“ฮ่าๆๆๆ! ในที่สุด! ในที่สุดข้าก็เลื่อนระดับชั้นสำเร็จ! อาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น! ข้าที่ติดอยู่กับที่หลายปีในที่สุดก็ทะลวงผ่านไปได้! ในที่สุดข้าก็กลับมาผงาดขึ้นอีกครั้ง!”
ภายในห้องลับ จู้โหย่วระเบิดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ในที่สุดเขาทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นเสียที!
ปัญหาเขาติดพันไม่พัฒนาไปไหนมาหลายปีแล้ว
ทันทีที่เขาทะลวงฝ่าปัญหานี้ไปได้ เขาจะกลายมาเป็นการดำรงอยู่สูงสุดในเขตเมืองชั้นนอกทันที
“ศาสตร์แห่งโอสถของท่านปรมาจารย์เย่ไร้เทียมทานโดยแท้! โอสถเม็ดเดียวที่เขามอบให้มาสามารถแก้ปัญหากวนใจข้ามาหลายสิบปีได้ในพริบตาเดียว!”
จู้โหย่วถอนหายใจชื่นชมเย่หยวนไม่หยุดปาก
เดือนที่แล้ว เย่หยวนเดินทางมาที่รังใหญ่ของกลุ่มอัสนีคำรนและมองโอสถให้แก่เหล่าพี่น้องพวกเขา
โอสถเม็ดนี้ทำให้เขาเลื่อนระดับชั้นสมความปรารถนาได้ในที่สุด
สำหรับบุญคุณในครั้งนี้ของเย่หยวน เขารู้สึกซาบซึ้งอย่างหาที่เปรียบไม่
จู้โหย่วค่อยๆลุกขึ้นและกล่าวกับตนเองว่า
“ข้าสงสัยเสียจริงว่า พี่น้องที่เหลือของข้าจะเป็นอย่างไรแล้วบ่าง? ท่านปรมาจารย์เย่ให้ความช่วยเหลือขนาดนี้ พวกเขาเองคงประสบความสำเร็จเช่นกันกระมัง?”
เมื่อมาถึงโถงใหญ่ เขาก็พลันเห็นว่าพี่ใหญ่ซิงกวนนั่งรออยู่ในนั้นนานแล้ว
เมื่อเห็นซิงกวน ดวงตาของจู้โหย่วแทบทะลักถล่นออกมา ร้องอุทานลั่นด้วยความประหลาดใจยิ่งว่า
“พี่ใหญ่…ท่าน…ท่านใกล้จะเลื่อนระดับชั้นแล้ว?”
รัศมีแรงกดดันของซิงกวนไร้ซึ่งเสถียรคล้ายว่าภูเขาไฟที่สามารถปะทุคลั่งออกมาได้ตลอดเวลา
ความสุขบนใบหน้าของซิงกวนมิสามารถปกปิดได้เลยแม้แต่น้อย เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ต้องขอบคุณท่านปรมาจารย์เย่จริงๆที่มอบโอสถห้าตรัสรู้อริยะให้ ในที่สุดข้าก็แตะถึงขอบเขตสูงสุดเสียที! ทันทีที่จัดการธุระ ในเขตเมืองทางตอนใต้เสร็จนสิ้น ข้าจะปลีกวิเวกเก็บตัวเพื่อทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเต็มขั้น!”
จู้โหย่วดีอดกดีใจอย่างยิ่งที่ได้ยินแบบนั้นและกล่าวว่า
“ขอแสดงความยินดีด้วยกับพี่ใหญ่! เจ้าเซียวยื่อเยว่คงไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ท่านจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าตามตนมาติดๆ ท้ายที่สุดมันก็ไม่สามารถผูกขาดอำนาจของเมืองทางตอนใต้ได้สำเร็จ แต่พวกเรากลับทำได้!”
