาศัยที่นี่เป็นเวลาหนึ่งปี
ดังนั้นแล้ว ภายในเมืองแห่งนี้จึงมีอาชีพมัคคุเทศก์ถือกำเนิดขึ้นโดยธรรมชาติ
เหล่าผู้มาใหม่ในเมืองนี้เป็นครั้งแรกย่อมไม่รู้ทาง
เย่หยวนมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนเจ้าท้วม หากไม่มีมัคคุเทศก์คอยนำทางมีหวังใช้เวลาอีกนานเดินหลงแน่นอน
เย่หยวนกวาดสายตามองโดยไวก่อนโยนผลึกปราณเทวะจำนวนสิบก้อนให้แก่อาซื่อและกล่าวว่า
“เช่นนั้นพาข้าไปยังหอมหาสมบัติ”
อาซื่อคนนี้แม้จะดูซื่อๆ แต่ปฏิกิริยานับว่าเฉียบคมยิ่งนัก
การมีเขาเป็นผู้นำทางอาจช่วยลดปัญหาที่ไม่จำเป็นได้ ดังนั้นเย่หยวนจึงเลือกเขา
อาซื่อรับผลึกปราณเทวะไว้ในมือและยิ้มตอบว่า
“รับทราบนายท่าน!”
เมื่ออาซื่อกล่าวจบ เขาก็นำทางเย่หยวนออกไปทันที
คนอื่นๆโดยรอบต่างแสดงท่าทีผิดหวัง แต่คล้อยหลังทั้งคู่จากออกไป พวกเขาก็เริ่มจับกลุ่มคุยกัน
“แกะตัวใหญ่ปานนี้น่าเชือดเสียจริง! เมื่อครู่ตรงหน้าประตูเมืองเด็กนั่นถึงขั้นหยิบจ่ายผลึกปราณเทวะหนึ่งล้านก้อนโดยไม่สะเทือนใดๆ!”
“อาซื่อเจ้าเล่ห์เกินไป พวกเขาประมาทไม่ทันสังเกตแค่แวบหนึ่ง มันกลับฉวยโอกาสตัดหน้าไปเฉย!”
“หลังเสร็จงานนี้ อาซื่อคงไม่ต้องออกมาทำงานอีกสักพักใหญ่”
…
เย่หยวนที่เดินจากออกไปแล้วย่อมไม่ได้ยินกลุ่มคนพวกนี้สนทนากันโดยธรรมชาติ ในขณะที่อาซื่อก็พลางเดินแนะนำสถานที่และข้อมูลต่างๆภายในเมืองจักรพรรดิแห่งนี้อย่างคล่องแคล่วและเป็นมิตรยิ่ง
………………………………………………..