ประตูหน้าร้านชายโอสถรับจ้างสารพัดถูกระเบิดกระจายโดยตรง
ภายในห้องรับลูกค้าที่มีสมุนไพรนานาชนิดวางเป็นระเบียบ ยามนี้กลับกระจัดกระจายไปทั่ว
เจ้าของร้านซ่อนตัวอยู่ใต้มุมโต๊ะ กลับจนไม่กล้าแม้แต่หายใจแรง
แรงกดดันที่แพร่สะพัดออกมาจากร่างถังรุยทำเอาเขาหลวดกลัวจนตัวสั่นเทา
“ไปเรียกไอ้บัดซบเย่หยวนออกมา! วันนี้ร้านขายโอสถรับจ้างสารพัดจักต้องหายไปจากเขตเมืองทางใต้ตลอดกาล!”
ถังรุยเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเยียบเย็น
เมื่อซิงกวนเห็นถังรุย สีหน้าการแสดงออกของเขาพลันซีดลงทันทีอย่างช่วยมิได้ แต่เขายังคงข่มกลั้นสงบสติลงและประสานมือกล่าวว่า
“ท่านถังรุย ไม่ทราบว่าร้านขายโอสถสารพัดรับจ้างของเราไปทำอะไรผิด ถึงทำให้หอยุทธ์ไม่พอใจ?”
ถังรุยเหลือบมองอีกฝ่าย แววตาแสนหยามเหยียด
“เป็นเพียงมดปลวกตัวน้อย มีคุณสมบัติอะไรหาญกล้าตั้งคำถามกับข้าผู้นี้? ไสหัวไป!”
เพียงคำว่า‘ไสหัวไป’เหล่าพี่น้องซิงกวนราวกับรับแรงกดดันหนักหน่วงประดุจแดกผืนพิภพ ชนิดแทบล้มทั้งยืน
ซิงกวนเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครั้งขึ้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าถังรุย เขากลับไม่สามารถทนยืนอยู่ได้เกินสิบอึดใจด้วยซ้ำ
ถังรุยคนนี้มิใช่เซี่ยวยื่อเยว่มือใหม่แบบนั้น เขาเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาว สามารถสังหารซิงกวนและเหล่าพี่น้องได้ด้วยคลื่นฝ่ามือเดียว
หากมิใช่เพราะกฎระเบียบของทางหอยุทธ์ที่บังคับใช้อย่างเข้มงวด ปานนี้ซิงกวนและคนอื่นๆคงกลายเป็นศพไปนานแล้ว
ซิงกวนคลานเข่าพยายามลุกขึ้นพร้อมกัดฟันแน่นกล่าวว่า
“ท่าน…หอยุทธ์ของท่านเองก็มีกฎเช่นกัน ไฉนถึงมาทำลายร้านขายโอสถรับจ้าสารพัดตามอำเภอใจเช่นนี้?”
ในเวลานั้นเองอู๋เฟินก้าวย่างออกหน้ามาแทนและกล่าวเย้ยว่า
“เจ้าอยากรู้นักใช่ไหม? เย่หยวนสมรู้ร่วมคิดกับยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้า ขัดคำสั่งของเขตเมืองทางตอนใต้ ข้าสงสัยว่าเพียงเท่านี้โทษยังไม่หนักอีกรึ?”
สีหน้าการแสดงออกของซิงกวนแปรเปลี่ยนไปทันที เขาคำรามลั่นอย่างโกรธเกรี้ยวขึ้นว่า
“อู๋เฟิน เจ้ากำลังใส่ร้ายผู้คนโดยไม่ซึ่งหลักฐาน! เหล่ายอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้ามาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนสนทนาด้านศาสตร์แห่งโอสถ ข้าสงสัยเสียจริงว่าไปขัดสั่งตอนไหน?”
ดวงตาของถังรุยเบิกกว้าง เค้นเสียงเยียบเย็นกล่าวว่า
“ไม่ว่าพวกเขาจะออกมาทำอะไรจำต้องทำเรื่องผ่านหอยุทธ์ก่อนมิใช่รึ? ข้าบอกไปแล้ว เลิกพล่ามเรื่องไร้สาระมิฉะนั้นข้าจะไม่สุภาพอีกต่อไปแล้ว!”
