ทั้งประมุขและเหล่าพี่น้องของเขาต่างสบตากัน ยามนี้ไม่แน่ใจเลยว่าจะเป็นอย่างไร
ไฉนต้องใช้กาละมังด้วย?
“เจ้าสาม เด็กนี่กำลังทำบ้าอะไรกันแน่?”
ประมุขกระซิบถามเสียงเบา
ในเวลานี้เย่หยวนกำลังจับชีพจรของหัวหน้าสองอย่างเงียบงัน
หัวหน้าสามจับจ้องเจือสายตามึนงง เขากล่าวว่า
“แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? หากรู้คงช่วยพี่สองได้นานแล้ว!”
บัดซบ! เจ้าน้องนี่มันก็ไม่รู้เหมือนกันนี่หว่า!
นี่หายนะแล้วกระมัง!
ดวงตาของประมุขเบิกโตแทบถลนออก เขากล่าวขึ้นว่า
“เด็กนี่ดูไม่น่าไว้ใจยิ่ง แล้วเจ้าไปความมั่นใจจากไหนยืนกรานให้เด็กนี่ลองดู?”
หัวหน้าสามกล่าวตอบ
“เมื่อครู่ตอนที่ข้าแลกหมัดกับเด็กนี่ ข้าเอง…ยังเกือบพลาดท่า!”
สายตาการจับจ้องของประมุขแปรเปลี่ยนไปในทันที ก่อนเผยสีหน้าสุดตื่นตะลึงยิ่ง
อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นสามารถทำให้น้องสามพลาดท่าได้?
ไม่ว่าแปลกใจเลยที่น้องสามจะบอกว่า เด็กคนนี้ผิดแปลก!
หัวหน้าสามกล่าวต่อว่า
“การที่เจ้าเด็กนี่ทรงพลังตั้งแต่อายุยังน้อย ข้าสันนิษฐานว่า ภูมิหลังของเขาไม่น่าจะธรรมดาแน่นอน บางที…เขาอาจมีเคล็ดวิชาลับช่วยชีวิตพี่สองได้จริงๆ!”
ประมุขจับจ้องไปที่เย่หยวนยามนี้ชะงักฝีปากหยุดพูดในทันที
ไม่นานกะละมังที่เต็มไปด้วยน้ำสะอาดก็ถูกนำเข้ามา
เย่หยวนึค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า และตรงมาที่กะละมังทันที
เห็นเพียงเย่หยวนใช้มือข้างหนึ่งร่ายตราผนึกขึ้นเป็นวงซับซ้อน พร้อมเทสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นลงในกะละมัง
ฝ่ามือเย่หยวนเร่งความเร็วเพิ่มแรงสั่นสะเทือนเป็นเท่าตัว จนสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นสลายเป็นผุยผง หลอมรวมกันเป็นกองผงสมุนไพรวิญญาณ
ประมุขเหลียวศีรษะเอ่ยถามเย่หยวนเล็กน้อยว่า
“เอ่อ…น้องชาย ท่านปรมาจารย์อู๋เฟินกล่าวว่า เส้นลมปราณที่เชื่อมต่อกับหัวใจน้องสาวถูกตัดขาดแล้ว เขา…เขาจะรอดจริงๆรึ?”
ทุกคนต่างทราบดีว่า การที่เส้นลมปราณหัวใจถูกตัดขาดมันหมายความอย่างไร
ต่อให้เป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้า แต่ถูกตัดเส้นลมปราณบริเวณหัวใจทิ้งไป ก็ไม่มีทางรอดได้เลย
ความเสียหายระดับนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้
ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่อู๋เฟินกล่าวว่า ตนก็หมดปัญญาช่วยเช่นกัน
เย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายแวบหนึ่งพร้อมกล่าวว่า
“หากถูกตัด ก็แค่เชื่อมผสานกลับคืน”
“เชื่อม…เชื่อมผสานกลับคืน? หากเส้นลมปราณบริเวณหัวใจถูกตัดขาด…มันสามารถเชื่อมกลับคืนได้ด้วยงั้นรึ?”
ประมุขไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ายังมีวิธีรักษาที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้อยู่ด้วย
ขณะที่เย่หยวนเอ่ยกล่าว เขาก็นำมือทั้งสองจุ่มลงในกาละมัง ทันทีทันใดผงสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ก็ดูดติดมือทันที
เย่หยวนเดินตรงเข้าไปทางเตียง พร้อมใช้สองมือกดลงบริเวณกลางอกของหัวหน้าสองโดยตรง
พลังปราณเทวะขุมใหญ่สั่น กระเพื่อมสองฝ่ามือสว่างวาบ
ทันทีทันใด กลุ่มไอหมอกหนาพลันพวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือตามกันมา
ไม่นานเย่หยวนก็เดินกลับไปที่กะละมังและทำอย่างเดิมซ้ำไปมา
“นี่…นี่เขากำลังทำอะไรกันแน่?”
