“ผลึกปราณเทวะหกล้านก้อน จ่ายมา”
เย่หยวนเอ่ยปากกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแสใดๆ เขาหาได้ใส่ใจกับท่าทีอันตื่นตะลึงของเฉินเปาเลย
ทันทีที่คำกล่าเหล่านี้แผดดังออกมา ดวงตาของเฉินเปาพลันโพล่งกว้าง
“ห-หกล้าน? นี่เจ้าแค่จับนิดจับหน่อยแล้วพาอีกฝ่ายส่งกลับมา ถึงขั้นคิดราคาหกล้านเชียว? นี่เจ้ากำลังปล้นกันชัดๆ!”
เฉินเปากล่าวขึ้นด้วยความตกใจยิ่ง
เย่หยวนเผยสีหน้าการแสดงออกประดุจจับจ้องพวกโง่เขลาและกล่าวเสียงเย็นว่า
“จับนิดจับน้อย? แล้วเจ้าสามารถนำเจ้าตัวนี้ออกมาได้เองหรือไม่?”
ขณะสนทนาเอ่ยกล่าว เย่หยวนก็ยื่นฝ่ามือออกไป พลันปรากฏเป็นแมลงตัวจิ้วร่างโปร่งแสงปรากฏขึ้น
เพียงพลาดท่าประมาทเล็กน้อย มันก็สามารถเข้าซุกซ่อนภายในร่างกายได้ในพริบตา ทุกคนที่ได้เห็นต่างสูดหายใจแช่มลึกเจือประหลาดใจ
หยิงซื่ออวี๋กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มเย็นว่า
“แมลงตัวนี้มีชื่อว่า หนอนศพเขมือบเส้นเอ็น มักซ่อนตัวอยู่ในสุสานของเหล่าเซียนโบราณ ชอบกินเส้นเอ็นและเส้นลมปราณของเหล่านักสู้เป็นที่สุด นอกจากนี้เมื่อมันเข้าไปถึงเส้นลมปราณได้สำเร็จตัวมันจะฝังเข้ากระดูกและยากที่จะบังคับมันออกไป! ในเขตเมืองชั้นนอกทั้งหมด ไม่มีใครอื่นแล้วนอกจากท่านปรมาจารย์เย่ที่สามารถช่วยรักษาได้! แค่หกล้านแลกกับหนึ่งชีวิตนับว่าแพงอันใด?”
เย่หยวนเหลือบมองหนิงซื่ออวี๋เล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าสาวน้อยนางนี้จะมีความรู้มากมายนัก
ก่อนหน้าเขาเพิ่งฟังคำแนะนำของหวูเฉินมาเอง ก่อนจะรู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่า หนอนศพเขมือบเส้นเอ็น
ทว่าในความเป็นจริง หนิงซื่ออวี๋นางนี้กลับลึกลับยิ่งกว่าเย่หยวน นางกลับรู้จักหนอนชนิดนี้จริงๆและยังทราบไปถึงความยากในการนำมันออกมาจากร่างกาย
แม้ว่าท่านอาจารย์ของนางเองก็ทำได้เช่นกัน แต่กลับไม่มั่นใจนักว่าจะบังคับนำเจ้าสิ่งนี้ออกไปได้
นางเองก็ไม่คิดไม่ฝัน เย่หยวนเพียงจับร่างของคนๆนั้นสองสามครา ก็สามารถบังคับนำเจ้าสิ่งนี้ออกมาได้แล้ว
ทักษะฝีมือระดับนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
สีหน้าการแสดงออกของเฉินเปาเปลี่ยนไปซ้ำไปมา ก่อนจะเอ่ยกล่าวเสียงขรึมว่า
“ข้าขอยอมแพ้ต่อความโชคร้ายนี้เสีย! หวู่จ้าวนี่คือชีวิตของเจ้า เช่นนั้นเจ้าต้องจ่ายเอง!”