ภายใต้แรงกดดันอันทรงพลัง กายาทั่วทั้งร่างของซิงกวนสั่นสะท้านไม่หยุดหย่อน
อย่างไรก็ตามเขายังคงกัดฟันดื้อรั้นไม่ยอมหลีกถอย
ชั่วชีวิตของซิงกวนให้ความสำคัญกับมิตรภาพและความภักดีเป็นที่สุด
เย่หยวนช่วยรักษาน้องสองของเขาจากความตาย ดังนั้นภายในใจของเขาจึงเปี่ยมล้นไปด้วยคำขอบคุณที่มีต่อเย่หยวน
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เซียวยื่อเยว่ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเต็มขั้นได้และบุกมา หากมิใช่เพราะเย่หยวน ปานนี้กลุ่มอัสนีคำรนของเขาคงถูกถล่มเละไปนานแล้ว
ดังนั้น เมื่อเขาทราบข่าวว่าอู๋เฟินกำลังนำคนบุกเข้ามาก่อเรื่อง เขาจึงพาเหล่าพี่น้องออกมาสกัดต้านทันที
เว้นเสียว่า ซิงกวนไม่คิดมาก่อนเลยว่า อู๋เฟินจะเชิญยอเซียนของฝ่ายหอยุทธ์มาด้วยเช่นนี้
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เห็นโล่งศพไม่หลั่งน้ำตา!”
ถังรุยคำรามเสียงเย็นดุจวาจาประหาร พร้อมขี้นิ้วใส่ซิงกวนโดยตรง
กลิ่นอายมรณะตีขึ้นมาจากเหนือศีรษะอยู่รำไร ภายใต้ดัชนีนี้ซิงกวนไม่สามารถต่อกรได้เลย เขาทำได้เพียงหลับตารอความตายเท่านั้น
บูมมม!
แต่ทันใดนั้นเอง รัศมีแรงกดดันอีกขุมหนึ่งที่มิได้อ่อนแอไปกว่าถังรุยพลันสกัดเข้าแทรกแซงระหว่างกิจของทั้งสองขึ้นฉับพลัน
ถังรุยที่สัมผัสได้ดังนั้น ถึงขั้นตีฝีเท้าเร่งถอยห่างออกมาในชั่วอึดใจ
ขณะที่โผบินทะยานถอยหลัง หางตาพลันเห็นชายหนุ่มในชุดสีขาวอยู่ปรากฏขึ้นมาข้างกายซิงกวน ทันทีที่ทราบว่าเป็นใคร เขาถึงกับถอดสีหน้าทันที
“ลวี่อี้! เจ้า…เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?!”
ถังรุยอุทานลั่นด้วยความประหลาดใจยิ่ง
ลวี่อี้นับเป็นดาวรุ่งแห่งหอโอสถ เขาคือศิษย์ผู้มีโอกาสมากที่สุดในการรับสืบทอดมรดกช่วงต่อจากปรมาจารย์ซวนอี้ในภายภาคหน้า
ในทางตรงกันข้าม ตำแหน่งของถังรุยในหอยุทธ์นับว่าต่ำต้อยกว่ามาก เขาเป็นได้เพียงผู้ติดตามของหลู่เมิ่งเท่านั้น
“ถังรุย พวกเจ้าทุกคนกล้ามากนักที่กล้าอวดอ้างข่มขวัญคนทางใต้! เจ้ามีคุณสมบัติขนาดนั้นที่ออกมาในนามของหอยุทธ์!”
ลวี่อี้กล่าวเย้ยพร้อมเสียงแสนประชดประชัน
ถังรุ่ยไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลนว่า ลวี่อี้จะกล่าวเย้ยเยาะตนเช่นนี้ทันทีที่พบเจอ ทันทีทันใดเขากล่าวเสียงแหบเย็นสะท้านขึ้นลั่นว่า
“ข้าดำเนินการภายใต้คำสั่งของท่านหลู่เมิง ให้จับยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้านำตัวไปลงโทษตามกฎ! หรือเป็นไปได้ไหมว่าเจ้าจะคิดต่อต้านข้า?”