ซิงกวนยิ้มและกล่าวว่า
“ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ในชั่วชีวิตนี้ ข้าจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้จริงๆ! ทั้งหมดต้องขอบคุณท่านปรมาจารย์เย่! หากไม่ใช่เพราะเขาปานนี้กลุ่มอัสนีคำรนของเราคงถูกทำลายลงไปนานแล้ว!”
จู้โหย่วพยักหน้ากล่าวว่า
“พวกเราเป็นหนี้บุญคุณของท่านปรมาจารย์เย่มากมายเกินไป!”
ไม่นานนัก หัวหน้าสามก็ตรงเข้ามาที่โถงใหญ่เช่นกัน
ดวงตาทั้งคู่ของทั้งซิงกวนและจู้โหย่วแทบถล่นออกมาพร้อมเพรียง
“น้องสาม เจ้า…เจ้าเองก็เลื่อนระดับเช่นกัน! ฮ่าๆๆ…ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นถึงสองคน! ตอนนี้ยังมีใครกล้าอวดดีต่อหน้ากลุ่มอัสนีคำรนของข้าอีกหรือไม่!”
ความแกร่งกล้าของหัวหน้าสามอ่อนด้อยกว่าหัวหน้าสองเล็กน้อย แต่เขาก็ติดอยู่ในอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุดมานานมากแล้วเช่นกัน
ไม่นานนัก หัวหน้าสี่และหัวหน้าห้าพร้อมที่เหลือทั้งหมดต่างออกจากการเก็บตัวและเข้ามารวมตัวที่โถงใหญ่เช่นกัน ทุกคนต่างประสบความสพเร็จตามระดับขั้นที่ตนเองหวังไว้
ซิงกวนเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมหลากอารมณ์แสนแปรปรวนนัก
“นักหลอมโอสถอย่างท่านปรมาจารย์เย่ ช่างน่ากลัวเกินไปจริงๆ เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนก็สามารถสร้างกองกำลังที่ทั่วทั้งทางใต้ไม่สามารถสั่นคลอนได้!”
พวกเขาเหล่านั้นรับฟังพลันนึกย้อนกลับไปราวกับฝันไปจริงๆ
นับตั้งแต่ที่พบกับเย่หยวน กลุ่มอัสนีคำรนของพวกเขาก็เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ!
เมื่อนึกถึงตอนที่เย่หยวนสั่งให้พวกเขาเปลี่ยนชื่อกลุ่ม ยามนั้นพวกเขาทุกคนแทบระเบิดโทสะใส่
แต่ตอนนี้ที่คำนึงถึงกลับรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก
หากพวกเขาตัดสินใจตั้งตนเป็นศัตรูกับเย่หยวน ผลลัพธ์ที่ได้คงน่ากลัวเกินจินตนาการ!
ทันทีทันใด สายตาการจับจ้องของซิงกวนพลันเฉียบคมขึ้นทันตา เขาเอ่ยกล่าวดังด้วยน้ำเสียงขรึมว่า
“เขตเมืองทางตอนใต้โสมมวุ่นวายมาหลายสิบปีแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาจัดระเบียบใหม่เสียที!”
ในคืนนั้นเอง เสมือนธารเลือดหลั่งไหลครั้งประวัติการณ์ของเมืองทางตอนใต้
หลัวอี้ หประมุขกลุ่มขนนกเงินถูกซวนกวนสังหารคตายลง
สำหรับเห่อเสี่ยวของกลุ่มสุริยันจันทรา เขาเองก็ตายลงภายใต้เงื่อมมือของจู้โหย่ว ในที่สุดเขาก็ล้างแค้นจากคันศรธนูดอกนั้นได้สำเร็จ
กลุ่มสุริยันจันทราและกลุ่มขนนกเงินตกอยู่ใต้การควบคุมของกลุ่มอัสนีคำรน และกลายมาเป็นกลุ่มอิทธิพลที่ใหญ่ที่สุดแห่งเขจเมืองทางตอนใต้
ภายใต้การกดดันของกลุ่มอัสนีคำรน ตระกูลตงฟางและหอเต๋ออี้จำต้องขับไล่อู๋เฟิน ชนิดตัดหางปล่อยวัด
และในคืนนั้นเอง อู๋เฟินเสียชีวิตอย่างปริศนากลางท้องถนน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจครั้งใหญ่ในเขตเมืองทางตอนใต้
กลุ่มอัสนีคำรนผูกขาดเมืองทางตอนใต้โดยสมบูรณ์ แม้แต่สามตระกูลใหญ่เองยังตกเป็นรอง
…
ในขณะเดียวกัน เย่หยวนเองก็กำลังเดินเล่นอย่างสงบบนท้องถนนแห่งเมืองหลวงวู่เมิ่งแสนคุ้นเคย
“นึกไม่ออกจริงๆเลย เมืองบ้านนอกชั้นต่ำเช่นนี้กลับให้กำเนิดยอดอัจฉริยะอย่างท่านจริงๆ?!”