หวู่จ้าวผงะเล็กน้อยพร้อมเอ่ยกล่าวคลี่ยิ้มแสนขมขื่นขึ้นว่า
“ข้า…ข้าไม่มีผลึกปราณเทวะมากมายขนาดนั้น…”
เฉินเปาแสยะยิ้มเย็นกล่าวว่า
“นั้นหาใช่เรื่องของข้า! กลับกันเถอะ!”
เฉินเปาโบกมือปัด ขณะที่กำลังจะนำพากลุ่มคนของตนจากไป
ทันทีทันใดเย่หยวนเอ่ยปากกล่าวเสียงขรึมว่า
“เจ้าเป็นคนพามารักษา เช่นนั้นเจ้าก็ต้องจ่าย!”
เฉินเปาหันมาแสยะยิ้มมุมปาก รวนหัวเราะเยาะกล่าวว่า
“บิดาเถอะ ข้าไม่จ่าย! น้ำหน้าอย่างเจ้าจะมีปัญญาทำอะไรได้?”
วูบบ!
เย่หยวนไม่พูดไม่จาใดๆอีกต่อไปพร้อมซัดกำปั้นออกไปทันที
เพียงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้น คิดโจมตีเขา?
เขาระดมพลังพลังปราณเทวพถึงขีดสุด และกระหน่ำกำปั้นเขาชนกับเย่หยวนทันที
กำปั้นนี้ของเขาช่างทรงพลังและหนักหน่วงยิ่งนัก แม้แค่หนึ่งกระบวนเดี๋ยวจะไม่สามารถฆ่าเย่หยวนได้ แต่นี่กลับเกินพอที่จะใช้สั่งสอน
ทว่าในขณะเดียวกัน พลันปรากฏรอยยิ้มเย็นขึ้นบนมุมปากของหัวหน้าห้า เขาเคยปะทะประมือกับเย่หยวนมาก่อน ย่อมทราบตระหนักดีถึงความแกร่งกล้าเกินจินตนาการของเย่หยวน
บูมมม
ขณะที่สองเพลงหมัดเจียนจะเข้าชนสกัดต้าน จู่ๆกำปั้นของเย่หยวนก็อันตรธานหายวับกลางอากาศสุดน่าประหลาดใจ ก่อนจะปรากฏขึ้นอีกครั้งต่อหน้าต่อตาเฉินเปา พร้อมซัดร่างอีกฝ่ายกระเด็นออกไปไกล
กำปั้นนี้ทำเอาใบหน้าของเฉินเปาบิดเบี้ยวผิดรูป เลือดตาแตกพร่ามัวไปหมดก่อนจะหมดสติลงในที่สุด
“หัวหน้าห้า กักตัวชายคนนี้ไว้ ให้ประมุขจองพวกมันมาจ่ายค่ารักษาไถ่ตัวเขาคืนทีหลัง”
เย่หยวนกล่าวสั่งการอย่างไม่แยแสใดๆ
หัวหน้าห้าก้าวแช่มออกมาอย่างสบายใจ พลางสกัดจุดเพื่อปิดดผนึกทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเฉินเปาและนำตัวไปคุมขัง
เซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นล้มเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นปลายได้ด้วยกำปั้นเดียว!
ท่านปรมาจารย์เย่คนนี้ลึกลับโดยแท้!
เมื่อเฉินเปาได้สติขึ้นอีกครั้งก็ถูกหัวหน้ากุมตัวเอาไว้แล้ว ในที่สุดสีหน้าการแสดงออกของเขาพลันตื่นตระหนักหนักพลันเอ่ยร้องดังลั่น
“ข้า…ข้ามีเงินจ่าย! ข้ายินดีที่จะจ่าย! ปล่อยข้าเถอะ!”
หัวใจของเฉินเปาราวกับถูกมีดคมกรีดทั้งเป็น เดิมทีเขาคิดแค่ว่าจะมาก่อกวนและจบลงโดยการทำลายป้ายร้านบัดซบนี่ แต่ที่ไหนได้…ใครจะไปคิดว่าจะลงเอยเช่นนี้?
