ตระกูลหนิงเป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่ในเขตเมืองชั้นใน
ไม่ควรมองว่าเขาในตอนนี้สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้อย่างไร แต่หากตระกูลหนิงคิดลงดาบ การจะฆ่าเขากลับง่ายดายราวกับบี้มด!
อาณาจักรราชันพระเจ้า?
ชนชั้นล่างที่สุดของตระกูลหนิงคืออาณาจักรราชันพระเจ้า!
สิ่งนี้สามารถเห็นได้จากชายหนุ่มคคนนี้ ทั้งๆที่ยังเยาว์วัยนักแต่กลับทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้แล้ว?
“ตระกูลหนิง! หรือจะเป็นหนึ่งในสองตระกูลใหญ่แห่งเขตเมืองชั้นใน ตระกูลหนิง?”
“ขึ้นชื่อว่าตระกูลหนิงยังเป็นใดอื่นได้? เสี่ยวยื่อเยว่นับว่าโชคร้ายโดยแท้ เพิ่งทะลวงขึ้นเป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าได้หมาดๆ แต่กลับไปยั่วยุตระกูลหนิงเข้าเสียแล้ว!”
“จุจุ สถานการณ์ผลัดเปลี่ยนเร็วเกินไปจริงๆ เดิมทีคิดว่ากลุ่มสุริยันจันทราจักผงาดขึ้น…แต่ที่ไหนได้…”
…
เหล่าฝูงชนโดยส่วนใหญ่กำลังแห่แหนรับชมเสี่ยวยื่อเยว่ที่กำลังกดขี่ผู้คนยังไม่ทันไร ยามนี้กลับสถานการณ์แปรเปลี่ยนราวกับพลิกฝ่ามือ
ณ ปัจจุบันพวกเขาต่างสงสารยิ่งในความโชคร้ายของเสี่ยวยื่อเยว่ที่ต้องประสบพบเจอ
เห็นเสี่ยวยื่อเยว่หดแขนหดหางราวกับสุนัขใกล้ตายยิ่งดูน่าสังเวชสงสารเข้าไปใหญ่
หากเขาตระหนักทราบตั้งแต่ทีแรก เขาคงไม่เหยียบย่างเข้ามาที่นี่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถาณการณ์เช่นนี้ เขามิอาจต่อต้านใดๆได้เลย
กล่าวว่าคนเช่นนี้ถูกลิขิตให้ไม่มีทางกระทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้
เสี่ยวยื่อเยว่หาญกล้ามุ่งจิตสังหารใส่น้องสาวของเขา ถึงขั้นลงมือหวังฆ่า โทษทีเขาสมควรได้รับคือความโกรธเกรี้ยวของตระกูลหนิง
หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปกลับลืมไปได้เลย แต่กระนั้นเสี่ยวยื่อเยว่ยังเป็นขุมพลังอาณาจักรราชันพระเจ้า!
“น-นายน้อย…ผู้ไม่รู้มิควรตำหนิ เนื่องจากข้ามิทราบถึงสถานศักดิ์ของพวกท่านแต่แรก! หากข้ารู้ก่อนหน้า ต่อให้นางใช้เท้าเหยียบหน้าข้า มีหรือจะกล้ามีโทสะ ข้า…ข้าผิดไปแล้ว โปรดอภัยด้วยนายน้อย คุณหนู!!”