หนิงซื่ออวี๋เหลือบมองบรรยากาศเมืองโดยรอบ พลางเอ่ยเยาะเย้ยขึ้นดัง
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ประสบการณ์ของข้าต่อที่แห่งนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ไม่งั้นคงไม่ลงมาเที่ยวนี้แน่นอน”
ขณะที่สนทนาพูดคุยกันอยู่นั้นเอง กลุ่มของพวกเขาก็เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อสั่งอาหารกินกัน แน่นอนว่าสถานที่แห่งนี้มิใช่ใดอื่นนอกจาก โรงเตี๊ยมเฟิงหลาน
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“เข้ามาเถอะ ร้านอาหารของที่นี่ข้าขอแนะนำเลย ขึ้นไปนั่งพักชั้นบนกันดีกว่า”
เมื่อเดินตรงเข้าสู่โรงเตี๊ยมเฟิงหลาน เจ้าของโรงเตี๊ยมย่อมจดจำเย่หยวนได้ในพริบตา
“ย-ย-เย่หยวน! จ-จ-เจ้า…เจ้ากลับมาแล้วจริงๆ!”
โศกนาฏกรรมนองเลือดสังหารหมู่ครั้งใหญ่ในปีนั้นกลางท้องถนน เย่หยวนได้สังหารนักเรียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าของสถานศึกษาหวู่เมิ่งทั้งห้าในพริบตา ยามนั้นเย่หยวนเปรียบดั่งเทพสงครามลงมาจุติ! จนถึงตอนนี้เจ้าขอองโรงเตี๊ยมยังระทึกใจไม่หาย
ดังนั้นแล้ว เพียงปราดตาเดียวเขาก็จำเย่หยวนได้ในทันที
เย่หยวนดูท่าจะไม่แปลกใจเลย เขายิ้มกล่าวว่า
“ใช่ ข้ากลับมาแล้ว”
เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบดึงแขนเขามาหลบที่มุมหนึ่งและกล่าวว่า
“แล้วเจ้าจะกลับมาทำไม! แม้จะผ่านไปนานหลายปีแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่าพวกนั้นก็ยังตามหาตัวเจ้าไม่เว้นวาย! การที่เจ้ากลับมาเช่นนี้ มันไม่ต่างอะไรกับเดินเข้ากับดักหรอกรึ?!”
เย่หยวนเลิกคิ้วอย่างค่อนข้างประหลาดใจและกล่าวว่า
“ทีแรกข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นคนไปฟ้องเรื่องที่ข้ามาที่นี่ด้วยซ้ำ!”
เจ้าของโรงเตี๊ยมที่ได้ยินแบบนั้นพลันหัวเราะกล่าวว่า
“เจ้ากล่าวอันใด?! เจ้าเป็นวีรบุรุษแห่งเมืองหลวงหวู่เมิ่งของเรา สามารถคว้าอันดับหนึ่งในงานชุมนุมร้อยเมืองได้ นับเป็นเกียรติแก่เมืองหลวงหวู่เมิ่งของเรามาก กล่าวตามตรง ตอนนั้นข้าก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่า ท่านเจ้าเมืองจะปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้! เร็วเข้า ทั่วทุกมุมโรงเตี๊ยมเฟิงหลานมีหูตาคอยสอดส่องเต็มไปหมด รีบหนีไปเร็ว!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ไม่เป็นไร เจ้าไปเอาสุรารสเลิศกับอาหารดีๆมาให้ข้าที มาเยือนสถานที่วันวาน นายน้อยคนนี้อารมณ์ค่อนข้างสุนทรีย์ ฮ่าๆ!”