ก่อนหน้านี้เอง ในช่วงรอบที่สี่ ลวี่อี้และเหล่าศิษย์น้องอีกสามคนต่างหมอบกราบขอโทษเย่หยวนเป็นที่เรียบร้อย
พวกเขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไปมากมายในวันนี้ และได้ขอขมาเย่หยวนไปแล้วที่ดูถูกก่อนหน้า ซึ่งในทางเย่หยวนองก็มิได้ติดใจอะไรนัก และหลอมกลั่นโอสถต่ออย่างสนุกสนาน ทว่าจู่ๆการมาถึงของถังรุยก็ได้ก่อความวุ่นวายขึ้น เช่นนี้จะมิให้เขาโกรธได้อย่างไร?
เมื่อเห็นว่าถังรุยกล่าวอ้างไปถึงหลู่เมิงเพื่อข่มขู่ตน ลวี่อี้ก็กล่าวเสียงเย็นตอกกลับไปว่า
“หลู่เมิง? หลู่เมิงแล้วอย่างไร! ภายในนี้มีทั้งศิษย์น้องและปรมาจารย์เซียวเฟิงกำลังสนทนาเรื่องโอสถกับท่านปรมาจารย์เย่อยู่! หากจะคิดจับพวกข้ากลับไปก็จับให้หมดล่ะกัน!”
ถังรุยที่ได้ยินดังนั้นไม่สามารถรักษาความสงบได้อีกต่อไป เขากัดฟันกรอดคำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยวขึ้นว่า
“เจ้า! เจ้ากำลังทำผิดกฎของเมืองจักรพรรดิแห่งนี้! ข้าจะกลับไปรายงานต่อหอยุทธ์และหอโอสถ!”
ลวี่อี้กล่าวตอกอย่างเหยียดหยามไปว่า
“เช่นนั้นก็ไปได้แล้ว! แต่เตรียมใจรอรับความโกรธเกรี้ยวของข้าได้เลย!”
สีหน้าการแสดงออกของถังรุยแปรเปลี่ยนไปทันที ยามนี้ดูท่าทีกระอักกระอ่วนไม่น้อย
อิทธิพลอำนาจของเหล่าผู้สืบทอดเชื้อสายจากซวนอี้นั้นแข็งแกร่งเกินไป
นี้มิใช่เพียงซวนอี้เท่านั้นที่น่ากลัว แต่เมื่อใดที่ทำให้เขาพิโรธขึ้นมา มันยังรวมไปถึงเหล่าศิษย์สาวกของเขาทุกคน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่เป็นอัจฉริยะดาวรุ่งแห่งหอโอสถทั้งสิ้น!
กล่าวได้ว่ามีเพียงเหล่าศิษย์เชื้อสายของผู้อาวุโสใหญ่แห่งหอโอสถเท่านั้น ที่สามารถสู้รบตบมือกับเหล่าศิษย์เชื้อสายของซวนอี้ได้
ต่อให้เป็นหวู่เมิงที่เป็นผู้ดูแล ทว่าต่อหน้าซวนอี้เขาก็ไม่คุณสมบัติแม้แต่จะมองหน้าด้วยซ้ำ
สำหรับตัวถังรุย คงไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงอีกต่อไป
ภายในเขตเมืองชั้นใน เขาเป็นได้แค่ขี้ข้าเท่านั้น
ส่วนยามนี้อู๋เฟินยืนเงียบอยู่มุมหนึ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงออกมาด้วยซ้ำ
การเผชิญหน้าของผู้คนระดับชั้นนี้หาใช่สิ่งที่เขาจะสามารถเข้าไปแทรกแซงได้เลย
ทีแรกเขามั่นใจอย่างยิ่งว่า เมื่อนายใหญ่ของเขายอมออกโรง อู๋เฟิงย่อมสามารถทำลายร้านขายโอสถรับจ้างสารพัดได้ตามสมปรารถนา
แต่ใครจะไปรู้ว่ายังมียอดเซียนอีกคนโผล่ออกมาเป็นระลอกสาม แถมครั้งนี้ทั้งภูมิหลังและศักดิ์ศักดิ์ยังสูงจนถังรุนเทียบชั้นไม่ติด
ยามนี้อู๋เฟินแทบลมจับหมดสติไปทั้งแบบนั้น
ไอ้เด็กเหลือขอเย่หยวนมันมีอาคมใดซุกซ่อนอยู่กันแน่? ไฉนสถานที่แห่งนี้ถึงมียอดเซียนแวะเวียนกันมากขึ้นเรื่อยๆ?
