“หื้ม? เปลี่ยนชื่อ? แค่เด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้น? เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่รึเปล่า?”
ประมุขแห่งกลุ่มล่ามังกร เยว่ฉิงเฟิงกวาดสายตาจับจ้องไปที่เมิ่งฮั่ว พร้อมด้วยความสงสัยถูกเขียนเต็มทั่วใบหน้า
เด็กหนุ่มอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นยื่นคำขาด สั่งให้กลุ่มล่ามังกรเปลี่ยนชื่อ? ต่อให้เขาโดนตบจนตายก็แทบไม่อยากเชื่อ!
นอกจากนี้แล้วๆ ไฉนพวกเขาต้องเปลี่ยนชื่อด้วย?
กลุ่มล่ามังกร ไม่ว่าจะฟังดูกี่ครั้งยังคงขลังไม่เปลี่ยน!
สีหน้าการแสดงออกของเมิ่งฮั่วยามนี้ย่ำแย่อย่างมาก เขาไม่อยากทำใจยอมรับเลยว่า เย่หยวนแข็งแกร่งกว่าตน นี่เป็นเรื่องน่าอัปยศเกินไป
กายเนื้อทองคำระดับสามชั้นปลายพ่ายลงให้แก่เด็กหนุ่มอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้น หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป เขาคงกลายมาเป็นตัวตลกของเขตเมืองทางตอนใต้แน่นอน
“ท่านไม่รู้หรอกพี่ใหญ่ วรยุทธการเคลื่อนไหวของเด็กนั้นเร็วปานใด เพียงเสี้ยวอึดใจที่ข้าประมาท เขาก็สามารถ…สามารถทำอันตรายข้าได้! แม้ว่าสาขาใหญ่ของพวกเราจะไม่เกรงกลัวเขา แต่นี่นับเป็นภัยร้ายต่อสาขาแยกย่อย!”
คู่ดวงตาของเมิ่งฮั่วกวาดหมุนอยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนวีธีสนทนาแบบทางอ้อมแทน
คนที่เห็นเหตุการณ์นั้น เมิ่งฮั่วสั่งกำชับให้ปิดปากเงียบ ห้ามแพร่งพราย
ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ภายในสามวันต่อจากนี้ไอ้เด็กเหลือขอนั้นยังห้าวกล้าเข้ามา มันเตรียมตัวตายได้เลย
พี่ใหญ่เยว่ฉิงเฟิงเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น แม้ว่าไอ้เด็กเหลือขอนั้นจะทะยานสู่สวรรค์ น่าประทับใจเพียงใด แต่ประมุขของเขาย่อมกระชากลงปรโลกได้ทุกเมื่อ
แต่เยว่ฉิงเฟิงโบกมือปัดคล้ายว่าคร้านใส่ใจ และกล่าวว่า
“ไม่ต้องสนใจมัน เจ้าหนูนั้นคงปลุกปั่นสร้างความโกลาหลไปแบบนั้น มะรืนนี้เราเข้าเจรจากับกลุ่มขนนกเงินอีกครั้ง เกี่ยวกับการแบ่งส่วนเขตอำนาจบนถนนเชียนถิงสามสายหลัก เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดแล้ว!”
ถนนเชียนถิงสามสายหลักเป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างกลุ่มล่ามังกรกับกลุ่มขนนกเงิน สองกลุ่มขั้วอำนาจใหญ่ และถนนทั้งสามสายนี้จะเป็นจุดที่มั่งคั่งที่สุดแล้ว ซึ่งเรียกโดยรวมว่า ถนนเชียนถิงสามสายหลัก
วันนี้เยว่ฉิงเฟิงเองก็นพกลุ่มคนไปเจรจาเพื่อยุติข้อตกลงนี้กับกลุ่มขนนกเงินเช่นกัน
แต่ผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างชัดเจน เสียงแตกไม่เป็นสาย
ทันทีที่เมิ่งฮั่วได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปทันทีและกล่าวว่า
“ไฉนวันนี้ถึงยังไม่ลงตัวอีก มิใช่ว่าเจ้าพวกนั้นจะยอมมอบตามที่ตกลง?”