“มิอาจทราบได้เลย! ไม่เคยเห็นวิธีรักษาเช่นนี้มาก่อนเลย! ไม่…มิใช่ว่าจำต้องหลอมโอสถให้พี่สองกินหรอกรึ?”
“เด็กคนนั้นคงมิใช่ว่าหลอกพวกเรากระมัง?”
“เพียงกรอกเทพลังปราณพร้อมผงสมุนไพรวิญญาณก็สามารถช่วยชีวิตพี่สองได้แล้วจริงๆรึ?”
…
เหล่าพี่น้องทั้งหลายต่างจับจ้องเย่หยวนด้วยความสงสัย แต่โดยส่วนใหญ่ต่างมองในแง่ไม่ดีเท่าไหร่นัก
โดยธรรมชาติแล้ว พวกเขาไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าสองฝ่ามือที่เย่หยวนกดประทับลงไปมันวิเศษแค่ไหน
เย่หยวนหลอมรวมผงสมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นไว้ในมือ แต่กรอกเทพลังปราณเทวะลงไปเพื่อคล้ายกับสร้างสะพานเชื่อมต่อไปยังเส้นลมปราณบริเวณหัวใจของหัวหน้าสอง
สิ่งนี้จะช่วยซ่อมแซมเส้นลมปราณที่ถูกตัดขาดไปของหัวหน้าสองได้ เย่หยวนค่อยๆไล่ระดับกรอกเทพลังปราณซ่อมแซมทีละเล็กละน้อย
ข้อสำคัญที่สุดของวิธีรักษาแบบนี้คือ พลังปราณเทวะของเย่หยวนจะต้องอยู่ในระดับที่เสถียรอย่างมาก กล่าวได้ว่าราวกับต้องทรงตัวเหนือเส้นด้ายบางมิให้เอนเอียง
วิธีนี้ทำให้เย่หยวนต้องใช้สมาธิอย่างมหาศาลเพื่อมิให้เกิดขึ้นผิดพลาดขึ้นได้แม้แต่นิดเดียว
ในมุมมองของเย่หยวน คำว่าศาสตร์แห่งโอสถมิได้ขึ้นอยู่กับแค่การหลอมกลั่นโอสถเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไป ผลการรักษาก็เริ่มแสดงออกมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว
“แค่ก… แค่ก…แค่ก…”
ทันใดนั้นพลันปรากฏเสียงไออย่างรุนแรงจากปากของหัวหน้าสอง
เมื่อเหล่าพี่น้องคนอื่นๆเห็นภาพฉากดังนั้น แต่ละคนต่างอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง
“นี่…นี่มันเรื่องจริงรึ? สวรรค์! เด็กหนุ่มคนนี้ฝีมือฉกาจยิ่งกว่าอู๋เฟินยิ่งนัก! ช่างน่าทึ่งจริงๆ!!”
หัวหน้าสามอ้าปากค้างไม่หุบอยู่เป็นเวลานาน
“ไร้สาระ! ฝีมือของอู๋เฟินไม่สมควรเอ่ยถึงต่อหน้าเด็กหนุ่มผู้นี้ด้วยซ้ำ! อู๋เฟินทำตัวราวกับว่าตนเองยิ่งใหญ่มาจากไกร เหอะ ถอดหัวตัวเองเตะเป็นลูกหนัง? ข้าอยากจะเห็นเสียจริงว่ามันจะกล้าถอดหัวออกมาจริงๆหรือเปล่า!”
หัวหน้าห้าระเบิดหัวเราะขึ้นด้วยความสะใจยิ่ง
“มหัศจรรย์ยิ่งนัก! นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เห็นว่ามีใครสามารถรักษาคนที่ถูกตัดเส้นลมปราณหัวใจได้! เด็กคน…ไม่สิ…ท่านปรมาจารย์ผู้นี้น่าทึ่งยิ่งนัก!”
