“แลกเปลี่ยนความรู้? โปรดอภัยยามนี้ข้าไม่ค่อยสนใจนัก!”
ใครก็ไม่รู้จู่ๆก็เดินเข้ามาหาพร้อมบอกว่าต้องการแลกเปลี่ยนความรู้กับตน หรืออีกฝ่ายเห็นว่าตนมีเวลาว่างขนาดนั้นเชียว?
ตอนนี้เขารักษาเจ้าท้วมหายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่ต้องการกังวลเรื่องชื่อเสียงใดๆอีก ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใครแล้วเช่นกัน
อย่างมากที่สุดหากเกินเหตุสุดวิสัยจริงๆ เย่หยวนก็แค่ซ่อนตัวอยู่ในโถงบัลลังก์ม่วงและบินหนีไป
ด้วยความสามารถของสมบัติเทพท่องแท้เลิศล้ำ แม้แต่เจ้าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกันง
ดังนั้นเย่หยวนจึงไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว
สีหน้าการแสดงออกของชายชราคนนั้นแปรเปลี่ยนไปเช่นดัน เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่คาดคิดว่าเย่หยวนจะดูถูกตนเช่นนี้
แม้เย่หยวนจะไม่รู้จักอีกฝ่าย แต่ในเมืองจักรพรรดิแห่งนี้ เมื่อเอ่ยถึงหอโอสถเขาก็ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน
แต่ซวนอึ้คนนี้ค่อนข้างเป็นคนใจเย็น วาจาตอบโต้ของเย่หยวนมิได้ทำให้เขาโกรธแม้แต่ร้อน ขณะที่เขากำลังจะอ่านปากเอ่ยตอบ ทันใดนั้นก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินสมทบออกมา
ทันทีที่เห็นซวนอี้ เนื้อตัวของเซียวเฟิงสั่นสะท้านหนัก ก่อนเอ่ยอุทานขึ้นด้วยความไม่เชื่อวว่า
“ท่าน…หรือท่านคือปรมาจารย์ซวนอี้กระมัง?”
แน่นอนว่าซวนอี้มิได้รู้จักอะไรกับเซียวเฟิง เมื่อได้ยินแบบนั้นก็ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน ภายในร้านชายโอสถแห่งนี้ยังมีจอมเทพโอสถสี่ดาวอยู่อีกคน?
“หุหุ เราชายชราคนนี้คงแก่จนสมองเลอะเลือนแล้ว จึงจำมิได้ว่าท่านเป็นใคร ขอเสียมารยาทได้หรือไม่ ท่านมีนามว่า…”
เซียวเฟิงโค้งคำนับและกล่าวด้วยความเคารพว่า
“ผู้เยาว์นามว่าเซียวเฟิงแห่งหอมหาสมบัติ ครั้งสุดท้ายที่เจอท่าน ตอนนั้นอยู่ในหอโอสถ ข้าโชคดีได้มีโอกาสเข้าไปร่วมรับฟังการบรรยายของท่าน!”
ซวนอี้ยิ้มพลางพยักหน้าตอบ
นักหลอมโอสถที่เคยเข้าร่วมฟังการบรรยายของเขาในเมืองจักรวรรดิอินทรีสวรรค์มีมากมายเกินไปจริงๆ เป็นธรรมดาที่เขาไม่สามารถจดจำได้ทั้งหมด
“ท่านอาจารย์ซวนอี้ พวกเขาเหลือนี้คือสหายเก่าของชายหนุ่มคนนั้น ทั้งหมดรู้จักกันมานานแล้ว”
ในเวลานั้นเอง จู่ๆ หนิงซื่ออว๋ก็กล่าวขึ้นมา
สำหรับที่ว่าไฉนนางถึงมาอยุ่ที่นี่ได้ ซวนอี้มิได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้สักนิด เพียงว่าไม่คิดไม่ฝันว่านางจะมาหาท่านปรมาจารย์เย่เร็วปานนี้
“ท่านอาจารย์?”
สายตาที่จับจ้องของเซียวเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นความตั้งใจขึ้นทันใด ยามนี้เหลือบมองหนิงซื่ออวี๋เจือหน้าตกตะลึงยิ่ง
เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ภูมิหลังของสาวน้อยนางนี้จะยอดเยี่ยมเกินหยั่งถึง!
