เย่หยวนที่สัมผัสได้ถึงยอดเต๋าผ่านศาสตร์แห่งโอสถ เขาได้ใช้มันเพื่อพัฒนาต่อยอดบัญญัติเทพแห่งถงเทียน
แน่นอนว่าเขายังคงก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางแห่งโอสถเช่นกัน
คล้อยหลังเย่หยวนได้นำวรยุทธหลอมกลั่นทั้งหมดที่เคยสำแดงใช้ มาต่อยอดดพัฒนาจนได้เป็นเคล็ดดาราสวรรค์บัญชาสารทิศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่เย่หยวนสามารถเรียกปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋ามาได้ มันยิ่งทำให้ทักษะในศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวนลึดซึ้งเกินหยั่งรู้ได้
กล่าวได้ว่า เขาสามารถเรียกกลิ่นอายเต๋าแห่งโอสถให้จุติลง ณ ที่แห่งนี้ได้
ทันทีทันใด กลิ่นอายแห่งเต๋าโอสถพลันไหลล้นออกมาจากภายในหม้อหลอมโอสถอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนต่างสูดไอเย็นแช่มด้วยความเกริ่นเกรง!
ในที่สุดดวงตาอันขุ่นมัวของหนิงซื่ออวี๋พลันฟื้นคืนสู่ความกระจ่างอีกครั้ง
“เมื่อครู่…มันอะไรกัน? ช่างเป็นความรู้สึกอันลึกลับโดยแท้! ข้า…ข้ารู้สึกราวกับ…เข้าใจได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว!”
หนิงซื่ออวี๋ร้องอุทานขึ้นด้วยความตกใจ
“ช่างเป็นความรู้สึกที่ลึกลับยิ่งนัก!”
“ข้าไม่รู้เลยว่าเขาหลอมกลั่นโอสถอย่างไร แต่ไฉนข้ารู้สึกเสมือนสามารถเข้าถึงมันได้?”
“เมื่อครู่มันอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นกับผืนพิภพแห่งนี้? ช่างเป็นวรยุทธหลอมกลั่นที่น่าอัศจรรย์นัก!”
…
คนต่างรู้สึกราวกับฝันไปและเพิ่งฟื้นสติตื่นขึ้น
เย่หยวนชี้ไปที่เม็ดโอสถภายในหล่งอหยกและกล่าวกับหยิงซื่ออวี๋ขึ้นว่า
“ค่าโอสถประตูศิลาวายุ จ่ายมาด้วย!”
ขณะนี้เองหนิงซื่ออวี๋ที่เหน็บเม็ดโอสถภายในกล่องหยก ยามนี้พลันเบิกตากว้างโต
“นี่เป็นไปได้อย่างไร? ขั้น…ขั้นสวรรค์! นี่เจ้า…นี่เจ้า…ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า!”
สุ้มเสียงของหนิงซื่ออวี๋สั่นสะท้านหนัก นางรู้สึกว่านี่ต้องเป็นโอสถของปลอมแน่ๆ!
ชายคนนี้จะหลอมกลั่นโอสถประตูศิลาวายุขั้นสวรรค์ได้อย่างไร?!
แต่ถึงอย่างไร นางเฝ้าดูเย่หยวนหลอมกลั่นโอสถด้วยตาตนเองอยู่ตลอด ดังนั้นเขาจึงมีเวลาสับเปลี่ยนโอสถปลอมได้อย่างไร?
นอกจากนี้แล้ว ความรู้ลึกกลี้ลับเมื่อครู่มันหมายความอย่างไรกันแน่?