เหล่าหัวหน้าคนอื่นๆต่างร้องอุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเห็นว่าหัวหน้าสองเริ่มได้สติฟื้นตัวขึ้น ตราบาปภายในใจของประมุขพลันลดน้อยลงเช่นกัน
ลูกธนูดอกนี้ลอบโจมตีกะทันหันเกินไป หากมิใช่เพราะหัวหน้าสองที่พุ่งตัวเข้ามารับแทน คนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นกลับเป็นเขาแทน
ในเวลานี้เอง เย่หยวนก็ค่อยๆลุกขึ้นยืน เหล่าพี่น้องทั้งหลายต่างรวมตัวโค้งศีรษะให้
“เจ้า-…ท่านปรมาจารย์ อาการของน้องสองข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ประมุขเปลี่ยนเสียงเรียนถามเย่หยวนทันทีด้วยความกังวล
เย่หยวนกล่าวเสียงเงียบขึ้นว่า
“บาดแผลจากลูกธนูนั้นสาหัสไม่น้อย แต่เส้นลมปราณที่เชื่อมกับหัวใจยามนี้สมานกันดีแล้ว ถึงแบบนั้นยังมีพิษรุนแรงหลงเหลืออยู่ในกาย เตรียมห้องสำหรับหลอมกลั่นโอสถให้ข้า อย่าให้ใครเข้ามารบกวนโดนเด็ดขาด นอกจากนี้ สมุนไพรวิญญาณที่ใช้ไปกับโอสถที่กำลังจะหลอมกลั่นต่อจากนี้มีราคาสูงมาก อืม…นี่เป็นครั้งแรกที่เราเจอกัน เช่นนั้นราคาปรานีลดเหลือห้าล้านผลึกปราณเทวะเป็นพอ”
“ฟู่ว…ผลึกปราณเทวะห้าล้านก้อนเลยงั้นรึ ไฉนไม่ปล้นกันเลยล่ะท่าน?”
ดวงตาของหัวหน้าห้าเบิกกว้าง ผงะตัวตกใจยิ่งที่ได้ยินราคา
โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามโดยทั่วไปจะมีราคาอยู่ที่สามแสนถึงหนึ่งล้านผลึกปราณเทวะ
แต่ราคาที่เย่หยวนเรียกเก็บพวกเขาไปกลับสูงกว่าถึงหลายเท่า!
เหล่าพี่น้องคนอื่นต่างรู้สึกปวดแสบปวดร้อนเช่นกันเมื่อได้ยิน แต่ประมุขยังคงกล่าวว่า
“เจ้าห้าหุบปาก! ราคาไหนที่ท่านปรมาจารย์ต้องการ ข้าย่อมจ่ายได้ไม่เป็นปัญหา! ห้าล้านก็ห้าล้าน!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ยังคงเป็นท่านประมุขที่ใจหาญกล้าเด็ดเดี่ยวนัก เมื่อท่านเห็นโอสถที่หลอมกลั่นได้ ย่อมทราบทันทีว่ามันคุ้มกับเงินที่จ่ายไปขนาดไหน!”
หลังจากที่เย่หยวนจากไป หัวหน้าห้าก็เอ่ยถึงอย่างไม่พอใจว่า
“พี่ใหญ่ อีกฝ่ายขูดเลือดขูดเนื้อพวกเราเกินไป!”
หัวหน้าสามกล่าวเสริมว่า
“ใช่แล้วพี่ใหญ่! เรามอบผลึกปราณเทวะจำนวนห้าล้านก้อนไม่พอ แต่เรา…ยังต้องเปลี่ยนชื่อกลุ่มอีก!”
ประมุขที่ได้ยินเช่นนั้นพลันตะหวาดเสียงดังลั่น
“ชีวิตของน้องสองทีค่าแค่ห้าล้านหรืออย่างไร?! หื้ม? ชีวิตของพวกเจ้าทุกคนมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดในสายตาข้า แค่เงินห้าล้านกลับไม่นับเป็นอันใด!”
วาจาเปล่งลั่นแสนเย็นสะท้านนี้ทำเอาทุกคนปิดปากเงียบลงในทันที
ในเวลานี้เอง ท้ายที่สุดหัวหน้าสองก็ได้สติฟื้นขึ้นมาบนเตียง
“โอ้ น้องสอง! เจ้าตื่นแล้ว! ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
ประมุขเอ่ยปากถามพร้อมท่าทีสุดตื่นเต้น
ดวงตาคู่นั้นของหัวหน้าสองฉายแววมึนงงเล็กน้อย ก่อนจะพยายามเปล่งเสียงกล่าวขึ้นว่า
“ข้า…ข้าโดนศรดับอัสนีไปมิใช่รึ? ไฉนข้ายังไม่ตาย?”
หัวหน้าห้าระเบิดหัวเราะลั่นกล่าวว่า
“ฮ่าๆๆ เดิมทีท่านต้องตายแล้วแน่นอน แต่โชคดียิ่งที่พานพบกับท่านปรมาจารย์สุดแกร่งกล้าช่วยเหลือชีวิตท่านเอาไว้!
ประมุขขำพยักหน้าตอบและยิ้มกล่าวว่า
“สิ่งที่เจ้าห้ากล่าวไปถูกต้องแล้ว! ประการที่สองข้ารู้สึกขอบคุณเจ้าจริงๆ หากมิได้เจ้าช่วยเหลือในตอนนั้น ข้าคงต้องตายแน่นอน ข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้า!”
หัวหน้าสองฝืนยิ้มตอบว่า
“พี่ใหญ่ พวกเราเป็นพี่น้องกัน…ไยต้องเอ่ยวาจาห่างเหินเช่นนั้น?”
…………………………………