เสี่ยวยื่อเยว่แทบพังทลายทั้งกายและจิตใจ ร่องรอยความหยิ่งผยองก่อนหน้ายามนี้อันตรธานหายสิ้น
กล่าวได้ว่าตอนนี้เขาเปรียบเสมือนกับ…สุนัขที่กำลังกระดิกหางขอความเมตตา
หนิงฟางหรงเอ่ยปากกล่าวเสียงเย็นขึ้นว่า
“เก็บคำพูดไว้อธิบายกับผู้อาวุโสของหอยุทธ์เสีย ข้าให้เวลาเจ้าสามอึดใจ หากยังไม่ไสหัวไปต่อหน้าข้า… หนึ่ง… สอง…”
แทบจะในทันทีที่หนิงฟางหรงเริ่มนับถอยหลัง เสี่ยวยื่อเยว่เร่งเตลิดหนีหายวับลับสายตาในทันที
เมื่อเสี่ยวยื่อเยว่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ทุกคนต่างคิดว่าขั้วอำนาจภายในเขตเมืองทางใต้ได้เปลี่ยนไปแล้ว
แต่ใครจะไปทราบ ว่าในพริบตาทุกอย่างจะกลับกลายมาเป็นแบบนี้
ขณะที่เสี่ยวยื่อเยว่จากออกไป หนิงฟางหรงก็หันไปมองเย่หยวนพร้อมขมวดคิ้วกล่าวว่า
“เจ้านามว่าเย่หยวนกระมัง? กล้าสั่งน้องสาวของข้าราวกับสาวใช้เช่นนี้ เจ้ารู้จักภูมิหลังของนางหรือไม่?”
ทุกคนต่างตื่นตะลึงเข้าไปใหญ่เมื่อได้ฟัง นี่เรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่?
หรือเป็นไปได้ไหมว่า ท่านปรมาจารย์เย่มิได้มาจากหอโอสถ?
ดูเหมือนว่าการปรากฏตัวของหนิงฟางหรงยามนี้ ดูท่าจะเป็นปฏิปักษ์กับเย่หยวน!
เย่หยวนเอ่ยตอบเสียงเย็นว่า
“ไม่ว่านางจะเป็นใคร แต่นางต้องการศึกษาศาสตร์แห่งโอสถจากข้า ดังนั้นก็ต้องเริ่มจากการเป็นลูกมือ”
หนิงฟางหรงระเบิดหัวเราะพร้อมกล่าวว่า
“น้องสาวข้าหรือจำต้องเรียนรู้จากเจ้า? เจ้าเป็นจอมเทพโอสถสามดาว ในขณะที่น้องสาวข้าก็เป็นจอมเทพโอสถสามดาวเช่นกัน? นอกจากนี้ท่านอาจารย์ของนางก็ยังเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาว หรือยังต้องการสั่งสอนนางอีกงั้นรึ?”
เย่หยวนขมวดคิ้วเล็กน้อยเหลือบมองหนิงฟางหรงแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า
“จอมเทพโอสถสี่ดาวน่าประทับใจขนาดนั้นเชียว?”
ดวงตาคู่นั้นของหนิงฟางหรงหรี่แคบลงทันที น้ำเสียงที่เอ่ยกล่าวเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด
“พ่อหนุ่ม อย่าเพิกเฉยต่อความยิ่งใหญ่ของฟ้าดิน การที่เจ้าสามารถรักษาพิษโบราณได้ มันมิได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถดูถูกผู้อื่นตามใจชอบได้!”
วิธีรักษาพิษของเย่หยวนทำให้หนิงฟางหรงประหลาดใจมากก็จริง แต่นี่เป็นเพียงแง่มุมเดียวที่ได้เห็นเท่านั้น
ขุมพลังของจอมเทพโอสถสี่ดาวค่อนข้างห่างไกลเกินกว่าที่จอมเทพโอสถสามดาวจะจินตนาการถึงได้
เมื่อหนิงซื่ออวี๋ได้กลิ่นไม่สู้ดีนัก นางจึงเข้าปิดกั้นด้านหน้าหนิงฟางหรงทันทีและกล่าวว่า
“พี่ใหญ่ ท่านอย่ามาสร้างปัญหาให้ท่านปรมาจารย์เย่! แค่ข้าคนเดียวก็สร้างปัญหาให้เขามากพอแล้ว และข้าเองก็เต็มใจเป็นลูกมือของเขา!”
หนิงฟางหรงจับจ้องไปที่น้องสาวของตนด้วยความประหลาดใจยิ่ง กล่าวได้ว่าตกใจยิ่งกว่าเหลือเชื่อ คนเอาแต่ใจและหยิ่งผยองอย่างน้องสาวคนนี้ ถึงขั้นออกโรงปกป้องผู้คน?