หนิงซื่ออวี๋เหลือบสายตาจับจ้องเย่หยวนตาเขม็ง พลางรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ลึกลับเกินหยั่งถึง
“เห้ออ…นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้ จึงยังไม่ค่อยคุ้นเคยสักหน่อย เจ้าทิ้งสมุนไพรวิญญาณที่เหลือไว้ที่นี่แหละ พรุ่งนี้ข้าจะหลอมกลั่นให้ใหม่ มันน่าจะไต่ไปถึงขั้นเทวะได้”
เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างเศร้าอกเศร้าใจในฝีมืออันต่ำต้อยของตน
หนิงซื่ออวี๋ยามนี้ดวงตาแทบถลนออกมายิ่งกว่าเห็นผี นางไม่สามารถกล่าวพรรณนาใดๆกับความประหลาดใจ ณ ขณะนี้ได้อีกแล้ว
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่การหลอมกลั่นโอสถขั้นเทวะดูราวกับเป็นเรื่องง่ายปานนี้?
ในขณะเดียวกัน สีหน้าการแสดงออกของเจ้าของร้านพลันแดงก่ำเปี่ยมล้นความปีติดีใจยิ่ง
เขาไม่คิดเลยจริงๆว่า เด็กหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่คนนี้แท้จริงแล้วกลับเป็นปรมาจารย์นักหลอมโอสถมือฉกาจ!
ไม่…นี่มันยอดปรมาจารย์ชัดๆ!
แค่ปรมาจารย์เฉยๆมีที่ไหนสามารถหลอมกลั่นโอสถขั้นเทวะได้ราวกับหั่นผักปลา?
แม้แต่จอมเทพโอสถสี่ดาวยังไม่สามารถทำได้ด้วยซ้ำ!
ในเวลานี้ เขารู้สึกว่าป้าย‘รับจ้างสารพัด’กลับมิใช่อะไรเกินจริงแม้แต่น้อย!
เจ้าของร้านเสาะเห็นทันทีว่าในไม่ช้า ร้านขายโอสถเล็กๆแห่งนี้จักต้องกลายไปเป็นสุดยอดร้านขายโอสถที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าที่สุดในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ในไม่ช้า!
“ทุกคนต่างเห็นเป็นประจักษ์แล้วใช่หรือไม่? ท่านปรมาจารย์ของเรามีความสามารถอย่างแท้จริง! ทุกคนจงจำไว้ พวกเรารับจ้างหลอมกลั่นโอสถสารพัดชนิด! ในอนาคตต่อไปหากทุกคนมีความต้องการร้องขอสิ่งใด อย่าได้ลังเลเดินทางมาที่ร้านค้าโอสถของเรา! ตอนนี้ก็ยามสายแล้ว แยกย้ายกันกลับเถอะ!”
เจ้าของร้านยิ้มกว้างแทบฉีกถึงใบหู
ทุกคนในตอนนี้ยิ่งกว่าตกตะลึงเกินจะได้สติ และเดินออกจากห้องหลอมกลั่นทั้งแบบนั้นราวกับผีดิบยังไม่ฟื้นสติ
หนิงซื่ออวี๋อ้าปากค้างราวกับอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็พูดไม่ออก
เย่หยวนเหลือบมองหนิงซื่ออวี๋เล็กน้อยและเอ่ยขึ้นอย่างสงสัยว่า
“อะไร? หรือเจ้ามีผลึกปราณเทวะไม่พอ?”
สีหน้าการแสดงออกของหนิงซื่ออวี๋แปรเปลี่ยนไปมาก ทันทีทันใดนางพลันเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมท่าทีประหม่าเก้อเขินเล็กน้อย
“นี่เอ่อ…เอาแหวนบรรจุไป…เอ่อ..ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าหน่อย ข้าเห็นว่านี่เป็นร้านค้าโอสถเล็กๆ…คงกำลังขาดแคลนคนเช่นกัน ให้ข้า…มาเป็นลูกมือเจ้าไหม?”
เย่หยวนเหลือบมองหนิงซื่ออวี๋เจือหลายหลากความหมาย เขากล่าวตอบไปว่า
“เจ้าต้องการศึกษาทักษะหลอมกลั่นโอสถจากข้ากระมัง?”