ซวนอี้เป็นถึงผู้มีอิทธิพลภายในหอโอสถอย่างแท้จริง แต่ปรากฏว่านางกลับเป็นศิษย์ของซวนอี้!
เย่หยวนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน โดยไม่คิดเลยว่าชายชราคนนี้จะเป็นท่านอาจารย์ของหนิงซื่ออวี๋
แต่ด้วยเหตุนี้ทุกอย่างจึงสามารถอธิบายได้เช่นกัน มีความเป็นไปได้สูงว่า อีกฝ่ายน่าจะเคยเห็นโอสถประตูศิลาวายุที่เขาหลอมกลั่นมาก่อน จึงต้องการเดินทางมาหาเพื่อแลกเปลี่ยนสนทนาความรู้
“ท่านปรมาจารย์ซวนอี้มาที่นี่คงเป็นเพราะเรื่องของเย่หยวนใช่หรือไม่?”
เซียวเฟิงเองก็มิได้โง่ ทันทีที่เห็นภาพฉากสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
ซวนอี้ยิ้มกล่าวว่า
“ถูกต้องแล้ว ฟังว่าขอบเขตความรู้ในศาสตร์แห่งโอสถของปรมาจารย์เย่กว้างใหญ่ไร้สิ้นสุด ดังนั้นจึงมาหาเพื่อขอคำชี้แนะ”
รูม่านตาดำของเซียวเฟิงตีบตันลงงทันใด แม้เขาจะรู้ว่าเย่หยวนน่าเกรงขามมากเพียงใด แต่กระทั่งปรมาจารย์ซวนอี้ยังให้เกียรติเรียกเย่หยวนว่า ปรมาจารย์เย่ด้วยความเคารพเลื่อมใสปานนี้ นี่ทำให้เขาอึดอัดใจอย่างยิ่ง
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ เพียงปรมาจารย์ซวนอี้กระทืบเท้าแค่ครั้งเดียว ก็สามารถทำให้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์สั่นสะเทือนโดยทั่วได้แล้ว!
แต่ตอนนี้เขากลับดูอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวน!
อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นเองหนิงซื่ออวี๋ก็ก้าย่างออกมาและดึงแขนเสื้อของซวนอี้เล็กน้อย นางกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ แลกไปแลกเปลี่ยนความรู้อะไรกับเขาเลย! เขาคนนี้ไม่คู่ควรอีกต่อไปแล้ว! หึ!”
ซวนอี้ค่อนข้างแปลกอกแปลกใจยิ่งกับท่าทีของหยิงซื่ออวี๋ ก่อนหน้านางยังยกย่องเย่หยวนแทบชูขึ้นฟ้า ไฉนยามนี้กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าขนาดนี้?
หนิงซื่ออวี๋กระทืบเท้าดังและเล่าเรื่องของคู่ลุงหลานสกุลหวางให้ฟังด้วยความโกรธเกรี้ยว และทิ้งท้ายว่า
“ท่านอาจารย์ ท่านยังคิดว่าคนที่ไม่มีความรับผิดชอบเช่นนี้ยังเรียกว่าปรมาจารย์ได้อีกรึ?”
ซวนอวี้เหลือบมองหนิงซื่ออวี๋เล็กน้อยพลางหันไปทางเย่หยวน ทันทีทันใดเขายิ้มกล่าวว่า
“นังตัวแสบ นี่เจ้าเคยรู้อะไรบ้าง? แต่เดิมสองลุงหลานคู่นี้ก็เป็นคนของอู๋เฟินแต่แรกแล้ว ทั้งนี้ยังมีบุญคุณมากมาย ถึงวิธีลอบสังหารจะค่อนข้างน่าเกลียดผิดมนุษยธรรม แต่ก็ไม่มีใครสามารถกล่าวว่าลับหลังได้เช่นกัน! แล้วเจ้าจะขอให้ปรมาจารย์เย่เข้าแทรกแซงเรื่องของคนอื่นได้อย่างไร? นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย!”