เยว่ฉิงเฟิงกล่าวอธิบายว่า
“ตอนนี้ความขัดแย้งในถนนเชียนถิงสามสายหลักยังค่อนข้างรุนแรง กลุ่มนั้นยังคงยืนกรานที่จะผูดขาดกับที่ถนนเชียนถิงสายสายหลัก เหอะ ถนนแห่งนั้นแบ่งแยกการปกครองระหว่างสองกลุ่มชัดเจนดีอยู่แล้ว ช่างหน้าไม่อายที่พวกมันกล่าวแบบนี้!”
ทันทีที่เมิ่งฮั่วได้ยินเช่นนั้น เขาก็โมโหจัดคำรามขึ้นว่า
“ไอ้พวกไร้นางอาย! แต่เดิมถนนเชียนถิงเป็นเขตการปกครองของเรา พวกมันสักแต่จพทำให้สถานการณ์แย่ลงและแย่ลง? ท่านประมุข เรื่องนี้ให้เมิ่งฮั่วออกไปจัดการเองดีกว่า ข้าจะล้างบางพวกมันให้หมด!”
สิ่งหนึ่งคือ ไม่ควรมองว่ากายเนื้อสุดแกร่งกร้าวระดับสามขั้นปลายของเมิ่งฮั่วอ่อนแอ แต่แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นเซียนคนหนึ่งที่ทรงพลังอย่างมาก
ต่อให้เผชิญหน้ากับเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุด เขาก็ยังสามารถพึ่งพากายเนื้อนี้ เพื่อสัประยุทธ์ได้อย่างสูสี
แต่โชคร้ายนักที่เขาดันมาเจอเย่หยวน
ต่อหน้าความเร็วของเย่หยวน ไม่ว่าสิ่งใดล้วนต้องถูกบดขยี้ราวกับเศษขยะ
ร่องรอยความดุร้ายทอประกายส่องผ่านนัยน์ตาของเยว่ฉิงเฟิง เขากล่าวว่า
“นี่จะเป็นการเจรจาครั้งนี้สุดท้ายแล้ว! หากพวกมันยังงี่เง่าเช่นนี้ก็ไม่มีเหตุผลต้องพูดคุยอะไรกันอีก! ยามถึงจุดนี้เราต้องตายกันไปข้าง!”
…
เย่หยวนเข้าพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง และเช่าพักเพิ่มอีกสองห้องสำหรับหลงซานและอาซื่อ
ลำไส้ของอาซื่อ ณ ปัจจุบันบิดตัวมวลนักจนเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมม่วง ช่างรู้สึกขื่นขมใจนักเสมือนว่าโลกของเขากำลังพังทลายลงมา
ไฉนเขาถึงตามืดบอดปานนี้? ต้องโง่แค่ไหนถึงดันไปยั่วโมโหเทพสงครามเข้า!
แม้ว่าเขาจะรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ แต่กลุ่มล่ามังกรที่เป็นมิตรสหาย กลับไม่ย่อมปล่อยเขาไปแน่เช่นกัน
เพราะเขายังต้องพาเย่หยวนไปกวาดล้างสาขาแยกย่อยต่างๆของกลุ่มล่ามังกร
จะบังคับให้กลุ่มล่ามังกรเปลี่ยนชื่อ?
ฆ่ากันเลยดีกว่า!