เมื่อครู่เด็กนั้นมันทำบ้าอันใด ไฉนกำปั้นถึงอันตธานหายวับกลางอากาศ?
เย่หยวนหาได้สนใจใดๆอีกฝ่ายอีก พร้อมกวาดสายตากล่าวกับทุกคนที่ยังต่อแถวว่า
“ผู้ใดไม่มีเงินไสหัวไปซะ ข้ามิได้ทำการกุศลช่วยเหลือโดยไม่คิดสักแดง”
ติงซ่งหาได้ใส่ใจเช่นกันกับเรื่องนี้ เขากล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มว่า
“ก็แค่หกล้านเองมิใช่รึ? ประมุขเฉียนมาเงินมากมายเกินจะนับไหว”
หวางห่าวหลานยังกล่าวเสริมว่า
“หกล้ายแลกหนึ่งชีวิต นับว่าไม่แพง”
เย่หยวนเหลือบมองพวกเขาเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า
“จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์มีค่ารักษาอยู่ที่ยี่สิบล้านก้อน! ส่วนอีกหนึ่งมาจากหอเต๋ออี้กระมัง? ห้าสิบล้านก้อน! นอกจากนั้นด้านหลังราคารักษาอยู่ที่สิบและสามสิบล้านตามลำดับ ผู้ใดคิดว่ามีปัญญาจ่ายไหวก็ต่อไป หากไม่ไหวก็กลับไปซะ”
“ฟู่วว…”
เหล่าผู้คนโดยรอบต่างสั่นสะท้านหนักเมื่อได้ยิน นี่เป็นราคาเรียกเก็บล่วงหน้าที่มหาโหดยิ่งนัก
ค่ารักษาห้าสิบล้าน?
ห้าสิบล้านเท่ากับราคาทรัพย์สินทั้งหมดของเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าคนหนึ่งเลยกระมัง
ประมุขเฉียนยามนี้ออกโรงมาดูด้วยตัวเองเช่นกัน พลางได้ยินราคายี่สิบล้าน เขายิ่งกว่ารู้สึกเจ็บปวดหัวใจนัก เพราะนี่คือทรัพย์ทั้งหมดที่เขามี
แต่เขายังคงสูดหายใจฮึดสู้กล่าวว่า
“ตราบใดที่ท่านปรมาจารย์เย่รักษาลูกชายข้าได้ ยี่สิบล้านก็ยี่สิบล้าน!”
ส่วนร้านขายโอสถสองยักษ์ใหญ่เองต่างก็ครุ่นกังวลชั่งน้ำหนักกันสีหน่าเคร่งเครียด ก่อนท้ายที่สุดจะลงเอยเห็นด้วย
ราคาห้าสิบล้าน หวางห่าวหลานมั่นใจว่านี่เป็นเพียงคำขู่เท่านั้น
เพราะถึงจะขายตัว แต่ราคาขนาดนี้เขาก็ไม่สามารถควักจ่ายได้เช่นกัน!
แต่เย่หยวนหาได้สนใจไม่ และกล่าวกับประมุขเฉียนว่า
“เจ้าไปนพเงินมา ส่วนข้าจะรักษาบุตรชายเจ้าเอง”
ขณะที่ประมุขเฉียนกำลังจะตอบตกลง จู่ๆติงซ่งพลันโพล่งขึ้นว่า
“เดี๋ยวก่อน ราคายี่สิบล้านหาใช่เงินก้อนเล็กๆ หากท่านประมุขเฉียนไปนำเงินมา แต่เจ้ากลับไม่สามารถรักษาอาการของเฉียนปิงได้ จะทำอย่างไร?”
เย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา
“เจ้ากำลังสงสัยในตัวข้า?”