หนิงซื่ออวี๋ที่ได้ยินแบบนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ที่ท่านอาจารย์ของนางก็ยังอยู่ข้างเย่หยวน ยามนี้คำรามดังลั่นขึ้นว่า
“ไฉนท่านเองก็เป็นเช่นนี้! แล้วที่อีกฝ่ายกระทำไปมันสมเหตุสมผลแล้วงั้นรึ? พวกท่านคิดเฝ้าดูอยู่เฉยๆจริงรึ?”
ซวนอี้ยิ้มกล่าวว่า
“เจ้านี่ช่างใจร้อนไม่เปลี่ยนจริงๆ ยิ่งร้อนรนยิ่งจมดิ่ง! ปรมาจารย์เย่เป็นเพียงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นเท่านั้น แต่ขุมกำลังของหอเต๋ออี้นับว่าน่าเกรงขามยิ่ง ทั้งยังมีความสัมผัสกับตระกูลตงฟางและหอโอสถ การที่เจ้าขอให้ปรมาจารย์เย่เข้าไปแทรกแซง มันไม่ต่างอะไรกับส่งเหยื่อเข้าปากเสือหรอกรึ?”
หนิงซื่ออวี๋ดูคล้ายเป็นกังวลหนักและกล่าวว่า
“แล้วเช่นนั้น…เป็นไปได้ไหมว่าที่พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้จริงๆ?”
“หุหุ นังตัวแสบ! แล้วเขาบอกตอนไหนว่าไม่สนใจที่จะช่วยเหลือ? ไม่ต้องกังวลนัก หากยังเร่งเร้าปรมาจารย์เย่ เจ้าก็เตรียมรับโทษนั่งจ้องกำแพงเป็นเวลาสามปี!”
ซวนอี้กล่าวดุพร้อมรอยยิ้ม
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หนิงซื่ออวี๋ร้องเสียงหลงตอบกลับทันที
“ไม่กังวลแล้ว! ข้าไม่กังวลอะไรแล้ว! หึ!”
หนิงซื่ออวี๋ถลึงใส่เย่หยวน
แต่ในอีกด้าน นางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมากเช่นกัน ราวกับว่าท่านอาจารย์มองผ่านรู้อะไรบางอย่างแน่นอน ถึงได้กล่าวแบบนั้นไป
เย่หยวนเองก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน เขากับชายชราคนนี้เพิ่งพบเจอกันเมื่อครู่ ทว่ากลับมองผ่านอ่านความคิดของเขาออกแล้วจริงๆ
แน่นอนว่าเขาคนนี้หาใช่ชายชราธรรมดาทั่วไปแน่นอน
“ปรากฏว่าท่านอาวุโสท่านนี้เป็นอาจารย์ของซื่ออวี๋ ก่อนหน้าทำให้ท่านขุ่นเคืองต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง หากท่านต้องการสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้เชิญเข้าไปนั่งพักด้านในก่อน แล้วค่อยเริ่มสนทนากันดีกว่า”
ซวนอี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดขำมิได้ว่า
“ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ เราชายชราต้องพึ่งพาบารมีของศิษย์ตนเองเพื่อบรรลุเป้าหมายในวันนี้! ฮ่าๆ”
ทุกหนแห่งที่ซวนอี้ย่างก้าวเดินออกไปล้วนมีแต่ผู้คนรุมล้อมขอคำชี้แนะ เสาะหาทั่วเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ มีใครบ้างไม่เคารพเขา?
แต่ใครจะรู้ว่า วันนี้เด็กหนุ่มอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้นกลับไม่สนใจเขาเลยด้วยซ้ำ
ที่ทัศนคติของเย่หยวนต่อตัวเขาแปรเปลี่ยนไปก็เพราะหนิงซื่ออวี๋ เห็นแบบนี้ก็อดขำตัวเองมิได้
เมื่อเข้าไปหลังร้านขายโอสถก็เป็นห้องหลอมกลั่นที่เย่หยวนใช้เป็นประจำ จากนั้นเย่หยวนก็เอ่ยถามขึ้นว่า
“ข้าสงสัยว่าเรื่องใดที่ท่านต้องการแลกเปลี่ยนความรู้กับข้า?”