สำหรับเย่หยวน เขาปล่อยให้อาซื่อนำทางไปซื้อสมุนไพรวิญญาณระดับสามภายในเขตเมืองทางตอนใต้ ก่อนจะตรงเข้าเก็บตัวเพื่อค้นคว้าเรื่องโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม
ระหว่างทาง เย่หยวนก็ศึกษาเรื่องทฤษฎีโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามมาอยู่ก่อนแล้ว พร้อมกว้านซื้อสมุนไพรวิญญาณระดับสามเพื่อทดลองต่างๆนาๆ
เย่หยวนค้นพบว่า ตั้งแต่ที่ตนสามารถเรียกปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋ามาได้ ศาสตร์แห่โอสถที่เขาเคยรู้จักราวกับยกระดับสู่โลกอีกใบหนึ่ง
สำหรับเรื่องความเร็วในการศึกษาโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม เย่หยวนนับว่าก้าวหน้าขึ้นเร็วกว่าเดิมมาก
ตอนนี้อาศัยสิ่งของต่างๆภายในโถงบัลลังก์ม่วง นี่ยิ่งช่วยให้เย่หยวนประหยัดเวลาในการศึกษาทำความเข้าใจได้มากขึ้นโข
เย่หยวนใช้เวลาเก็บตัวอยู่ในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพอยู่นานหลายปี
ความแกร่งกล้าในศาสตร์แห่งโอสถ ณ ปัจจุบันของเย่หยวน มีเกินพอแล้วที่จะทำให้เหล่าจอมเทพโอสถสามดาวล้วนต้องสิ้นหวัง
แต่สำหรับเย่หยวนนั้น ไม่ว่าจะใช้เวลาหมกตัวศึกษาค้นคว้าในด้านโอสถมากเท่าไหร่ เขากลับไม่รู้สึกเบื่อหรือเหนื่อยล้าแม้สักนิด เขาไม่อยากให้เวลาล่วงเลยเกินสามวัน ดังนั้นเขาจึงเข้าเก็บตัวอยู่ในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ
สามวันต่อมา เย่หยวนเดินทางไปที่รังใหญ่ของกลุ่มล้ามังกรอีกครั้ง พร้อมย่างสามขุมตรงเข้ามาอย่างแช่มช้า
ยังคงเป็นทหารยามกลุ่มเดิมที่ยืนเฝ้าหน้าประตู แต่เมื่อเห็นเย่หยวน สีหน้าการแสดงออกของแต่ละคนต่างถอดสีในทันใด เลยอดตื่นตะลึงมิได้
ความแข็งแกร่งของเขาไม่น่าจะพอโค่นล้มกลุ่มล่ามังกรได้จริงๆใช่ไหม?
“เหอะ ข้ากลับมาแล้ว ไปเรียกประมุขพวกเจ้ามา แล้วจะเปลี่ยนชื่อเป็นอะไรดี?”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวเสียงเย็นชา
ทหารยามคนหนึ่งตื่นตระหนกนัก ก่อนรีบวิ่งแจ้นเข้าไปรายงานสถานการณ์ทันที
ไม่นานนัก ชายวันกลางคนทั้งสองที่ดูคล้ายระดับหัวหน้าก็เดินตรงออกมาจากเรือนหลัก
“ท่านพี่สาม เจ้าเด็กนี่แหละ!”
เมิ่งฮั่วชี้ไปทางเย่หยวนพร้อมปริปากกล่าวทันที
หัวหน้าสามขมวดคิ้วถักแน่นแลมองไปทางเย่หยวน ก่อนจะเค้นเสียงทุ้มต่ำเอ่ยดังขึ้นว่า
“เจ้าหนู เบื่อหน่ายกับชีวิตปานนั้น? ถึงหาญกล้าวิ่งเล่นในกลุ่มล่ามังกรของเรา?”
เย่หยวนเหลือบมองหัวหน้าสามเล็กน้อย ก่อนจะหันไปถามเมิ่งฮั่วว่า
“หมายความว่า…พวกเจ้าไม่ยอมเปลี่ยนชื่อกลุ่ม?”
“เปลี่ยนบิดาเจ้าเถอะ! ท่านปู่ผู้นี้กำลังหัวเสียพอดีและยังหาที่ระบายไม่เจอ เช่นนั้นจำต้องลงกับเจ้าแล้ว! ข้าจักหักคอเจ้าทิ้งเสียเดี๋ยวนี้! บังอาจเล่นลิ้นกับกลุ่มล่ามังกรของข้า!!”