เมื่อกล่าวจบเย่หยวนก็ตรงขึ้นชั้นสอง ปล่อยให้เจ้าของโรงเตี๊ยมมึนงงแข็งค้างไปแบบนั้น
แม้ว่าระยะเวลารวมจะผ่านไปแล้วกว่ายี่สิบปี แต่เย่หยวนยังคงเป็นตำนานของเมืองหลวงหวู่เมิ่งไม่เสื่อมคลาย
เพราะวีรกรรมของเขาที่ก่อขึ้นไม่เคยมีใครในประวัติศาสตร์เคยสร้างไว้ยิ่งใหญ่เท่าเขามาก่อน!
เจ้าของโรงเตี๊ยมยกสุราและอาหารหรูมากมายเข้ามาบริการ เย่หยวนยกจอกสุราพลางกล่าวกับเจ้าท้วมว่า
“กลับมาเยี่ยมชมสถานที่เก่าๆ เจ้าคิดถึงวันวานหรือไม่?”
เจ้าท้วมส่ายหัวกล่าวตอบว่า
“ข้าเฉยชากับเรื่องเหล่านั้นมานานแล้ว! ตอนนี้ข้าต้องการแค่พลังและความแข็งแกร่ง เพื่อจะประกาศกับคนที่เคยดูถูกในอดีตว่า ข้าไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไปแล้ว!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ ถึงเจ้าจะบอกว่าเฉยชาแล้ว แต่แท้ที่จริงตัวเจ้ายังคงจมอยู่กับเงามืดในอดีตต เจ้าท้วมคิดจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้จริงๆรึ?”
เจ้าท้วมกล่าวว่า
“พวกเราทุกคนต้องเติบโต!”
เย่หยวนส่ายหัวกล่าวตอบว่า
“ปีศาจในจิตใจยังไม่สูญสลายคนเราจะเติบโตได้อย่างไร? แค่ต้องกลับไปยังที่ที่ปีศาจภายในใจอยู่และเดินออกมาอย่างสง่างาม”
ขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่ ทันทีทันใดพลันปรากฏกองกำลังจากไหนไม่ทราบเข้าล้อมทั่วทั้งโรงเตี๊ยมเฟิงหลานไว้ ราวกับคิดจับตาย
รัศมีแรงกดดันสุดแกร่งกล้าผสมปนจิตสังหารพวยพุ่งไม่หยุดหย่อน ออกมาต่อหน้าเย่หยวน
“เย่หยวน! เจ้าโผล่หัวออกมาเสียที เตรียมตัวตาย!”
เสียงเยียบเย็นเอ่ยลั่นกึกก้อง
เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบวิ่งขึ้นมา ทั่วใบหน้าปกคลุมเหงื่อเย็นเปียกแฉะ เขาเอ่ยปากกล่าวกับเย่หยวนทันทีว่า
“เห็นไหม! ข้าบอกเจ้าแล้วว่าให้หนีไป! แม่ทัพจ่าวอี้ได้นำกำลังพลเข้าปิดล้อมโรงเตี๊ยมเฟิงหลานไว้แน่นหนาราวกับถังเหล็ก! ตอนนี้อม้เจ้าจะหนียังยากแล้ว!”
เย่หยวนชี้ไปที่เก้าว่างตัวหนึ่งบนโต๊ะกินข้าวและยิ้มกล่าวว่า
“เถ้าแก่ เจ้ากล่าวค่อนข้างดีเชียว! มานั่งนี้มาเดี๋ยวเย่คนนี้รินสุราให้สักจอก เอาชน!”
…………………………………