ท่าทีของหนิงซื่ออวี๋เปลี่ยนไปทันทีราวกับแฟนสาวของเย่หยวน นางเกาะกุมมือของเย่หยวนแน่นพลางแกว่งไปมากล่าวว่า
“การหลอมกลั่นโอสถของเจ้าน่าเหลือเชื่อเกินไป! ข้าเคารพเลื่อมใสเจ้าจนวันตาย! ข้าค้นพบแล้วว่า…เสน่ห์ของศาสตร์แห่งโอสถมันน่าดึงดูดเพียงใด!”
แต่เย่หยวนสะบัดมือออกอย่างแรงและกล่าวด้วยท่าทีแสนเบื่อหน่าย
“จะมีเสน่ห์ดึงดูดเพียงใดข้าไม่สน! ใบแหวนวงนี้มีไม่ถึง จ่ายมาให้ครบ!”
มิใช่ว่าเย่หยวนหน้าเงิน แต่รายจ่ายประจำวันของเขาค่อนข้างมหาศาลเกินไป
ราคาสมุนไพรวิญญาณระดับสาม แตกต่างจากสมุนไพรวิญญาณระดับหนึ่งกับสองราวกับฟ้ากับเหว
ราคาต้นทุนของสมุนไพรวิญญาณสำหรับหลอมกลั่นโอสถประตูศิลาวายุ น่าจะเท่ากับประมาณหลายล้านผลึกปราณเทวะ
ระหว่างทางที่เขาศึกษาค้นคว้าเรื่องสมุนไพรวิญญาณระดับสาม เขาก็ควักเนื้อจ่ายไปกว่าหนึ่งพันล้านผลึกปราณเทวะไปแล้ว
ค่าใช้จ่ายบานหทัยเช่นนี้ทำให้ทั้งตัวเขาเหลือผลึกปราณเทวะเพียงสองถึงสามพันล้านก้อนเท่านั้น
นี่ดูเหมือนจำเป็นจำนวนมหาศาลยิ่ง แต่อันที่จริงกลับเหลือน้อยเกินคาด
ดังนั้นแล้ว เขาจำต้องเรียกเก็บค่าหลอมกลั่นกับหนิงซื่ออวี๋โดยธรรมชาติ
ราคาแปดล้านฟังดูน่ากลัวมากก็จริง แต่สำหรับโอสถขั้นสวรรค์นับว่ามิได้แพงเลย
เพราะโอสถขั้นสูงขนาดนี้มันไม่มีขายในท้องตลาด!
โอสถประตูศิลาวายุขั้นสวรรค์ แม้แต่จอมเทพโอสถสี่ดาวก็ไม่สามารถหลอมกลั่นกันได้
หนิงซื่ออวี๋กล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจว่า
“ไหนเลยบุรุษเพศไม่หลงคารมอิสตรี! เงินไม่มีแล้ว มีแต่ชีวิตของข้า จะเอาหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า!”
ขณะที่นางเอ่ยกล่าวเช่นนั้น หนิงซื่ออวี๋ก็พุ่งเข้าฉกกล่องเก็บโอสถโดยตรง
แต่ใครจะคาดคิด เย่หยวนเร็วกว่านางมาก ยามนี้คว้ากล่องโอสถเก็บไว้กับตัวทันที
“หากไม่มีเงินจ่าย ข้าจะเก็บโอสถกับสมุนไพรวิญญาณที่เหลือไว้กับตัว ราคาโอสถขั้นสวรรค์อย่างน้อยราคาไม่น่าต่ำกว่าแปดล้าน”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวเสียงเยียบเย็น
สีหน้าการแสดงออกของหนิงซื่ออวี๋แปรเปลี่ยนไปทันควัน นางกล่าวว่า
“เจ้า! ไม่มีทาง! โอสถเม็ดนี้เจ้าจะไม่มีวันเอาออกไปไหนได้!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ผ่อนคลายเถอะ ข้าบอกว่าแปดล้านก็แปดล้าน ไปหามาให้ครบซะ ข้าไม่เพิ่มราคาแม้แต่แดงเดียวแน่นอน”
หนิงซื่ออวี๋คำรามลั่นด้วยความโกรธเคืองว่า
“ไม่มีทาง! สมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นก็ของข้า ไฉนถึงมาขายให้ในราคาแพงปานนี้?”
