ณ หอโอสถ อู๋เฟินผู้หยิ่งทะนงยามนี้กลับปฏิบัติตัวด้วยความสุภาพยิ่งต่อหน้าชายชราร่างท้วมผู้หนึ่ง
“ท่านอาจารย์สบายดีหรือไม่?”
อู๋เฟินก้มศีรษะให้ด้วยความเคารพยิ่ง
ชายชราคนนี้เป็นผู้ดูแลระดับสูงแห่งหอโอสถ ซึ่งเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาว หลู่หมิง
หลู่หมิงถือเป็นผู้ดูแลระดับสูงของหอโอสถที่มีลูกศิษย์มากมายทั้งในและนอกเมืองจักรพรรดิ
ในฐานะศิษย์ของหอโอสถ อู๋เฟินย่อมมีคุณสมบัติเข้าออกเขตเมืองชั้นในโดยธรรมดา
สำหรับศิษย์คนนี้เอง หลู่เมิงค่อนข้างประทับใจไม่น้อย
แม้พรสวรรค์ของเขาจะอ่อนด้อยและยากนักที่จะขึ้นกลายมาเป็นจอมเทพโอสถสี่ดาว แต่อย่างน้อยเขาก็มีความกตัญญูต่อหลู่เมิงเป็นอย่างมาก
บุคคลเช่นนี้สามารถสร้างอิทธิพลให้ตนเองได้ในเขตเมืองชั้นนอก นี่ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ตัวหลู่เมิงพึงพอใจยิ่ง
“เจ้ามักมีเจตนาดีต่อข้าอยู่เสมอ น่าสนใจ…คราวนี้มีอะไรมาให้ข้าอีก?”
หลู่หมิงกล่าวเสียงเย็นชืด
อู๋เฟินหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาและมอบให้แก่หลู่เมิงอย่างประณีต เขากล่าววาจาแสนนอบน้อมว่า
“ท่านอาจารย์ นี่คือสุราหยกฤทัยน้ำแข็ง ศิษย์คนนี้เพิ่งได้มา รสชาติอร่อยกลมกล่อมหาที่เปรียบไม่!”
หลู่เมิงรับต่อจากมือและเปิดฝาขวดเล็กน้อย กลิ่นหอมหวานน่าหลงใหลอบอวลไปทั่วทั้งห้องในทันใด
ดวงตาคู่นั้นของหลู่หมิงสว่างไสวขึ้นทันที
“สุราชั้นเลิศ! นับเป็นสุราชั้นเลิศจริงๆ! นับว่าเจ้ายังมีความกตัญญู!”
แต่ภายในใจของอู๋เฟินแทบกระอักเลือด ไม่ควรมองว่าขวดนี้รสชาติจะเป็นอย่างไร แต่ราคาที่เขาต้องจ่ายไปนับเป็นจำนวนหลายสิบล้านผลึกปราณเทวะเพื่อซื้อมันสักขวด!
สุราขวดแค่นี้มีค่าเท่ากับค่ารักษาอาการป่วยของหวางเชียน!
หลู่เมิงเป็นถึงจอมเทพโอสถสี่ดาว แล้วอู๋เฟินจะกล้ามอบสิ่งของธรรมดาทั่วไปได้อย่างไร?
ทุกครั้งที่อู๋เฟินเดินทางเข้าสู่เขตเมืองชั้นใน เขามักจะนำสิ่งของมีค่ามามอบให้เช่นนี้อยู่ตลอด
เฉกเช่นเดียวกับกลุ่มอัสนีคำรน เพื่อแสดงความกตัญญู ของที่อู๋เฟินมอบให้แก่หลู่เมิงแต่ละครั้งล้วนมีราคาสูงลิบลิ่วเช่นกัน
แต่ด้วยการสนับสนุนของหลู่เมิงที่เขาได้รับหลังจากนั้น หากคิดเป็นตัวเลขแล้วก็นับว่าไม่น้อยเช่นกัน
กล่าวได้ว่าไม่ขาดทุน!
แม้แต่ตระกูลตงฟางเองยังไม่กล้ายั่วยุเขาเช่นกัน!