หัวหน้าสามส่งเสียงคำรามมลั่น พร้อมกระชับดาบใหญ่เข้าเล็งไปที่ศีรษะเย่หยวนโดยตรง
เย่หยวนเลิกคิ้วกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะสังเกตเห็นอาการบาดเจ็บของหัวหน้าสาม ซึ่งดูสาหัสไม่เบา
เกร๊ง!
คมดาบยักษ์ของหัวหน้าสามฟันลมวืดไป!
“พี่สามระวัง! มันอยู่ข้างหลังท่าน!”
เมิ่งฮั่วร้องอุทานลั่นด้วความตกใจ
หัวหน้าสามตะลึงหนักโพล่งตัวเหลียวกลับมาโดยไวพร้อมคมดาบยักษ์ที่เหวี่ยงคู่ออกไป
เกร๊ง! เกร๊ง! เกร๊ง!
เสียงโลหะสาดกระทบดังกังวานหลายหลากกระบวน ทำเอาผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง
เด็กหนุ่มอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นเจ้าต่อกรกับหัวหน้าสามที่เป็นถึงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุดได้อย่างสูสียิ่ง?
เด็กคนนี้โผล่มาจากไหนกัน?
ยิ่งหัวหน้าสามต่อสู้สัประยุทธ์มากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นตระหนกใจมากขึ้นเท่านั้น ปรากฏว่าตอนนี้เขาไม่สามารถไล่ตามความเร็วของเย่หยวนได้อีกต่อไป!
วรยุทธเคลื่อนไหวของเจ้าเด็กนี่รวดเร็วเกินจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเสมือนภูตผี ไสววูบวาบโฉบแล่นผ่านไปมาดั่งเงา
เห็นได้ชัดแจ้งว่าคมดาบของอีกฝ่ายอยู่ไกลมาก แต่เสี้ยวพริบตาเดียวกับลุถึงตรงหน้าเสียแล้ว
นี่ผิดประหลาดเกินไป!
ก่อนหน้านี้เขายังบ่นกับหัวหน้าห้าอยู่เลยว่า อ่อนแอไร้ประโยชน์สิ้นดี ทว่ายามนี้เขากลับรู้ซึ้งถึงความน่าสะพรึงของเด็กคนนี้แล้ว
“หยุดก่อน!!”
หัวหน้าสามตะโกนลั่นดึงระยะห่างกับเย่หยวนออกไปหลายช่วงตัว
“เจ้าหนุ่ม เจ้าแข็งแกร่งมาก! แต่หากข้ามิได้รับบาดเจ็บ เกรงว่าเจ้าเองก็หาใช่คู่ต่อสู้ของข้าเช่นกัน!”
หัวหน้าสามเอ่ยกล่าวพร้อมสีหน้าสุดมืดมน
เย่หยวนลอบเร้นเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย พลางเอ่ยเสียงเย็นขึ้นว่า
“ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อต่อสู้ แต่มาที่นี่เพื่อเปลี่ยนชื่อกลุ่มพวกเจ้า! ดูเหมือนว่าสิ่งที่ข้ากล่าวเตือนไปในครั้งนั้นจะเสมือนโยนกรวดลงแม่น้ำโดยเปล่า เช่นนั้น…ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะไล่ทำลายสาขาย่อยของพวกเจ้าทีละแห่ง!”
สีหน้าการแสดงออกของหัวหน้าสามพลันแข็งกระด้างในทันใด พร้อมความหวาดหวั่นที่ก่อตัวขึ้นภายในใจ
วรยุทธเคลื่อนไหวของเจ้าเด็กนี่น่ากลัวเกินไป แม้อีกฝ่ายจะหาใช่คู่ต่อสู้ของเขาก็จริง แต่หากเย่หยวนต้องการจากไปทั้งแบบนี้ เขาเองก็ไม่สามารถหยุดได้เช่นกัน
แต่ทันใดนั้นเอง ปรากฏทหารยามคนหนึ่งรีบวิ่งออกมาด้วยท่าทีสุดร้อนรน เขาตะโกนขึ้นลั่น
“หัวหน้าสาม หัวหน้าห้า! แย่แล้ว…เขา…เขากำลังจะตายแล้ว!”
…………………………………