น้องสาวของเขาทั้งยิ่งผยองและไม่เคยเชื่อฟังใครทั้งสิ้น แม้แต่ท่านอาจารย์ของนางยังปวดเศียรเช่นกัน
แต่ตอนนี้นางกลับเชื่อฟังชายหนุ่มตรงหน้ายิ่งกว่าอะไร
หรือชายหนุ่มคนนี้มีพลังวิเศษอันใดกัน?
ในเมื่อยังมีน้องสาวอยู่แบบนี้ ดูเหมือนว่าวันนี้เขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เช่นกัน
“เอาล่ะ เห็นแก่หน้าเจ้า ข้าเองก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้เขาเช่นกัน กลับไปกับข้า”
หนิงฟางหรงกล่าว
หนิงซื่ออวี๋ส่ายหัวตะโกนเสียงดังฟังชัดประดุจลั่นกลองว่า
“ท่านนั่นแหละที่ควรกลับไป! ข้ายังต้องการเรียนรู้ทักษะหลอมกลั่นโอสถจากท่านปรมาจารย์เย่ที่นี่!”
หนิงฟางหรงขมวดคิ้วแน่นกล่าวเสียงขรึมว่า
“ไร้สาระ! ท่านอาจารย์ของเจ้าก็มี ไฉนต้องไปเรียนรู้ทักษะหลอมกลั่นจากชายหนุ่มไร้นาม หากคนอื่นรู้เข้า ตระกูลหนิงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
แต่หนิงซื่ออวี๋กล่าวว่า
“ข้าไม่สน! และไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่กลับไป!”
“เจ้า!”
หนิงฟางหรงสำลักไปชั่วขณะ พร้อมโพล่งขึ้นด้วยความโกรธ
“จะกลับหรือไม่กลับ มิใช่เจ้าสามารถตัดสินใจ!”
แต่หนิงซื่ออวี๋สาดดสายตาจับจ้องอย่างเดือดดุกล่าวว่า
“ท่านกล้ารึ?! หากยังบังคัญข้าไปเช่นนี้ ข้าจะบอกเรื่องสกปรกที่เจ้าทำไว้ให้ท่านพ่อกับท่านแม่ทราบ!”
หนิงฟางหรงจับข้อมือบางของนางแน่นและพยายามลากตัวออกไป ความเอาแต่ใจของน้องสาวคนนี้ทำให้เขาปวดหัวจริงๆ
แต่ในขณะนั้นเองเย่หยวนก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า
“ไปเถอะ!”
วาจาคำกล่าวนี้ดังออกมา ทั้งหนิงซื่ออวี๋และหนิงฟางหรงต่างแข็งค้างตกตะลึงนิ่งไป
ขณะที่หนิงซื่ออวี๋กำลังจะเอ่ยปากกล่าวอะไรบางอย่างออกมา จู่ๆเย่หยวนก็กล่าวแทรกขึ้นต่อว่า
“ที่ข้าพาเจ้ามาเป็นลูกมือเพราะกลัวว่าเจ้าจะไม่มีที่ไป ในเมื่อคนในครอบครัวมารับเจ้ากลับไป เจ้าก็ควรกลับไปแต่โดยดี”
“แต่ข้าไม่อยากกลับไป!”
หนิงซื่ออวี๋ยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง
“หื้ม?”
เย่หยวนขมวดคิ้วเล็กน้อยคล้ายว่าเริ่มหัวเสีย
หนิงซื่ออวี๋ที่เห็นแบบนั้นก็ตกใจอย่างมาก สีหน้ารวนเรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกล่าวขึ้นอย่างไม่มีความสุขว่า
“กลับก็กลับ! อย่ามาดุข้า! แต่ท่านต้องสัญญาก่อนว่า ในครั้งต่อไปที่ข้ากลับมาหา ท่านห้ามปฏิเสธข้าอีก!”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“เจ้ามาได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์และคนในครอบครัวของเจ้าด้วย และข้าก็มิใช่อาจารย์ของเจ้า ที่ต้องการสอนเจ้าเพียงเพราะเห็นเจ้าเป็นคนมีความสามารถ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นจากที่หนิงซื่ออวี๋ไม่พอใจในตอนแรก ยามนี้กลับมายิ้มแย้มมีความสุขขึ้นทันตา
“ท่านกล่าวแล้วอย่าคืนคำ!”