หวู่เมิงหยิบขวดเย็นนำไปเก็บและกล่าวเสียงเย็นขึ้นว่า
“เมื่อไม่นานมานี้ เจ้าคง…ประสบปัญหามาเมื่อเร็ววันกระมัง?”
อู๋เฟินยิ้มและกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์สายตาเฉียบคมยิ่งนัก! เมื่อไม่นานมานี้ มีไอ้เด็กเหลือขอคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในเขตเมืองทางตอนใต้ ความหยิ่งผยองของมันไร้ซึ่งขอบเขต มันกล้ากล่าวอ้างว่าสามารถหลอมกลั่นโอสถได้สารพัดชนิด!”
หลู่เมิงยกเปลือกตาเปิดออกเล็กน้อยและยิ้มกล่าวว่า
“นั้นคงเป็นร้านชายโอสถรับจ้างสารพัดกระมัง? หุหุ เรื่องนี้ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้าง”
อู๋เฟินรีบกล่าวต่อทันที
“ท่านอาจารย์ยังไม่ทราบ! วาจาอวดอ้างของไอ้เด็กเหลือขอนั้นยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตไร้ยางอาย! ท่านอาจารย์จำคนไข้คนหนึ่งได้หรือไม่ ที่ข้าพามาในตอนนั้น ทว่าแม้แต่ท่านก็ยังตรวจพบสาเหตุไม่เจอ?”
หลู่เมิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยความตกใจว่า
“เจ้ากำลังกล่าวถึงเจ้าหนุ่มผีดิบไร้ชีวิตชีวานั้น? หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เด็กคนนั้นจะรักษาได้จริงๆ?”
อู๋เฟินพยักหน้าและกล่าวว่า
“มันรักษาสุ่มสี่สุ่มห้าจนรักษาอีกฝ่ายได้โดยบังเอิญ!”
ความตื่นตะลึงที่แข็งค้างภายในใจของหลู่เมิงหามีนัยยะไม่ อาการป่วยที่แม้แต่เขายังหาสาเหตุไม่เจอ ทว่าจอมเทพโอสถสามดาวกลับสามารถรักษาได้จริงๆ?
สีหน้าการแสดงออกของหลู่เมิงดูเคร่งขรึมขึ้นในทันทด เขากล่าวว่า
“หากเช่นนั้น แสดงว่าเด็กคนนี้ก็มีความสามารถบางอย่างอยู่จริงๆ!”
อู๋เฟินรู้สึกทันทีว่าท่านอาจารย์ของตนดูท่าจะเป็นปลื้มต่อเย่หยวนไม่น้อย ดังนั้นจึงเร่งกล่าวขัดขึ้นว่า
“ความสามารถบัดซบอะไรกัน! มันแค่รักษาสุ่มสี่สุ่มห้าจนบังเอิญทำสำเร็จเท่านั้น! สิ่งที่น่าโมโหกล่าวนั้นคืออะไรรู้หรือไม่? ลูกน้องคนสนิทถูกไอ้เด็กเหลือขอนั้นซื้อใจไปจนคิดทรยศข้า หลานของมันที่แม้แต่ท่านก็ไม่สามารถรักษาได้ หลังจากที่ไอ้เด็กเหลือนั้นรักษาเสร็จ ท่านเดาได้ไหมว่าไอ้เด็กนั้นกล่าวว่าอย่างไร?”
สายตาคู่นั้นของหลู่เมิงเย็นยะเยือกลงทันใด สีหน้ามืดทมืฬลงทันทีพร้อมเค้นเสียงทุ้มต่ำกล่าวว่า
“ข้าผู้นี้ไม่ชอบเล่นทายใจ มีอะไรก็จงพูด!”
อู๋เฟินรีบปั้นหน้าไม่พอใจหนัก ก่อนบ่นขึ้นว่า
“ไอ้เดเหลือขอนั้นพูดว่า ท่านอาจารย์หลู่เมิงมันวิเศษวิโสมากรึไง? ก็แค่จอมเทพโอสถี่ดาวเองมิใช่รึ? ท่านที่ได้ยินไม่คิดว่ามันน่าโมโหเกินไปหน่อยรึ?”