ติงซ่งสำลักทันทีโดยมิตั้งใจ การตั้งแง่กับนักหลอมโอสถนับเป็นข้อห้ามสำคัญ
เนื่องจากพวกเขาเต็มใจเดินทางมารักษา ดังนั้นพวกเขาจำต้องเชื่อใจอีกฝ่ายโดยธรรมชาติ
แต่เมื่อประมุขเฉียนได้ฟังเช่นนั้น เขาพลันกัดฟันแน่นกล่าวว่า
“ท่านปรมาจารย์เย่อย่าลังเลที่จะรักษา ข้าจะรีบไปเอาเงินมาทันที!”
เมื่อกล่าวจบประมุขเฉียนก็เหลียวตัวกลับและออกไปทันที
คล้อยหลังที่เย่หยวนพาเฉียนปิงเข้าไป เหล่าฝูงชนโดนรอบต่างเริ่มจับกลุ่มสนทนาในทันที
“สวรรค์! ค่ารักษาขนาดนี้…แพงไปหรือไม่? นี่มันถึงขั้นล้มละลายกันเลยทีเดียว!”
“นี่เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยงั้นรึ?! ท่านปรมาจารย์เย่กำลังกำจัดพวกสร้างปัญหาอยู่! ก็เห็นอยู่ว่าคนพวกนี้มาเพื่อสร้างปัญหา เขาย่อมเรียกร้องค่ารักษาสูงเป็นธรรมดา!”
“เท่านี้ยังไม่หมด! สิ่งที่กลุ่มคนพวกนี้นำมาล้วนแต่เป็นโรคภัยลี้ลับและได้ชื่อว่ารักษายากที่สุดในเขตเมืองใต้! หากมันสามารถรักษาได้ง่ายปานนั้น ตอนนี้พวกเขาคงหายนานแล้ว!”
…
ผ่านไปสองชั่วยาม ในที่สุดเย่หยวนก็พาเฉียนปิงออกมาจากโถงภายใน
สายตาที่จับจ้องของหนิงซื่ออวี๋ยามนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุด
เห็นได้ชัดว่าทมุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในโถง ล้วนแล้วแต่ทำให้นางประหลาดใจยิ่งยวด
“พ-พ่อ!”
เฉียนปิงเอ่ยกล่าวเรียกประมุขเฉียนด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน พร้อมธารน้ำตาที่รินไหลออกมาจากดวงตา
ร่างของประมุขเฉียนสั่นสะท้านหนักทั้งน้ำตาเช่นกัน
ลูกชายของเขาหายปัญญาอ่อนแล้วจริงๆ!
ในตอนนี้ดวงตาคู่นั้นของเฉียนปิงเปล่งประกายเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา แจกจ่างจากก่อนหน้าที่ดูเลื่อนลอยโดยสิ้นเชิง
“ปิงเอ๋อ! เจ้า…เจ้าหายเป็นปกติดีแล้วใช่ไหม?”
ประมุขเฉียนแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เฉียนปิงพยักหน้ากล่าวว่า
“ท่านปรมาจารย์เย่เปรียบเสมือนเทพโดยแท้! เขาสามารถชดเชยจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในส่วนที่บกพร่องไปของข้าได้! ตอนนี้ข้ามิได้ต่างอะไรจากเด็กทั่วไปแล้ว!”
“ดี! ดี! ดีจริงๆ!”
ธารน้ำตาไหลรินผ่านใบหน้าเหี่ยวย่นของประมุขเฉียน ในที่สุดความปรารถนาอันแสนยาวนานของเขาก็กลับกลายมาเป็นความจริง
สองพ่อลูกเข้าสวมกอดกันต่างร้องห่มร้องไห้ออกมาต่อหน้าสาธารณชน
พวกเขาทุกคนต่างทราบดีว่า ประมุขเฉียนใช้ความพยายามและทุ่มสุดดตัวเพียงใดเพื่อวันนี้!
“ท่านพ่อ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะแสดงความกตัญญูชดใช้สิ่งที่ผิดพลาดไปในอดีต! ปิงเอ๋อจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน”
เฉียนปิงเอ่ยกล่าวขึ้นพลางร่ำไห้อย่างขมขื่นใจยิ่ง
…………………………………