เย่หยวนยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแส
“นั้นหาใช่ธุระของข้า”
หนิงซื่ออวี๋กัดฟันแน่นกล่าวว่า
“เจ้าบังคับข้าเอง! หลบดาบข้าให้ทันล่ะกัน!”
เมื่อกล่าวจบหนิงซื่ออวี๋ก็ปราดแทงใส่เย่หยวนโดยตรงด้วยดาบภายในมือ
ชวิ้ง!
เย่หยวนเพียงยื่นนิ้วปะทะคมดาบพลางสะบัดเบาๆ ตัวดาบพลันกระเด็นหลุดมือนางทันที
หนิงซื่ออวี๋ตกใจยิ่งยวด ยามนี้พลันรู้สึกชาสะท้านไปทั่วแขน นางกล่าวขึ้นแสนประหลาดใจยิ่งว่า
“เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดกระมัง? ทักษะหลอมกลั่นโอสถว่าน่าเกรงขามแล้ว แต่ทักษะการต่อสู้กลับน่าเกรงขามยิ่งกว่า!?”
หนิงซื่ออวี๋เองก็เป็นเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า ถึงหาใช่ยอดฝีมือในบรรดาเหล่าอัจฉริยะผู้เดินทางสายต่อสู้ แต่กับแค่รับมือเด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นคนหนึ่ง ก็มิใช่เรื่องยากเช่นกัน
ทว่าแท้จริงแล้ว เพียงเย่หยวนสะบัดนิ้วเบาๆ ก็สามารถปัดดาบในมือนางกระเด็นออกไปได้แล้วอย่างง่ายดาย
หากเจ้าหนุ่มนี่เอาจริง มันจะน่ากลัวปานใดกัน?
ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์แห่งโอสถหรือศาสตร์แห่งการต่อสู้ หนิงซื่ออวี้ต่างก็มีพรสวรรค์โดดเด่นไม่น้อยนางมิได้เพียรขยันฝึกปรือฝีมือเท่าไหร่นัก แต่ก็สามารถแกร่งกล้ากว่าบรรดามิตตรสหายได้
นางเหนือชั้นกว่าผู้ใดตลอดมาจวบจนวันนี้ที่พบกับเย่หยวน!
ไอ้เด็กเหลือขอผู้น่ารังเกียจคนนี้กลับทำลายความมั่นใจของนางเป็นเสี่ยงๆ!
แต่เย่หยวนไม่สนใจใดๆอีกต่อไปพร้อมตะคอกเสียงเย็นตอบไปว่า
“ไสหัวไป!”
หนิงซื่ออวี๋กัดฟันกราดกระทืบเท้าไม่หยุดด้วยความโกรธจัด และกล่าวว่า
“ได้! ข้าชดใช้ที่เหลือทั้งหมด! นี่อีกสองล้าน รวมกับแหวนเมื่อครู่เท่ากับสี่ล้าน! ตอนนี้ข้าทั้งหมดตัวและไม่มีที่ซุกหัวนอนแล้ว! ดังนั้นเจ้าต้องรับข้าอยู่ด้วยเท่านั้น ส่วนที่เหลือค่อยว่ากัน!”
“นี่เจ้า! ปล่อยข้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!! เจ้า…เจ้าจะทำอะไร?”
ทันทีทันใดเย่หยวนอุ้มร่างของหนิงซื่ออวี๋ขึ้นทันทีและเดินตรงไปที่ประตูทางออก
ปัง!
เย่หยวนไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจใดๆต่อสตรีงามนางนี้แม้แต่น้อย พร้อมโยนร่างของหนิงซื่ออวี๋ออกไปโดยตรง
…………………………………