ซวนอี้เตรียมพร้อมมาแล้วอย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวตอบไปทันทีว่า
“เรื่องหลอมกลั่นโอสถ!”
หนิงซื่ออวี๋โพล่งอุทานขึ้นด้วยความตกใจ
“ท่านอาจารย์เป็นถึงจอมเทพโอสถสี่ดาว นี่มิใช่มากลั่นแกล้งกันหรอกรึ?”
ซวนอี้ดึงหน้าเคร่งขรึมกล่าวดุว่า
“นังตัวแสบ เจ้าไม่ต้องพูดมากแล้วไปเฝ้ามองอยู่มุมโน่นเลย! ในขณะที่ข้ากับปรมาจารย์เย่หลอมกลั่นโอสถ เจ้าต้องตั้งใจศึกษาและจดจำทุกรายละเอียดให้ดี! สิ่งนี้มันจะมีประโยชน์ต่อเจ้าติดตัวไปตลอดชีวิต! อืม..ปรมาจารย์เย่ ลองหลอมกลั่นโอสถเทียบกันดูได้หรือไม่ โดยใช้โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสามชนิดเดียวกัน”
เย่หยวนพยักหน้าตอบกลับโดยไม่มีข้อคัดค้าน
ในขณะที่หนิงซื่ออวี๋พึมพำกับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอยออกไปเฝ้ามองอย่างไม่เต็มใจนัก
เวลาเดียวกัน เซียวเฟิงก็รู้สึกตื่นอกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองคนนี้เป็นยอดปรมาจารย์นักหลอมโอสถแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์อย่างแท้จริง!
มีเพียงเขาและหนิงซื่ออวี๋ที่โชคดีอย่างมาก ยามนี้ได้มีโอกาสชมการหลอมกลั่นโอสถของทั้งสอง!
เมื่อไล่หนิงซื่ออวี๋จอมขี้บ่นออกไปได้ ซวนอี้ก็หันไปทางเย่หยวนและกล่าวว่า
“เราชายชราคนนี้เตรียมสูตรโอสถกว่าสิบชนิดและเตรียมวัตถุดิบอีกชนิดละสองชุด พวกเรามาหลอมกลั่นแลกเปลี่ยนความรู้กันดีหรือไม่?”
เย่หยวนหาได้แยแสโดยธรรมชาติ เขาพยักหน้ากล่าวตอบไปว่า
“แล้วแต่ที่ท่านต้องการเลย!”
ซวนอี้พยักหน้าและกล่าวว่า
“เช่นนั้น ข้าของเริ่มด้วยโอสถชนิดแรก โอสถดาราจันทร์เงิน”
เพื่อความยุติธรรมซวนอี้ใช้แค่หม้อหลอมโอสถระดับสามเท่านั้น มันเป็นหม้อหลอมระดับสามที่เขาเคยใช้เมื่อตอนที่ยังเป็จอมเทพโอสถสามดาว
ขณะที่ซวนอี้เริ่มขยับตัว คลื่นอากาศโดยรอบเริ่มโหมสะพัดขึ้นโดยธรรมชาติ
กระบวนการสกัดตัวเชื้อเขาเคลื่อนขยับเสร็จสิ้นในพริบตา
ตามที่คาดไว้ไม่มีผิด บุคคลที่แม้แต่เซียวเฟิงยังเลื่อมใส เขาหาใช่ชายชราธรรมดาแน่นอน
“โอสถดาราจันทร์เงิน วัตถุดิบหลักคือ ไม้จันทร์เงิน เมล็ดดวงดารา และสมุนไพรวิญญาณอีกสองสามชนิด แต่กุญแจสำคัญอยู่ที่วัตถุดิบเสริม…”
หลังจากที่ซวนอี้เริ่มหลอมกลั่นโอสถแล้ว เย่หยวนก็เพิ่งเริ่มทบทวนสูตรโอสถรำพึงรำพันอยู่กับตัวเอง
คู่ดวงตาของเซียวเฟินและหนิงซื่ออวี๋พลันไสวเปล่งประกายขึ้นทันที พวกเขาจับจ้องไปที่ซวนอี้ไม่วางตา ยามนี้เขามาถึงขั้นตอนที่ยากที่สุดแล้ว
………………………………………………………..