เย่หยวนผงกศีรษะยิ้มบางตอบเล็กน้อย
หนิงฟางหรงจับจ้องภาพฉากนี้ลิ้มในปากแทบพัลวันพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างเท่าไข่ห่านด้วยตกตะลึงราวกับเห็นผี
เจ้าน้องสาวตัวแสบคนนี้…ยอมฟังเจ้าหนุ่มนี่จริงๆ!
เขาที่ต้องใช้แรงใช้คำขู่สารพัด แต่ก็ยังลากนางกลับไปไม่ได้ ทว่าเย่หยวนที่พูดขึ้นเพียงประโยคเดียว นางกลับไม่กล้าเถียงด้วยซ้ำ!
หรือเป็นไปได้ไหมว่า…อีกฝ่ายจะน่าเกรงขามปานนั้นจริงๆ?
ซึ่งเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า หากหนิงซื่ออวี๋ทำให้เย่หยวนโกรธจริงๆแล้ว ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร?
บางทีเขาอาจไม่สอนทักษะหลอมกลั่นโอสถแก่นางอีกตลอดไป
หนิงซื่ออวี๋คือบุตรแห่งสวรรค์อย่างแท้จริง นางมีพรสวรรค์ความสามารถแทบทุกด้าน แต่พบเจอเย่หยวนแค่ไม่กี่วันกลับเชื่องเสียแล้ว?
กล่าวได้ว่าความภาคภูมิใจทั้งหมดของนาง ยามนี้ถูกเย่หยวนบดละเอียดไม่เหลือแล้ว!
เย่หยวนใช้ความสามารถในศาสตร์แห่งโอสถของตนเพื่อทำให้นางอยู่ใต้อาณัติในกรอบได้
ในขณะเดียวกัน หนิงซื่ออวี๋เองก็ได้ค้นพบเสน่ห์อันน่าหลงใหลในศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวนเช่นกัน
ดังนั้นนางจึงกลัวมากกว่า วันหนึ่งเย่หยวนจะไม่ยอมสอนทักษะหลอมกลั่นโอสถให้แก่นางจริงๆ
“พี่ใหญ่ ฮ้วนน้อย กลับกันเถอะ ท่านปรมาจารย์เย่อย่าเพิ่งคิดหนีข้าไปก่อนล่ะ! อีกไม่กี่วันข้าจะรีบกลับมาหาท่าน!”
หนิงซื่ออวี๋ยิ้มกล่าว
หนิงหางหรงจับจ้องเย่หยวนด้วยสายตาแสนลึกซึ้งก่อนจะจากไป
เมื่อออกมาจากถนนสายนั้น จู่ๆ หนิงซื่อวี๋ก็เหลียวกลับมาจับจ้องไปที่หนิงฟางหรง และกล่าวเสียงดุว่า
“พี่ใหญ่ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้! หากท่านกล้าทำอะไรท่านปรมาจารย์เย่ล่ะก็ ข้าจะตัดพี่ตัดดน้องกับท่านชั่วชีวิต!”
หนิงฟางหรงที่ได้ยินเช่นนั้oกับตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะหัวเราะกับตัวเองกล่าวว่า
“เจ้าหนุ่มนั้นกินยาวิเศษอะไรเข้าไป ถึงสามารถกล่อมเจ้าให้เชื่องขนาดนี้ได้!”
หนิงซื่ออวี๋ยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านไม่เข้าใจ! ขอบเขตของท่านปรมาจารย์เย่เหนือชั้นกว่าที่ท่านคิดนัก! แม้แต่ท่านอาจารย์เองก็ยังเทียบท่านปรมาจารย์เย่ไม่ติด!”
…………………………………………………..