แต่ในขณะที่พวกเขาสิ้นหวังนั้นเอง ก็มีชายชราร่างท้วมตรงเข้ามาในร้านขายโอสถรับจ้างสารพัดอย่างแช่มช้า
ดวงตาคู่นั้นของอู๋เฟินทอประกายสดใสขึ้นในบัดดล ยามนี้รู้สึกตื่นอกตื่นเต้นอย่างอดมิได้
“ลวี่อี้ ความหาญกล้าของเจ้ากลับไม่เล็ก กล่าวดูถูกลับหลังข้าเช่นนี้เชียว?”
ชายชราร่างท้วมที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันผู้นี้มิใช่ใครอื่นนอกจาก หลู่เมิงตัวจริงเสียงจริง!
คล้อยหลังที่ถังรุยเพิ่งจากออกไปได้ไม่นาน หลู่เมิงก็ได้รับรายงานว่าพวกศิษยพี่ทั้งสี่ของซวนอี้ก็เดินทางออกจากเขตเมืองชั้นในเช่นกัน
และปลายทางของพวกเขาคือร้านขายโอสถรับจ้างสารพัด!
ข่าวสารที่ได้รับมาใหม่เช่นนี้ ทำให้หลู่เมิงสีหน้าเคร่งเครียดทันทีพร้อมเร่งเดินทางติดตามออกมาเป็นการส่วนตัว
สำหรับซวนอี้ เนื่องจากสถานะอีกฝ่ายเหนือกว่าตนมาก หลู่เมิงจึงไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายหรือรับรู้ได้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหน
เมื่อลวี่อี้เห็นหลู่เมิงออกมาเป็นการส่วนตัว เขาเองก็ตื่นตะลึงไม่น้อยเช่นดัน แต่ในไม่ช้าเขาก็กลับคืนสู่คาวมสงบดังเดิมพร้อมกล่าวว่า
“ข้าไม่เคยนินทาหรือด่าลับหลังใคร! แต่เจ้าคิดใช้อำนาจตามใจชอบเช่นนี้ได้อย่างไร!”
ไม่ว่าจะเป็นตัวซวนอี้เองหรือบรรดาลูกศิษย์ พวกเขาไม่เคยไว้ให้ใครทั้งสิ้นรวมไปถึงผู้มีอำนาจ เพราะความแกร่งกล้าของซวนอี้เองแม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ยังต้องเกรงกลัวเช่นกัน
ดังนั้น ภายในหอโอสถ ผู้อาวุโสใหญ่จึงมักจะหาทางปราบปรามและพยายามตัดขาดเหล่าศิษย์เชื้อสายของซวนอี้ให้สิ้นซาก นอกจากนี้หลู่เมิงยังมากเล่ห์เหลี่ยม เข้าข้างผู้อาวุโสใหญ่ จึงไม่แปลกที่จะไม่กินเส้นกับพวกลวี่อี้
ในฐานะศิษย์คนโตของซวนอี้ ลวี่อี้ไร้ซึ่งความเคารพต่อหลู่เมิงเป็นธรรมดา
แม้ว่าหลู่เมิงจะเป็นผู้ดูแลระดับสูง แต่สถานะของลวี่อี้ในหอโอสถกลับมิได้ด้อยกว่าเลย
หลู่เมิงไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ลวี่อี้จะหัวรั้นปานนี้ สีหน้าของเขามืดทมิฬลงอย่างหาที่เปรียบไม่ ยามนี้กล่าวเสียงเย็นชืดว่า
“เชื้อสายของเจ้าช่างหยิ่งผยองเกินไปใหญ่แล้ว! ไร้ซึ่งการอบรบ! ไร้มารยาทสิ้นดี! เราชายชราคนนี้จะสั่งสอนเจ้าเองว่า วิธีเคารพผู้อาวุโสกว่าต้องทำกันอย่างไร! วันนี้ข้าขอลงโทษเจ้าแทนในนามของผู้อาวุโสสอง!”
………………………………………………