อู๋เฟินประโคมฝืนไฟจนทำให้หลู่เมิงเดือดดาลโกรธจัดในทันที
บูมมม!
โต๊ะดื่มน้ำชาตรงหน้าหลู่เมิงแตกกระจายเป็นผุยผง
กล้ามเนื้อทั่วใบหน้าพลันชักกระตุกไม่หยุด จะเห็นได้ว่าเขากำลังโกรธจัดเพียงใด
“จอมเทพโอสถสามดาวคนใดบ้างที่กล้าเปล่งวาจาอวดอ้างใหญ่โตปานนี้! หรือเป็นไปได้ไหมว่า…เจ้ายังปล่อยให้มันมีลมหายใจอยู่อีก?”
สายตาที่จับจ้องของหลู่เมิงเฉียบคมขึ้นทันตา ยามนี้จับจ้องไปที่อู๋เฟินพร้อมเอ่ยกล่าวเสียงเย็น
อู๋เฟินแสร้งทำท่าทำทางคล้ายถูกรังแกและกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ มีหรือที่ข้ายังทนความอยุติธรรมอยู่ได้! ข้าจะปล่อยให้ไอ้เด็กเหลือขอนั้นสร้างมลทินต่อท่านได้อย่างไร? ตอนนั้นข้าส่งยอดฝีมือออกไปพังร้านมันทิ้ง แต่ใครจะไปคิดว่ารากฐานร้านขายโอสถเล็กๆจะหยั่งลึกปานนี้ ถึงขั้นมียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าออกโรงมาเอง ไฉนเลย…ศิษย์คนนี้จะไปสู้ได้!”
สายตาของยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าที่อยู่ด้านข้างพลันแปรเปลี่ยนไปเช่นกัน เขาเอ่ยขึ้นว่า
“ก็แค่อาณาจักรราชันพระเจ้า กลับกล้าสร้างมลทินแก่ผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ! หึ! อย่าให้ข้าเห็นหน้ามันเชียว มิฉะนั้นจะขอดูหน่อยว่ากระดูกมันจะแข็งปานใด!”
หลู่เมิงลุกขึ้นเหลียวมองยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าคนนั้นและกล่าวสั่งการเสียงขรึมว่า
“ถังรุย ออกไปกับอู๋เฟินสักเที่ยว และจัดการทุบร้านขายโอสถรับจ้างสารพัดให้สิ้นซาก! ลากไอ้เด็กเหลือขอที่ชื่อว่าเย่หยวนมาที่นี่ ข้าจะทำการอบรมมันเป็นการส่วนตัว! ส่วนยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าคนนั้นนำตัวไปส่งที่หอยุทธ์โทษฐานแทรกแซงธุระของเขตเมืองชั้นนอก!”
ถังรุยโค้งคำนับและกล่าวตอบ
“รับทราบท่านอาวุโส!”
…
เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าทั้งหมดจากปากหวางเชียน เย่หยวนก็ถอนหายใจเสียงชืดยาวเช่นกัน ในขณะที่หนิงซื่อออวี๋และเหลียงหวางหรู นางทั้งคู่ดูท่าจะไม่พอใจอย่างมาก
“อู๋เฟินนั้นช่างไร้มนุษย์ธรรมโดยแท้! เรื่องเสียหน้ากับสำคัญยิ่งกว่าการช่วยชีวิตคน? มันทั้งไร้ยางอายและนิสัยต่ำทรามจริงๆ! ข้าโกรธจนแทบจะฉีกอกตัวเองตายได้แล้ว!”
หนิงซื่ออวี๋โกรธจัดจนใบหน้าแดงก่ำควันแทบพุ่งออกจากหู หากมีกองกำลังของตระกูลหนิงอยู่ตรงหน้า คงสั่งเดินทัพเข้าเด็ดหัวอู๋เฟินไปนานแล้ว
“พี่ใหญ่เย่ อู๋เฟินคนนี้เกินเยียวยาแล้วจริงๆ สองลุงหลานคู่นี้ทั้งซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง แต่สุดท้ายกลับต้องมีชะตากรรมเช่นนี้จริงๆรึ? ท่านต้องช่วยพวกเขา!”
เหลียงหวางหรูกล่าวเสริม
เย่หยวนเข้าตบไหล่ของหวางเชียนเล็กน้อยและเปิดปากกล่าวว่า
“ขอแสดงความเสียใจจริงๆ ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดมาก อยู่ที่นี่เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บไปก่อน”
หวางเชียนชะงักตกใจไปชั่วขณะก้อนเผยแววตาแสนสิ้นหวังยิ่ง
หากแม้แต่ท่านปรมาจารย์เย่ยังไม่ใส่ใจช่วยเหลือ เขาคงไม่มีโอกาสได้แก้แค้นอีกแล้ว
อิทธิพลอำนาจของอู๋เฟินหาใช่สิ่งที่กลุ่มกำลังใดในเขตเมืองทานตอนใต้จะสามารถสั่นคลอนได้
“ข-ขอบคุณท่านปรมาจารย์เย่!”
หวางเชียนจำใจกัดฟันกล่าวอย่างสิ้นหวัง
หลังจากที่หวางเชียนจากไปพักผ่อน นางทั้งสองต่างจ้องมองไปที่เย่หยวนด้วยความไม่พอใจนัก
“เย่หยวน ข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ! ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนขี้ขลาดปานนี้!”
หนิงซื่ออวี๋เผยสีหน้ารังเกียจออกมาราวกับกำลังจับจ้องศัตรูอยู่ตรงหน้า
“พี่ใหญ่เย่ นี่ท่านยังเป็นพี่ใหญ่เย่ที่ข้ารู้จักจริงๆ รึ? ชะตาชีวิตของหวางเชียนน่าสลดยิ่งนัก แต่ท่านกลับไม่คิดช่วยเหลือเขาด้วยซ้ำ!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เหลียงหวางหรูกล่าวตำหนิเย่หยวน
เย่หยวนหัวเราะออกมาทั้งๆแบบนั้นและกล่าวว่า
“แล้วจะให้ข้าช่วยอย่างไร?”
“เจ้า…อย่างน้อยเจ้าก็ควรจับตัวบัดซบอู๋เฟินมาขอขมาต่อหน้าหวางเชียนมิใช่รึ?”
หนืงซื่ออวี๋กล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจยิ่ง
เย่หยวนยิ้มแต่มิได้เอ่ยตอบใดๆ และเดินตรงออกจากประตูทันที
ยามเห็นแบบนั้นยิ่งทำให้หนิงซื่ออวี๋โกรธจัดจนต้องกระทืบเท้าแรงๆสองสามที และตะโกนไล่หลังไปว่า
“นี่เจ้ายังมีหน้าเดินหนีอีกงั้นรึ! เจ้าทำให้ข้าโกรธแทบตายแล้ว! เช่นนั้นข้าคนนี้ขอตัดขาดทุกความสัมพันธ์กับเจ้า!!”
ขณะที่เย่หยวนกำลังเดินจากออกไป จู่ๆ ก็มีชายชราท่าทางใจดีเดินตรงเข้ามาในร้านขายโอสถรับจ้างสารพัด
เย่หยวนเงยมองอีกฝ่ายเจือฉงนใจ ปรากฏว่าเขาไม่สามารถมองผ่านอ่านอีกฝ่ายได้ออกเลย
หรืออาจจะเป็น…ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าอีกคน?
“ข้านามว่าเย่หยวน สงสัยว่าท่านอาวุโสคงมาที่นี่เพื่อตามหาข้า?”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมประสานมือให้
เมื่อชายชราคนนั้นเห็นว่า ชายหนุ่มที่ชื่อเย่หยวนเด็กกว่าที่เขาคิดว่า ทั่วสีหน้าเผยปรากฏความตกใจออกมาทันใด เขากล่าวตอบว่า
“เราชายชรานามว่าซวนอี้มาจากหอโอสถ ข้าได้ยินมาว่าท่านปรมาจารย์เย่เป็นยอดอัจฉริยะนักหลอมโอสถของที่นี่ ดังนั้นข้าจึงตั้งใจมาแลกเปลี่ยนความรู้กับท่าน”
…………………………………………………..